- ไม่ได้รักการร้องเต้น เป็นเด็กกีฬา อยากเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่สุดท้ายเป็นนักร้องดัง
- ชีวิตในรั้วทหาร หมดสัญญาแกรมมี่ ผันตัวมาเล่นละครเวที ก่อนกลับมาทำเพลงอีกครั้ง
- มุมมองความรักปัจจุบันกับลิลลี่ ภัณฑิลา คบกัน 7 ปีความรักยังหวาน
เอ่ยชื่อ ชิน ชินวุฒ อินทรคูสิน หนุ่มหล่อลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส หลายคนคงจะนึกถึงความเป็นนักร้องดังที่โชว์สเตปเต้นเก่งสมเป็นเจ้าพ่อขาแดนซ์ ส่วนเพลงช้าก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน แม้ในปัจจุบันดูเหมือนว่าจะเห็นผลงานการแสดงมากกว่า แต่หนุ่มคนนี้ก็ยังคงคิดถึงการร้องเพลงอยู่เสมอ ล่าสุดปล่อยซิงเกิลเพลงแดนซ์ “คนคลั่งรัก” ภายใต้สังกัด KS GANG ในเครือข้าวสาร เอ็นเตอร์เทนเมนต์ โดยได้ กอล์ฟ พิชญะ นิธิไพศาลกุล เพื่อนรุ่นพี่ที่เคยอยู่ในโครงการ G-Junior ด้วยกันมาร่วมร้องฟีเจอริ่ง
บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวนหนุ่มชินมาร่วมย้อนวันวานวัยเด็กเมื่อครั้งเขายังเป็นเด็กที่รักการเล่นกีฬา แต่โชคชะตาทำให้เขาได้มาเป็นหนึ่งในศิลปินโครงการ G-Junior ภายใต้สังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ก่อนจะกลายเป็นศิลปินเดี่ยว มีผลงานเพลงดัง อาทิ ปากไม่ตรงกับใจ, คืนนี้อยากได้กี่ครั้ง, คนธรรมดา, อย่าบอกฉันว่าให้ไป ฯลฯ แต่จากนั้นก็กลายเป็นทหารรับใช้ชาติ 2 ปี ก่อนจะกลับมารับงานแสดงเต็มตัว ทำงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังร่วมกับค่ายเพลงข้าวสารฯ อีกทั้งยังพูดถึงความรักกับ ลิลลี่ ภัณฑิลา วิน ปานสิริธนาโชติ แฟนสาวที่คบหาดูใจนาน 7 ปี แต่ความรักก็ยังคงหวานเหมือนเดิม
...
จากเด็กกีฬาสู่ G-Junior
เราชวนชินพูดคุยถึงวันแรกที่เข้ามาเป็นศิลปินในสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ซึ่งเจ้าตัวเล่าถึงวันแรกว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ได้เข้าโครงการ G-Junior โดยมี กอล์ฟ-ไมค์ เป็นศิลปินรุ่นแรก ส่วนชินเป็นศิลปินรุ่นที่ 2 เข้ามาในปี 2544 หลังจากถูกคัดเลือกจากผู้สมัครนับพันคน พอเทรนได้แป๊บเดียวก็ได้ออกอัลบั้ม Big 3 หลังจากนั้นก็ยังเทรนต่อเนื่อง ก่อนจะได้ออกอัลบั้ม G-JR ที่เป็นบอยแบนด์ 10 คน จากนั้นชินถึงได้ออกอัลบั้มเดี่ยวและยาวจนถึงทุกวันนี้
แต่ก่อนจะมาอยู่ที่แกรมมี่ ชินเผยว่าตอนเด็กๆ ไม่ได้ชอบการร้องเพลงหรือเต้นเลย “ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอยากทำอะไร แต่ก่อนหน้านั้นเราเป็นเด็กกีฬาครับ เล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม แข่งเวคบอร์ด เตะบอล เล่นบาส แต่ผมชอบฟังเพลง แต่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นดารานักร้อง ความใฝ่ฝันตอนเด็กไม่ได้เกี่ยวกับวงการบันเทิง อยากเป็นโปรแกรมเมอร์ อยากทำเกมเพราะชอบเล่นเกมตั้งแต่เด็ก ผมใช้ชีวิตแบบ One Step ชอบอันไหนก็ใส่เต็ม ฝึกเวคบอร์ด ฝึกเซิร์ฟแล้วจะไปแข่ง เพราะเมื่อก่อนผมอยู่ จ.ภูเก็ต
แต่ดันไปเล่นละครเวทีที่โรงเรียน ก็เริ่มฝึกร้องเพลง ฝึกการแสดง แต่ในเวลาเดียวกันผมก็ดูไมเคิล แจ็กสัน แฟรงก์ ซินาตรา ดูศิลปินเก่าๆ ฮิปฮอป แร็ปเปอร์ เหมือนเติบโตกับการฟังมากกว่า แต่ไม่ได้คิดจะเป็นนักร้องเพราะมันดูไกลเรา สมัยก่อนการที่อยู่ตรงนั้นมันต้องสุดยอดมากเลยนะ มันไม่มีที่ที่เราจะไปถึงตรงนั้น พอแสดงละครเวทีก็มีเพื่อนคนนึงที่เรียนด้วยกันอยู่ G-Junior รุ่น 1 พ่อแม่เขาสนิทกับพ่อแม่ผม เขาก็บอกว่าเห็นชินเล่นละครเวทีที่โรงเรียน มันมีออดิชันรุ่น 2 สนใจมั้ย ผมเป็นเด็กกล้าได้กล้าเสีย ก็บอกว่าเอาสิ ไม่ลองก็ไม่รู้
แต่รอบแรกผมมาออดิชันไม่ได้เพราะว่าผมติดสอบที่โรงเรียน เลยส่งแผ่นวีซีดีมาให้ที่แกรมมี่ดูว่าเราเล่นละครเวที สรุปเขาชอบ ก็ได้ผ่านเข้ารอบ 200 คนสุดท้าย เราก็เลยได้มาออดิชัน ก็ฝึกอยู่ 3 วัน แล้วมีออดิชันตอนสุดท้ายร้อง 1 เพลง เต้น 1 เพลง แล้วติดมาเป็น G-Junior รุ่น 2 นี่แหละ หลังจากนั้นก็เริ่มฝึกจริงจัง ก็รู้สึกว่าเราทำได้เต็มที่ ศึกษามากขึ้น เต็มที่กับมันจริงๆ ผมตั้งเป้าแล้วใส่เข้าไปอย่างเดียว ตอนนั้นฝึกหนักมากครับ 2 ปี ร้องเพลง เต้น สลับกัน เป็นแบบนี้ทุกวัน เรียนเสร็จก็เข้ามาที่แกรมมี่ เรียนร้องเพลงทุกวัน มีแค่พักวันพฤหัสกับอาทิตย์มั้งถ้าจำไม่ผิด
ถามว่าหนักมั้ยหนักครับ แต่ผมเป็นประเภทชอบชาเลนจ์ ชอบความท้าทาย รู้สึกว่ามันยากแล้วมันน่าทำ สนุกเพราะอยู่กับเพื่อนๆ ด้วย เราก็เลยเอาให้สุด เพราะผมชอบทำอะไรแบบเต็มที่มากๆ ตั้งแต่เด็ก เหมือนเราเริ่มหลงรักมันไปในขณะที่กำลังทำมันอยู่ เอนจอยกับมัน พอขึ้นเวทีก็รู้สึกเอนจอย เราสนุกด้วย เขาสนุกด้วย มันดีจังเลย เราเห็นเขายิ้มหัวเราะไปกับเรา ร้องเพลงไปกับเรา เราได้รับพลังจากเขา แล้วเราก็ให้พลังเขาด้วย
มันเป็นบรรยากาศที่เราอยากใช้ชีวิตแบบนี้ ผมไม่เคยคิดว่าอยากดัง ไม่ได้ตามล่าความดัง ผมอยากเป็นคนที่ขึ้นไปบนเวทีแล้วให้พลังคนแล้วเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น แล้วได้แรงบันดาลใจจากเขา ผมคิดเสมอว่าทำยังไงให้คนที่ดูเราเอนจอยไปกับทุกโมเมนต์ที่เกิดขึ้น ผมรู้สึกว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ผมทำแบบนี้ได้ เพราะเราได้พลังแบบนี้เวลาดูศิลปินคนอื่น และอาชีพนี้ทำให้ผมสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้เต็มที่ด้วย”
ศิลปินเดี่ยว
ชินเล่าต่อว่าหลังจากเข้าโครงการ G-Junior มาได้ไม่นานก็ได้ออกอัลบั้ม Big 3 ในปี 2546 และฝึก G-Junior ไปด้วยกัน หลังจากนั้นถึงจะได้ออกอัลบั้ม G-JR ในปี 2549 ก่อนจะได้ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกในชีวิต “Chin Up” เมื่อปี 2550 และมีเพลงดัง “ปากไม่ตรงกับใจ” ซึ่งชินบอกว่า “ในตอนนั้นไม่ค่อยมีคนทำแบบนี้มั้ง ตอนนั้นมันไม่มีศิลปินเต้นและร้องแบบนี้ ถ้าก่อนหน้าผมก็เป็นพี่เจ เจตริน ไม่มีแบบนี้นานพอสมควร เราก็เป็นศิลปินหน้าใหม่ที่มาแนวนี้ ด้วยเพลง ด้วยการเต้น ด้วยหุ่นในตอนนั้นมั้ง (หัวเราะ) มันเลยบวกๆ กันไปหมดครับ ทำให้คนสงสัยว่าเด็กคนนี้คือใครวะ เลยเป็นจุดเริ่มต้นในการเป็นศิลปินเดี่ยวที่หลายๆ คนรู้จักครับ”
...
ช่วงที่เริ่มเป็นศิลปินเดี่ยวก็มีเพลงดังหลายเพลง อาทิ ปากไม่ตรงกับใจ, คืนนี้อยากได้กี่ครั้ง, คนธรรมดา ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไร ชินบอกว่า “เราค่อยๆ เรียนรู้มันตั้งแต่ตอนอยู่ G-Junior แล้วมั้ง เพราะตอนอัลบั้ม G-JR ก็มีแฟนคลับแล้ว พอไปออกอัลบั้มเดี่ยวผมก็รู้สึกดีที่คนชอบผลงานเราในตอนนั้น ได้ไปโชว์ตามที่ต่างๆ เล่นคอนเสิร์ต ไปสนุกเอนจอยอยู่บนเวที พบปะผู้คน เราสนุกกับมันมากกว่า มันไม่ต้องปรับอะไรเยอะ เพราะเราค่อยๆ เรียนรู้มันมาแล้ว เราค่อยๆ ปรับตัวเองมาแล้ว”
กับคำถามรู้สึกยังไงบ้างที่เวลาพูดถึงชิน ชินวุฒ คนจะมีภาพจำว่าเป็นนักร้องสายแดนซ์ เจ้าตัวตอบว่า “มันก็เป็นสิ่งที่เราเป็นมั้ง คนมองเป็นศิลปินร้องและเต้นก็ถูกแล้ว เราดีใจที่คนจำได้ที่เราเป็นเรา หรือชื่นชอบที่เราเป็นเราจริงๆ เรารู้สึกว่าดีใจที่คนชื่นชอบเราในแบบที่เราเป็น ไม่ได้พยายามเปลี่ยนอะไรเรา เราดีใจที่คนเห็นภาพนั้นแล้วชื่นชอบเราเพราะมันคือสิ่งที่เราเป็นจริงๆ เวลาคนเรียกเราว่าคิงออฟแดนซ์ เราก็รู้สึกขอบคุณที่เขาเห็นเราเป็นแบบนั้น ในเวลาเดียวกันเราก็แค่อยากจะทำผลงานดีๆ ให้ได้เห็น ไม่ได้ทำเพื่อจะเป็นคิงออฟแดนซ์ แต่เราทำเพราะอยากให้คนเห็นว่าการเต้นจริงๆ เป็นยังไง จากคนที่ฝึกเต้น อยู่ในสังคมเต้น เติบโตมากับการเต้นจริงๆ
...
มันก็เป็นคอนเซปต์ของเพลงคนคลั่งรักเหมือนกันนะ เพราะผมพูดให้พี่กอล์ฟฟังว่ารุ่นใหม่ก็มีคนเต้นเยอะนะ พี่กอล์ฟก็บอกว่านั่นน่ะสิ ผมเลยบอกว่าพี่ เราต้องเต้นให้เด็กมันดูรึเปล่าวะ พี่กอล์ฟก็บอกว่าได้ดิวะ (ยิ้ม) เราเทรนเต้นมาเยอะจริงๆ บางทีเราไม่ได้มาจากแค่ดูคนเต้นแล้วชอบเต้นคัฟเวอร์ แต่เรามาจากการเทรน ฝึก เรียน ซ้อม เลือดออกเท้า ข้อเท้าพลิก เรามาจากการทำทุกอย่างเพื่อให้ได้แบบนี้จริงๆ เราก็เลยดีใจที่คนเห็นแล้วชื่นชม เพราะว่าการที่เราซ้อมแล้วเจ็บตัวกันมามันคุ้มค่าแล้ว
เรื่องเจ็บตัวเป็นเรื่องปกติสำหรับนักเต้น เราก็พยายามดูแลตัวเองให้เต็มที่ แต่ท้ายสุดก็เกิดอุบัติเหตุ ผมเคยเล่นคอนเสิร์ตตกเวทีแล้วขึ้นมาร้องต่อ ร้องไป 2 เพลงแรกเต้นแล้วกระโดดแล้วเหมือนพื้นเป็นพรมแล้วมันลื่น ข้อเท้าพลิก แต่ก็ต้องโชว์เต้นต่อยันจบ มันก็เกิดขึ้นมา แต่เราไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องหนักหนาอะไร เพราะเราเป็นเหมือนนักกีฬา มันคืออาชีพที่เราเลือกแล้ว ไม่ได้มีโมเมนต์อะไรที่รู้สึกหนักสุด แต่ถ้าหนักสุดก็คือการไปสอบเต้น พอสอบปุ๊บแล้วเหมือนทำผิด ต้องวิ่งขึ้นลงบันไดหนีไฟที่แกรมมี่ 29 ชั้นเพราะว่าเต้นผิด หลังจากนั้นเต้นท่านี้ไม่ผิดอีกเลย (ยิ้ม)”
วันที่เป็นอิสระ
แต่หลังจากเป็นศิลปินเดี่ยวมาหลายปี มีช่วงหนึ่งที่ชิน ชินวุฒ ต้องไปเป็นทหารอยู่นานกว่า 2 ปี ถามว่าชีวิตช่วงนั้นเป็นยังไงบ้าง ชินบอกว่า “ก็อย่างที่เห็นครับ เราไปทำหน้าที่ตรงนั้น ทำเต็มที่ที่ตัวเองทำได้ พอปลดออกมาก็กลับมาทำงานเหมือนเดิมแค่นั้นเอง ก่อนหน้านั้นเราอยู่แกรมมี่ ก็มีปัญหาเรื่องค่าย มันมีช่วงหนึ่งที่มีความขัดแย้งข้างใน แล้วผมอยู่ในจุดที่กำลังทำอัลบั้มแล้วเกิดยุบค่ายขึ้นมา ก็ย้ายไปอีกที่หนึ่ง พอจะทำค่ายนั้นก็ยุบอีก มันเป็นช่วงที่ผมซวยเพราะไปอยู่ในจังหวะที่กำลังมีเพลง “คืนนี้อยากได้กี่ครั้ง” แล้วมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น มันใช้เวลาอยู่ 2-3 ปีที่เกิดเหตุการณ์นั้น ก็เป็นจังหวะนรก
...
พอปรับแล้วก็ติดทหารต่อ แล้วเหลือสัญญาปีนึง ผมเป็นทหาร 2 ปีก็หมดสัญญาพอดี พอออกมาปุ๊บก็เป็นฟรีแลนซ์รับเล่นละคร คือช่วง 2 ปีที่เราเป็นทหารผมไม่มีงาน พอออกมาก็ต้องรีบหางานหาเงินมาเลี้ยง 2 ปีที่เราหายไป ก็โฟกัสการหาเงินเพื่อครอบครัว โชคดีที่ได้รับโอกาสหลายๆ ที่ ทั้งละครเวที รายการต่างๆ ละคร หนัง ช่วงนั้นจะเป็นการแสดงเยอะ ละคร 3-4 เรื่อง หนัง 2 เรื่อง ละครเวที 4 โปรดักชัน คือพอปลดทหารปุ๊บ 2 ปีไม่ได้พักเลย แต่คนจะไม่ค่อยเห็นเพราะเป็นงานที่ไม่ได้ออกสื่อเยอะครับ อย่างละครเวทีก็ปีครึ่งแล้ว อยู่แต่ห้องซ้อม เวที แต่หลังจากนั้นก็คิดว่าต้องกลับมาทำเพลงแล้วนะ เพราะแฟนๆ ก็อยากฟัง ตัวเราเองก็อยากทำ ประจวบเหมาะกับเข้ามาพูดคุยที่ค่ายเพลงข้าวสารฯ จังหวะลงตัวพอดีก็เลยตัดสินใจว่าจะกลับมาลุยนะ”
ถามว่าเข้ามาคุยกับค่ายเพลงข้าวสารฯ ได้ยังไง นักร้องหนุ่มเผยว่า “จริงๆ เขาคุยกับผมตั้งนานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เราก็คิดว่าต่อให้เซ็นก็ไม่ได้ทำอะไรเพราะเรายุ่งมาก กลัวจะทำได้ไม่เต็มที่ เขาก็โอเค จนละครเวทีเริ่มหมดทุกโปรดักชัน ละครเริ่มถ่ายเสร็จแล้ว ก็พอมีคิวที่สามารถทำงานอย่างอื่นได้ ประจวบเหมาะกับโควิดพอดี ออกไปถ่ายละครไม่ได้ เราเลยมีเวลาโฟกัสการทำเพลง มีเวลาอยู่กับตัวเอง ถามว่าทำอะไรบ้าง ตอนแรกผมเข้ามาเทรนเต้นให้น้องๆ ศิลปิน อาทิ วง Skylight, วง 4MIX ฯลฯ ช่วงหลังๆ ผมก็ทำเบื้องหลังเพลงให้น้องๆ ด้วย แล้วก็เริ่มมาในฐานะศิลปินครับ”
ชินบอกว่าพอมาอยู่ค่ายข้าวสารฯ รู้สึกสนุกกับการทำงาน “ผมรู้จักกับผู้บริหารกับทีมอยู่แล้วตั้งแต่สมัยอยู่แกรมมี่ คือสนิท เขารู้จักในตัวตนของเราจริงๆ เขาให้อิสระในการทำงาน ไม่เอาอะไรมาครอบ มาวัดเป็นกรอบว่าต้องแบบนี้ๆ เป็นการแชร์กันมากกว่า ถ้ามันใช่ เขาก็บอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็พูดตรงๆ ว่าไม่ใช่ แล้วเราก็ทำงานแบบนั้นกันครับ ก็ทำงานกันง่ายครับ จริงๆ แล้วผมครีเอทีฟในมุมเสื้อผ้า ท่าเต้น เพลง เอ็มวีได้ เราทำเบื้องหลังตรงนี้อยู่แล้ว เราแค่ต้องการซัพพอร์ต เขาก็ช่วยเราซัพพอร์ตในมุมนี้”
กับการทำงานเบื้องหลัง ชินบอกว่าเป็นการใช้ประสบการณ์ทุกอย่างที่ทำมา เราเริ่มต้นจากการเป็น Trainee มาก่อนแล้วเป็นบอยแบนด์ ก่อนจะเป็นศิลปินเดี่ยว เข้าใจกระบวนการทางจิตใจและสมองของมันว่าทำงานยังไง เราแค่ใช้ประสบการณ์ตัวเองที่ผ่านมาและยังทำอยู่มาแบ่งปันให้น้องๆ เป็นคนคิดนอกกรอบอยู่แล้ว เลยมีความแปลกจากอย่างอื่นที่เห็น เพลงที่ทำก็จะไม่เหมือนในตลาด จะเป็นความสนุกอีกทางหนึ่ง เหมือนบรูโน่ มาร์ส ที่ทำเพลงอีกแบบในยุคที่ฮิปฮอปครองอยู่ อีกทั้งสนิทและเป็นคนเทรนน้องๆ ศิลปิน ทำให้รู้จักน้องๆ ว่าเป็นคนยังไง ชอบแบบไหน เก่งแบบไหน
ถามว่าจะปั้นศิลปินในค่าย KS GANG ไปในทางไหน ชินบอกว่า “เรารู้สึกว่าตัวน้องๆ มีของกันอยู่แล้วครับ ผมว่าก็ต้องหาเวย์พัฒนาน้องๆ เรื่อยๆ บวกกับเทรนด์ ยุคสมัย ตัวน้องๆ เอง ผมว่าต้องค่อยๆ ทำกันไป ตอนนี้น้องๆ ก็กำลังไปได้ดี จริงๆ มีวงที่กำลังทำคือ Skylight ก็เก่งเลยแหละ แต่ตอนนี้กำลังหาเพลงที่เหมาะสำหรับน้อง ก็ปั้นเพลงกันอยู่ ถามว่ากดดันมั้ยกับการดูแลค่าย ไม่หรอก จริงๆ เราอยากทำเพราะรู้สึกว่ามันจะเสียดายถ้าเรามีประสบการณ์แต่ไม่ได้แบ่งปันให้น้องๆ รุ่นใหม่ ทำไมต้องเก็บไว้คนเดียว ถ้าเรามอง T-POP ว่าคือประเทศไทยจริงๆ ทำไมเราต้องกั๊ก เราควรที่จะผลักดันไปด้วยกัน แต่ตอนนี้ก็อยากโฟกัสที่ผลงานตัวเองก่อน เลยยังไม่ได้รับปากค่ายว่าจะทำด้านนั้น ก็ช่วยอยู่แต่ยังไม่ได้ทำแบบเต็มตัวครับ”
คนคลั่งรัก
ชินพูดถึงการทำเพลงใหม่ล่าสุด “คนคลั่งรัก” ที่ได้นักร้องนักแสดงหนุ่ม กอล์ฟ พิชญะ นิธิไพศาลกุล มาร่วมร้องฟีเจอริ่งด้วย ถามว่าทำไมถึงชวนกอล์ฟมาร่วมงาน ชินตอบ “เพราะไม่มีใครจะฟีตกับผมแล้ว (หัวเราะ) ไม่ใช่ๆ เรื่องของเรื่องมันย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนแรกคุยว่าอยากทำเพลงกับพี่กอล์ฟมาสักพัก แกก็แบบเอาจริงเหรอ เหมือนแกไม่อินเรื่องเพลงเพราะว่าทำยูทูบ เราก็โอเคปล่อยไป ยังไม่มีโปรเจกต์ที่จะทำเพลงขนาดนั้น เพราะก็ยุ่งกับละคร ละครเวทีด้วยช่วงนั้น
แต่พอมาปีนี้ผมคิดว่าผมอยู่วงการเพลงมา 20 ปีแล้ว ผมเข้า G-Junior ปี 2001 แล้วมันก็คือ 10 ปีแล้วหลังจากที่ผมปล่อยอัลบั้มล่าสุด ก็เลยรู้สึกว่าถ้าไม่ใช่ตอนนี้ก็ไม่รู้จะตอนไหนแล้ว ก็มานั่งคิดว่าเราจะทำเพลงแบบไหนดีว้า เราอยากเป็นตัวเองมากๆ ก็คิดว่าเอาเป็นเพลงเร็วดีกว่า เลยนึกถึงเพลงยุค 90 R&B ยุค 2000 ถ้าเราเอาตัวเองกลับไปตอนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ ก็คิดว่าเราอยู่ G-Junior แล้วถ้ากลับมาจะร้องคนเดียวหรือฟีตมั้ย ก็เลยคิดว่าฟีตกับพี่กอล์ฟแล้วกัน
ผมก็เลยโทรชวนพี่กอล์ฟว่าอยากทำเพลงสนุกๆ แกก็บอกว่าเอาดิๆ เหมือนช่วงนี้แกก็อยากกลับมาทำเพลงด้วย เลยชวนมาที่บ้านแล้วนั่งทำกัน ผมโปรดิวซ์เพลงนี้วันเดียวเสร็จเป็นเดโมส่งมาที่ค่าย ค่ายก็ชอบมาก บอกว่าเพลงมันย้อนยุคแต่ก็ทันสมัยนะ ทีนี้ก็หาคนเขียนเนื้อเพลงเพราะผมเขียนภาษาไทยไม่ค่อยเก่ง เลยให้พี่โจ (เหมือนเพชร อำมะระ) ที่เคยเขียนเพลง “หน้าที่ของหัวใจ” ซึ่งผมชอบมากในมุมเนื้อหาภาษาที่ใช้ เลยออกมาเป็นเพลงคนคลั่งรักครับ”
ถามว่าทำไมต้องเป็นคนคลั่งรัก นักร้องหนุ่มตอบว่า “พี่โจคิดคอนเซปต์เพลงนี้เพราะในทางของชินที่ผ่านมาเป็นแบบกลางคืนหมดเลย เป็นเพลงแบบเซ็กซี่ๆ ด้วยบีตเพลงมันสนุกมาก เลยคิดคอนเซปต์ให้สนุกๆ กวนๆ ในเวลาเดียวกัน แซวสาวนิดนึง เหมือนแกเขียนจากความเป็นผู้ชายที่เวลาเจอคนคนนึงแล้วโห คนนี้คือใช่เลย แล้วมาบอกเพื่อนว่าเจอคนนี้มาโดนมาก เพื่อนก็จะแซวว่าเจอคนคลั่งรัก 1 แล้วเรากับพี่กอล์ฟก็เคยผ่านแบบนี้มาด้วยกัน เลยเป็นเหมือนกับสิ่งที่เราคุยกันเมื่อก่อนครับ”
ชินบอกว่าการกลับมาร่วมงานกับกอล์ฟเหมือนย้อนวันวานออกอัลบั้ม G-JR เป็นการทำงานที่สนุกมาก เราเคยอยู่ในห้องอัดห้องซ้อมเต้นตั้งแต่ทั้งคู่อายุ 10 ต้นๆ พอกลับมาทำงานด้วยกันเลยนึกถึงช่วงเริ่มต้น มันเลยรู้สึกดีไปหมด ในพาร์ทมิวสิกวิดีโอ ชินเล่าว่า “สนุกไปหมดเลย สนุกกับการถ่ายทำเอ็มวีนี้ที่สุดจากที่ผมเคยถ่ายมาเพราะได้ทำงานกับคนที่เราโอเคมาก ทำงานแล้วมันเอนเนอร์จี้เดียวกัน สนุกไปด้วยกัน ทุกคนเต็มที่ ช่วยกันปรับแก้จนออกมาดีมาก ก็รู้สึกว่าโปรเจกต์นี้มันมาจากเราเลย มันละเอียดมากทุกขั้นตอน แต่ในขณะเดียวกันมันก็สนุกมากๆ เป็นชิ้นงานที่เราแฮปปี้มากเลย”
เมื่อถามถึงเรื่องที่คัฟเวอร์ลุคตัวเองแบบสมัยก่อน ชินยิ้มก่อนจะตอบว่า “ใช่ ผมตั้งใจตั้งแต่ทำเพลงเสร็จ ผมบอกกับพี่กอล์ฟว่าในเอ็มวีต้องมีพี่กับผมแต่งตัว พี่ต้องใส่วิกกอล์ฟ-ไมค์ ถ้าพี่ไม่ใส่ผมไม่ถ่ายเอ็มวีนะ ตอนแรกเขานึกว่าผมพูดเล่น ผมก็ไม่รู้ว่าพี่กอล์ฟจะเขินมั้ย แต่พอวันฟิตติ้ง แกใส่ออกมาด้วยความภูมิใจ ผมก็บอกว่าต้องอย่างนี้สิวะ (ยิ้ม) มันสนุกอะ อย่าไปคิดเยอะดิ มันเป็นภาพที่แฟนๆ อยากเห็น หลายคนโตมากับพวกเรา พี่กอล์ฟลงทุนแม้กระทั่งไปตัดถุงมือมาเองเลยนะ พี่กอล์ฟบอกว่าไม่ได้ มันต้องเหมือน แต่ในเอ็มวีตัดมาใช้อยู่ 5 วินาทีแค่นั้นเอง สนุกครับ เล่นตัวเองก็เจ็บน้อยกว่าคนอื่นเล่นครับ
จริงๆ ผม กอล์ฟ-ไมค์ G-Junior มันคือยุคแรกๆ ของ T-POP ตอนนี้ T-POP กำลังมา เราเลยอยากให้คนได้เห็นว่าจริงๆ แล้วสมัยนู้นก็มีนะ G-Junior เป็น Trainee ในยุคนั้น ฝึกกันบ้าคลั่งมาก จริงจังมาก เราอยู่กันมานานมาก ในเวลาเดียวกันดนตรีหรือศิลปินยุคนี้คือถูกพัฒนาถึงขนาดนี้แล้ว พอมองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าเจ๋งอะ”
จากนั้นชินเล่าต่อถึงแพลนการทำงานในปี 2565 ไว้ว่า “ก็มีเพลงนี้ (คนคลั่งรัก) และซิงเกิลต่อไปจะปล่อยประมาณเดือน ก.พ. เป็นเพลงช้า อัลบั้มก็น่าจะประมาณเดือน เม.ย.-พ.ค. เพราะฉะนั้นก็น่าจะมีทั้งหมด 7 เพลง ส่วนครึ่งปีหลังจะแพลนกันต่อว่าจะยังไงครับ แล้วก็จะมีละครซึ่งถ่ายอยู่ 2 เรื่อง แล้วจะเปิดกล้องอีก 2 เรื่อง ผมบอกเลยว่าอยู่ทุกช่องครับ (ยิ้ม) มีที่ออนแอร์ทั้งพีพีทีวี, ช่อง 3 ตอนนี้ก็ถ่ายของเวิร์คพอยท์และช่อง 8 แล้วก็จะมีของ Netflix ที่คุยกันไว้ด้วยครับ”
รักในชีวิตจริง
เราถามต่อถึงความเป็นคนคลั่งรักในชีวิตจริงของเขากับแฟนสาว ลิลลี่ ภัณฑิลา ถามว่าตอนนี้เป็นอย่างไร นักร้องหนุ่มตอบว่า “ก็คบกันมา 7 ปีแล้วครับ มันก็มีช่วงขึ้นช่วงลงแหละ ผมว่าก็เป็นทุกความสัมพันธ์แหละ จริงๆ แล้วความสัมพันธ์ที่อยู่กันมานาน ผมว่าไม่ได้แตกต่างอะไรกับหลายๆ คู่นะ มีทั้งดีไม่ดี เพราะมันก็คือชีวิต มันคือปกติ เราก็พยายามที่จะมองเรื่องดีๆ จริงๆ ความสัมพันธ์มันเป็นงานงานนึงเหมือนกันที่เราต้องให้เวลากับมัน ทำความเข้าใจกับมันอยู่ตลอดเวลา แต่ดีมั้ยมันก็ดีครับ ไม่มีอะไรที่ไม่ดี
7 ปีก็ยังไม่ได้รู้สึกว่ามันเปลี่ยนอะไรไปจากตอนแรกๆ เลย เรารู้สึกว่ายังเป็นเหมือนเดิม เสมอต้นเสมอปลายกันอยู่ ยังมีเป้าที่เหมือนกันในอนาคต เราไม่ได้รีบร้อนกันทั้งคู่ด้วยมั้ง เหมือนเราก็เรียนรู้กันไป สร้างไปด้วยกันครับ ไปถึงอนาคตด้วยกัน ต่างคนต่างทำในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ ผมก็ทำงาน ลิลลี่ก็ทำงาน เขามีธุรกิจใหม่ที่ต้องโฟกัส ผมมีละคร เพลง ทำค่าย ต่างคนต่างชอบทำงานทั้งคู่ พอเลิกงานมีเวลาเจอกันก็เจอกัน ต่างคนต่างทำงานเก็บตังค์ ลุยเต็มที่ สร้างอาณาจักรของตัวเองทั้งคู่”
ถามว่ามีมองมั้ยว่าอีกกี่ปีแต่งงาน ชินบอกว่า “ผมไม่ได้มองว่าอีกกี่ปีครับ เพราะท้ายสุดแล้วถ้าเราต่างคนต่างทำแต่เป็นเป้าเดียวกัน มันก็ไปด้วยกันได้ ไม่ใช่วันนึงแต่งงานแล้วจะเลิกทำงานถูกมั้ย ตอนนี้ต่างคนก็ต่างสร้างกันไปก่อน เราไม่ค่อยคุยว่าอายุเท่าไรถึงจะแต่ง มันเป็นคำถามที่คนถามเรามากกว่าเราถามตัวเองอีกนะ มันเป็นคำถามต่อเนื่อง ไม่แปลกครับเพราะว่ามันดูเป็นสแตนดาร์ดของชีวิตคนว่าคบกันนาน อายุเท่านี้ คงจะต้องแต่งแล้วมั้ง มันเป็นเหมือนสเตปที่วางไว้
แต่ผมกับลี่ไม่ค่อยคุยเรื่องจะแต่งเมื่อไร แต่จะคุยกันมากกว่าว่าชีวิตหลังแต่งเป็นอย่างไร เพราะเราทั้งคู่รู้สึกว่าการแต่งเป็นแค่สเตปน่ะครับ มันไม่ใช่เป็นเป้าหมาย แต่เป็นทางผ่านมากกว่า ผมรู้สึกว่าการแต่งงานไม่ได้แปลว่าจะรักกันตลอดไป ไม่ได้แปลว่าจะสร้างครอบครัวที่มีความสุข ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ความรักมันแน่นขึ้นครับ มันไม่ได้เป็นตัวชี้วัดอะไร เวลาคุยกันจะคุยเรื่องหลังแต่งงานมากกว่าว่าอยากได้บ้านแบบนี้ ชีวิตแบบนี้ ถ้ามีลูกอยากให้เรียนที่ไหน คุยเรื่องพวกนี้มากกว่า”
พอถามถึงเคล็ดลับการดูแลความรัก นักร้องหนุ่มนิ่งคิดอยู่แวบหนึ่งและบอกว่า “ก็พยายามทำให้มันเหมือนเดิมตลอดเวลา เป็นยังไงก็เป็นยังงั้น ยอมรับซึ่งกันและกันในสิ่งที่เป็นครับ ต้องบอกว่ามนุษย์มีความเป็นตัวเองมาก่อนที่จะเจอคนคนนี้อยู่แล้ว ผมกับเขาก็เป็นตัวเองมาก่อนที่จะเจอกัน ทีนี้มันก็มีบางสิ่งบางอย่างที่เขาชอบและไม่ชอบในตัวเรา และเราชอบกับไม่ชอบในตัวเขา เรากับเขาก็ต้องปรับ ปรับในมุมตัวเองในสิ่งที่เขาไม่ชอบ และปรับในการที่เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น ผมว่าถ้าเราแค่นี้นะมันก็ได้แล้วอะ มันแปลว่าเรายอมปรับให้กันและกัน ในเวลาเดียวกันก็ยอมรับซึ่งกันและกันด้วย ที่เหลือก็คือแค่เติมไปเรื่อยๆ ให้มีความรู้สึกเหมือนเดิมตลอดครับ
ผมว่าส่วนมากคนที่เลิกกันมันอาจเป็นเพราะว่าเป้าหมายไม่ตรงกันแล้ว ตัวเองเป้าหมายเปลี่ยน เพราะชีวิตก็พาคนเราไปแบบนึง แล้วเราอาจมีความคิดว่าจริงๆ แล้วเราอาจอยากได้ชีวิตแบบนี้ แล้วเขาคือคนละเวย์กัน แต่ถ้าเกิดเวย์เดียวกัน ปรับกันไปเรื่อยๆ จูนเข้าหากัน ยอมรับซึ่งกันและกัน ผมว่าแค่นี้ก็พอที่จะทำให้ไปต่อได้อย่างแฮปปี้แล้วนะครับ ผมแค่เป็นคนไม่ค่อยแสดงออกอะไรมากมายมั้ง เรารู้สึกว่าเหมือนพื้นที่สื่อมันไม่ใช่พื้นที่ของการโชว์แบบนี้เท่าไร รู้สึกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่อยากจะเก็บไว้”
ปิดท้ายการพูดคุย ชินฝากถึงแฟนๆ ที่ติดตามผลงานมาตลอดว่า “ขอบคุณที่รักและติดตามเรานะครับ เราก็โตมาด้วยกัน สำหรับแฟนๆ ยุคใหม่ๆ ก็อยากให้ลองฟังเพลง “คนคลั่งรัก” นะครับ ถ้าชอบก็คอมเมนต์กันเยอะๆ ฝากแชร์ ฝากกด subscribe ช่อง KS GANG ด้วยนะครับ ยังไงก็ฝากติดตามผลงานด้วย ความตั้งใจของผมคืออยากทำงานคุณภาพดีๆ ออกมาให้ทุกคนได้เห็น หวังว่าจะได้แรงบันดาลใจบางสิ่งบางอย่างไปให้ตัวเองนะครับ”.
ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : Khaosan Entertainment, อินสตาแกรม @chinchinawut
กราฟิก : Sathit Chuephanngam