หลังจาก นายมิเชล ชัยโรจน์ พูพาร์ต หรือ โอ๋ ไมเคิล พูพาร์ต อดีตนักแสดงหนุ่มชื่อดัง ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองในบ้านพักเมื่อ 16 ม.ค. 2565 ซึ่งก่อนหน้าจะเสียชีวิตมีอาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงและเป็นโรคซึมเศร้า โดยรักษามานานกว่า 2 ปี กลายเป็นข่าวช็อกวงการบันเทิง ท่ามกลางความเศร้าเสียใจของครอบครัว รวมถึงคนในวงการบันเทิง ตลอดจนแฟนๆ ที่ทราบข่าว
ล่าสุดทางครอบครัวก็ได้ทำพิธีรดน้ำศพและสวดพระอภิธรรม ณ วัดสาครสุ่นประชาสรรค์ ลาดพร้าว ก่อนที่ อั๋น โอลิเวอร์ พูพาร์ต นักแสดงหนุ่ม ซึ่งเป็นน้องชายของไมเคิล จะให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าว โดยบอกว่า “ก่อนอื่นก็สวัสดีทุกคนนะครับ (ยกมือไหว้) จริงๆ ก็เตรียมคำพูดมา พอมาถึงตรงนี้ก็นึกคำพูดไม่ออก มันเป็นช่วงเวลาที่เสียใจของทางครอบครัว
ก็เป็นไปตามที่ในข่าว พี่ชายผมได้จบชีวิตตัวเองแล้วเมื่อวานนี้ แกเป็นโรคซึมเศร้ามาได้สักพักนึงแล้ว ตอนที่เป็นหนักๆ เราก็พยายามให้แกกลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ คุณแม่ก็เป็นคนดูแลอยู่ได้ 3-4 เดือน ก่อนที่แกจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองไปนะครับ พอมาถึงที่นี่ก็พาไป รพ. ทานยา พูดคุยกันทุกวัน แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับ ในส่วนของผม ผมคงไม่มีอะไรจะแจ้งมากไปกว่านี้
...
พี่ชายผมเป็นคนสงบ เงียบๆ เป็นคนรักสันโดษ ตั้งแต่เขาออกจากวงการไปก็ไปดูแลพ่อที่ป่วยติดเตียงอยู่ 8-9 ปีก่อนที่พ่อจะเสียไป หลังจากนั้นมาเขาก็ไม่อยากกลับเข้ามาวงการ เขาอยากใช้ชีวิตสบายๆ สันโดษที่ จ.เชียงใหม่ เราได้พูดคุยกันตลอด เขาเกริ่นไว้ว่าถ้าจัดงานศพก็ขอแค่วันเดียวเผาเลยนะ ไม่ต้องมีพิธีการอะไรมาก นั่นคือสไตล์ของเขา (ก้มหน้า นิ่งไป)
แต่ก็นั่นแหละครับ พอมาถึงวันนี้ผมก็อยากเชิญชวนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน คนที่ทักกันมาเยอะ ก็ดีใจที่ยังมีคนรักและคิดถึงพี่ชายผมอยู่ ผมก็ถือโอกาสนี้ฝากพี่ๆ สื่อมวลชนประกาศวันเวลาให้เพื่อนพี่น้องที่อยากจะมาร่ำลาพี่ชายผมเป็นครั้งสุดท้ายครับ”
มีคำพูดอะไรที่เขาทิ้งไว้บ้างไหม?
“คำพูดมันมีเยอะครับ คำพูดที่คุยกันไว้ก่อนเสีย คือจะต้องบอกว่าอาการซึมเศร้าที่เขาเป็นมันไม่ใช่เป็นอาการชั่ววูบ เขาไม่สบายมาสักพักนึงแล้ว ผมพยายามพูดคุยกับเขา ให้กำลังใจ แน่นอนก่อนที่จะมาถึงวันนี้เขายังมีการพูดคุยห่วงใย ไม่อยากจะให้แม่ได้เห็นสภาพ อยากให้คนที่ดูแลอยู่ที่บ้านก็คือพี่ชายดูแลแม่
ตอนที่พี่โอ๋เขาป่วย เขาก็กลับมาที่กรุงเทพฯ เขาก็สั่งเสียไว้ทุกอย่าง เราก็ได้คุยกันโดยตลอด ผมก็บอกว่าอย่าทำนะ คิดถึงพ่อแม่ การสั่งเสียจะบอกว่าสั่งเสียร่ำลา ได้คุยเอาไว้แล้ว เพราะในใจลึกๆ ก็รู้สึกว่าคราวนี้เป็นหนักมากๆ ส่วนตัวผมเองก็รู้สึกว่าพูดร่ำลากันไว้ก่อนก็ดี ก่อนจะมาถึงเหตุการณ์แบบนี้ก็ร่ำลากันเรียบร้อยแล้วครับ”
สิ่งที่เขาห่วงที่สุดคือคุณแม่?
“เขาห่วงแม่และก็ห่วงลูกเขาแหละครับ คือเขารู้ว่าคุณแม่ได้รับการดูแลดีอยู่แล้ว มีพี่ชายดูแลอยู่ ผมก็อยู่บ้านข้างๆ กัน ไม่ได้มีอะไร ในตอนสุดท้าย (นิ่งไป) เขาไม่ได้ห่วงอะไรแล้วครับ เขาสั่งเสียไว้หมดเรียบร้อยแล้ว (ปาดน้ำตา) เขาไปแบบหมดห่วงจริงๆ (เสียงเครือ)”
เรื่องลูกใครดูแลต่อ?
“ลูกเขาเป็นลูกบุญธรรมครับ ทางแม่เขาก็ดูแลต่อไปนะครับ”
สาเหตุการเสียชีวิต?
“การเป็นโรคซึมเศร้า มันมีหลายสาเหตุแหละครับ แต่สุดท้ายแล้วมันอยู่ที่เขาแหละครับ ไอ้โรคบ้าๆ แบบนี้มัน... (นิ่งไป) ทางบ้านไม่ได้ติดใจในการเสียชีวิตของพี่ชาย แต่เสียใจแน่นอน”
...
ในฐานะน้องชาย พี่ชายคนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?
“พี่ชายผมเป็นคนดีนะฮะ เขาเป็นคนที่ให้ เขาทุ่มเท ผมรู้สึกว่าในทางครอบครัวเราคงจะ... เขาให้มากเกินไปด้วยซ้ำไป ให้ไปเกินร้อย แต่นั่นคือนิสัยเขา เขาชอบช่วยเหลือคน เขาเป็นคนมีเมตตาครับ”
หลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไป?
“อย่างที่บอกว่าพี่ชายผมเขาขอว่าแค่วันเดียว แต่ผมก็แกล้งโจ๊กกับเขาว่าเฮ้ย วันเดียวคนอาจจะมาไม่ทันนะ เป็น 3 วันได้มั้ย ถามวันเผา ตอนคุยกันก็... (นิ่งไป) ใจจริงถ้าเราปลงได้ก็จบนะฮะ ชีวิตคนเรา แต่เขาขอไว้ว่างั้น 3 วันเผาแล้วกัน ก็จะเป็นไปตามที่เขาขอและต้องการ วันนี้เป็นวันรดน้ำและสวดวันแรก สวด 3 วัน วันพฤหัสก็เผาครับ หลังจากนั้นก็จะทำพิธีลอยอังคาร แต่ว่าจะเก็บไว้ก่อน หาฤกษ์ที่ดีไปลอยอังคารกันครับ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าเป็นที่ไหนครับ”
อยากบอกอะไรกับพี่ชาย?
“ผมพูดไปหมดแล้วครับ (ซับน้ำตา) ผม...ก็ดีใจที่ได้คุยกันครับ ได้พูดได้ร่ำลากัน ได้พูดกันไปหมดแล้ว ผมคงไม่ได้มาร่ำลาพี่ชายผมต่อหน้าสื่อมวลชนในตรงนี้นะครับ ผมพูดไปหมดแล้ว แต่ว่าผมอยากจะฝากถึงคนอื่นๆ ที่มีญาติเป็นโรคซึมเศร้านะครับ พาไปหาหมอ พูดให้กำลังใจ พูดความจริงในสิ่งที่เป็นไปได้ อย่าปล่อยไว้นาน ผมก็ดีใจที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยแบบเปิดอกกับพี่ชายผมเป็นครั้งสุดท้ายไปแล้วนะครับ”.
...