• ศิลปิน EDM ไทยยุคบุกเบิก ต้องฝึกฝนด้วยตัวเอง ไม่มีใครมั่นใจว่าจะรอด แต่มั่นใจว่าสนุก
  • มิตรภาพความประทับใจของ 4 สมาชิก เหตุการณ์สุดหลอนระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต
  • 9 ปี Boom Boom Cash โตกลับด้านจากวงอื่นๆ เพลงดังไม่เยอะแต่ทัวร์คอนเสิร์ตแน่น

ฮิตในเมืองไทยมาหลายปีแล้วสำหรับดนตรีแนว Electronic Dance Music หรือ EDM เพลงแนวตื๊ดๆ ที่ขาแดนซ์ได้ยินเวลาเข้าผับทีไรได้ลุกขึ้นเต้นทุกที และถ้าพูดถึงศิลปิน EDM อันดับต้นๆ ของเมืองไทยก็ต้องนึกถึง Boom Boom Cash (บูม บูม แคช) ที่เรียกได้ว่าเป็นศิลปิน EDM ยุคบุกเบิก มีผลงานเพลงต่างๆ อาทิ Blur Blur, One Life, สาธุ, No Way ฯลฯ แต่กว่าจะมีวันนี้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะในวันที่ EDM ยังเป็นแนวเพลงใหม่มากๆ ในเมืองไทย และยูทูบยังไม่ได้ทำเงินเช่นทุกวันนี้ ไม่มีใครคอยแนะนำ การจะเรียนรู้เทคนิคในการทำเพลงก็ต้องฝึกฝนพยายามด้วยตัวเอง

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์พูดคุยกับ 4 สมาชิก ฝ้าย ศัจจา พันพุก (ร้องนำ), แขก ชาลาลีคาน ซันคาน (แร็ป/เบส), เอ้ สัณหภาส บุนนาค หรือ เอ้ Botcash (ซินธิไซเซอร์/กีตาร์) และ โอเล่ จิโรจน์ เอี่ยวจินดา (กลอง) ที่ล่าสุดกลายเป็นหน้ากากแมวในนาม Sweet Tooth ถึงความเป็นมากว่าจะเป็น Boom Boom Cash เช่นทุกวันนี้ รวมถึงผลงานเพลงล่าสุด “HAKUNA MATATA” ซิงเกิลแรกหลังการกลับมาในรอบปีของพวกเขา ภายใต้สังกัดใหม่ HIGH CLOUD ENTERTAINMENT ที่บริหารงานโดย กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่

...

วันแรกที่รู้จักกัน

ก่อนที่จะมาเป็น Boom Boom Cash ในวันนี้ แรกเริ่มเดิมทีเอ้ แขก โอเล่ รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน และมีจุดที่ทำให้มารวมตัวกันเพื่อทำเพลง ซึ่งเอ้เล่าให้ฟังว่า “เริ่มต้นเลยคืออยู่คนละวงกันครับ พี่แขกกับพี่โอเล่จะอยู่วงเดียวกัน เอ้อยู่อีกวงนึง แล้วไปแข่งกัน วงเอ้ได้ที่ 2 วงพี่แขกตอนนั้นได้ที่ 1 ผ่านไป 1-2 ปีสมาชิกวงเอ้มือกลองออก ก็เลยไปดึงพี่โอเล่มา ไปๆ มาๆ สมาชิกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนมาอยู่วงเดียวกัน แล้ววงนั้นก็แตก จากนั้นก็เกิด Boom Boom Cash ขึ้นมา แล้วเอ้ดึง 2 คนนี้มาอยู่ด้วย อย่าเรียกว่าดึงเลย เรียกว่าหลอกมาวันนั้น (หัวเราะ)”

ถามว่าอะไรที่ทำให้ใจอ่อนยอมมาอยู่วง Boom Boom Cash กับเอ้ แขกบอกว่า “จริงๆ ตอนนั้นไม่เรียกว่าใจอ่อนครับ ยังทำดนตรีกันมาตลอดหลังจากวงเก่าแตก ตอนนั้นมันเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน ก็มีศิลปินคนนึงที่ผมกับเอ้ชอบมาก เขาเป็นนักร้องวงใต้ดินมาก่อนแล้วผันตัวมาเป็นดีเจ แล้วมันถูกจริตดนตรีมากๆ ก็เลยบอกว่าอยากทำอะไรคล้ายๆ แบบนี้ เอ้ก็เลยไปทำมา ไปเก็บตัวฝึกวิชาทำมาจนได้” เอ้หัวเราะก่อนเล่าต่อ “พอทำเสร็จก็เลยบอกพี่โอเล่กับพี่แขกว่าไปกินข้าวกันเดี๋ยวเลี้ยง เอาเพลงเปิดให้เขาฟังแล้วถามว่าทำด้วยกันเปล่า ก็เป็นเพลง “Blur Blur” ซิงเกิลแรกของ Boom Boom Cash”

เอ้เล่าว่าวันแรกที่เริ่มทำเพลงก็ช่วยกันหาเสียงกลองด้วยกันอยู่นานมาก จากนั้นแขกเสริมว่า “ยุคนั้นทุกอย่างมันยากไปหมดครับ ยูทูบก็เพิ่งจะเข้ามา ยังไม่มีใครสอน ก็ต้องงมกันเอาเอง แค่เสียงนึงเอ้ก็บิดมั่วเป็นอาทิตย์ครับ” เอ้เล่าต่อ “ตอนนั้นยูทูบยังไม่ได้ทำเงิน คนก็ไม่ได้อยากมาสอน สอนแล้วก็ไม่ได้เงินจะสอนทำไม แต่เดี๋ยวนี้คนแข่งกันสอนเทคนิคเต็มไปหมด เพราะตอนนี้ยอดวิวมันได้เงินแล้ว คนก็จะออกมานำเสนอเทคนิคดีๆ เต็มไปหมดเพื่อให้เกิดยอดวิวในยูทูบ แต่ลองนึกไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ยูทูบยังไม่ให้เงิน ไม่มีใครสอนฟรีด้วย ตอนนั้นวิชาใหม่มาก ทุกคนก็หวงหมดครับ เดี๋ยวนี้จ่ายเงิน 30 บาทได้เสียงแบบนี้เลยเป๊ะๆ”

ถามว่าในตอนแรกมีความมั่นใจแค่ไหนว่าจะไปรอดกับแนวเพลง EDM เอ้บอกว่า “จริงๆ Boom Boom Cash ใช้ชีวิตแบบไม่มีกังวลมาตั้งแต่แรก เพลงแรกของเราก็คือ Blur Blur ก็คือจะเบลอๆ จะลืมทุกอย่าง ขอสนุก เพลงที่ 2 คือ “One Life” ก็คือมีชีวิตเดียวจะใช้ให้เต็มที่ เพลงมันบอกตัวตนของพวกเราอยู่แล้วว่าพวกเราไม่สนเลยว่าจะเป็นยังไง วันนี้สนุกที่สุด พอใจกับสิ่งที่ทำ ไม่ต้องทำตามใครสั่ง แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว ผ่านไป 8 ปีก็ยังยืนยันคำเดิมครับ เพราะฉะนั้นสำเร็จหรือไม่สำเร็จพวกเราไม่รู้เพราะว่าเราสนุก ถ้าสำเร็จแต่ไม่สนุกก็อาจจะไม่มีความหมายเท่าไรครับ สำเร็จช้าแต่สนุกตลอดเวลามันมีความหมายนะผมว่า”

เมื่อถามแขกว่ามั่นใจในตัวเอ้มั้ยตอนที่กลับมาร่วมงานในนามวง Boom Boom Cash แขกตอบว่า “ผมมั่นใจว่าสนุก มันแน่นอน” เอ้ถึงกับหัวเราะก่อนบอกว่า “ไม่มีใครมั่นใจว่าจะรอดเลย ทุกคนมั่นใจว่าสนุกอย่างเดียว (หัวเราะ)” ฝ้ายแซว “เอาความสนุกมาก่อน” แขกเล่าต่อ “ไม่ได้คิดว่ายอดวิวจะเท่าไร เราจะต้องดังโน่นนี่นั่น เขาจะไลค์จะแชร์มั้ย ไม่เคยคิดถึงจุดนั้นเลยครับ คิดแค่ว่าซาวนด์แบบนี้โคตรมันเลยอะ ถ้าเล่นบนเวทีคือฮอลล์หักนะเนี่ย ผมคิดถึงตรงนั้นมากกว่า คิดถึงภาพเล่นบนเวทีแล้วโยกไปด้วยกัน แล้วผมมั่นใจมากว่ามันแค่นั้นเอง”

...

เมื่อฝ้ายเข้าวง

แต่หลังจากทำเพลงในนาม Boom Boom Cash ไปได้สักพักก็มีการเปลี่ยนแปลงสมาชิก จากเดิมที่ หมิว วริศรา อภิรักษ์เดชาชัย รับหน้าที่ร้องนำ กลายเป็นฝ้ายมาเป็นนักร้องนำแทน พอถามถึงเหตุผลที่เลือกฝ้ายมาทำหน้าที่นี้ แขกเล่าว่า “แฟนผมเขารู้จักฝ้ายเพราะทำงานแวดวงเดียวกันคือนักร้องกลางคืน ทีนี้เขาก็ส่งหลายคนมาให้ดู เราก็คุยกัน และเห็นฝ้ายในคลิปวิดีโอที่เขาร้องสดอยู่กับวง รู้สึกว่าเห็นตัวตนบางอย่างที่น่าค้นหา สามารถอยู่กับพวกเราได้ รู้สึกว่าคนนี้แหละใช่ ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน”

เอ้เล่าบ้าง “พอเอ้ไปดูข้อมูลเพิ่มเติมแล้วเห็นว่าฝ้ายเป็นดีเจด้วย แล้วไม่ได้เป็นดีเจอยู่แค่ในไทย เขาไปประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ เราทำเพลงที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเพลงดีเจด้วย คือนักร้องที่เราเลือกมาไม่ได้มีแค่ฝ้ายคนเดียวในตอนนั้น ทุกคนมีความสามารถหมด แต่มีฝ้ายคนเดียวที่มีความสามารถเพิ่มอีกอย่างคือเข้าใจเรื่องเพลงและสามารถเป็นดีเจได้ เอ้เลยมองว่าคนนี้มีคะแนนแต้มต่อมากกว่าคนอื่น

ทีนี้พออยากไปดูเล่นสด เราก็ตระเวนดูกัน แต่ของฝ้ายตอนที่จะไปดูเขา เขาจะต้องบินไปเล่นที่เมืองนอกพอดี เราก็รอจนฝ้ายกลับมา พอนัดเจอครั้งที่ 2 แต่งตัวเสร็จจะออกจากบ้านแล้ว ฝ้ายก็บอกว่าโดนแคนเซิล เราก็รอนัดครั้งที่ 3 ฝ้ายก็บอกว่าเดี๋ยวต้องไปเมืองนอกอีกแล้ว เราก็รู้สึกว่าคนนี้ยากเย็นจัง” ฝ้ายหัวเราะ เอ้เล่าต่อ “เราเลยยิ่งรู้สึกว่าเอ๊ะ หรือว่ามันต้องเป็นคนนี้ (หัวเราะ) ในความรู้สึกที่ว่าจะไม่รอแล้วนะ แต่อีกใจก็ขอรอดูก่อนจะได้หายข้องใจ

...

พออีกเดือนนึงกลับมาก็ไปดู ตอนแรกเห็นนักร้องอีกคนก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นฝ้าย ก็คิดว่าสงสัยคนนี้ไม่เวิร์ก แต่พอสักพักฝ้ายตัวจริงเดินขึ้นมา พอร้องปุ๊บก็อ้าว คนนี้ต่างหาก แล้วมันสว่างออกมาเลย จากความรู้สึกที่ว่าจะกลับบ้านแล้วก็กลายเป็นขอดูต่อให้จบ พอเห็นเขาร้องสด มีความสุขกับเพลง เห็นสีหน้าท่าทางการเพอร์ฟอร์มบนเวทีผมก็มั่นใจครับ”

จากนั้นฝ้ายเล่าถึงตอนที่ได้รับการติดต่อให้มาเป็นนักร้องนำของวงว่า “วันที่เขาไปดูเราเสร็จแล้ว ก็มีพี่ๆ ที่วงบอกฝ้ายว่าพี่แขกจะคุยด้วย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าพี่แขกคือใคร เรารู้จัก Boom Boom Cash แต่เราไม่รู้จักว่าใครชื่ออะไรบ้าง ก็เป็นวันนั้นเลยที่วงชวนไปอยู่ด้วยและถามว่าลองทำเพลงกันดูมั้ย ก็รู้สึกเซอร์ไพรส์และตื่นเต้น ความรู้สึกข้างในบอกว่าไปเลยๆ เรารู้มาว่าเขาอยากมาดูเราเล่น พอเราได้เจอเขาตัวจริง ด้วยเคมีด้วยการพูดคุยทำให้รู้สึกว่าเราทำงานกับแก๊งนี้ได้ รู้สึกได้ถึงพลังงานบวก ก็แอบตื่นเต้นด้วยเพราะเขาเก่งกันมากๆ ในใจรู้สึกว่าพร้อมไปเรียนรู้ มูฟไปด้วยกันค่ะ

ก่อนหน้านี้ฝ้ายทำงานคนเดียว มีวงที่เล่นกลางคืน ซึ่งการทำงานแตกต่างจากการเป็นศิลปินมากๆ แต่พอฝ้ายเข้ามาอยู่ในวงมีหลายเรื่องที่เราต้องเรียนรู้ปรับตัว มันแตกต่างกันมากก็จริง แต่ฝ้ายไม่เคยมีปัญหากับการปรับตัว” ถึงตรงนี้เอ้เสริมว่า “เพราะต้องปรับตัวทุกวัน (หัวเราะ) คือวงทำมาไกลแล้ว แล้วฝ้ายต้องถีบตัวเองเพื่อวิ่งตามวงให้ทันครับ ตอนแรกๆ ที่มาน่าสงสารมาก แต่งเพลงไม่ออก เขียนแค่ 2 ประโยคใช้เวลา 2 ชม. จนกระทั่งเพลงล่าสุดที่ฝ้ายแต่งแล้วร้องให้ฟัง พี่กอล์ฟลุกขึ้นปรบมือให้เลย คือเวลาเห็นฝ้าย Unlock ทีละอย่างแล้วมีความสุขมาก รู้สึกดีใจที่เลือกคนไม่ผิดครับ”

ความประทับใจและเรื่องสุดพีก

...

เมื่อถามถึงความประทับใจในกลุ่มสมาชิก Boom Boom Cash เอ้รีบแซวฝ้ายทันที “พูดดีๆ เด้อ (หัวเราะ)” ฝ้ายตอบ “ประทับใจในตัวทุกๆ คนหลายๆ เรื่องมากๆ แต่เรื่องที่ประทับใจที่สุดก็คือเราไม่เคยรู้สึกว่าโดนทิ้งให้อยู่ข้างหลัง โดนทิ้งให้ไม่รู้อะไร เขาพยายามจะบอกจะเติมอะไรให้เราตลอดเวลา อะไรที่ฝ้ายไม่รู้ตัวว่าทำไม่ถูกไม่ใช่ ควรจะเปลี่ยนแปลงอะไร เขาก็จะบอกเราเสมอ พยายามจะช่วยกัน นี่คือสิ่งที่ประทับใจมากที่สุด และเรื่องที่ประทับใจอีกเรื่องคือนิสัยใจคอ ทำงานด้วยสนุกมากและมันมาก ไม่เครียดค่ะ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา”

ด้านเอ้นิ่งคิดก่อนจะเล่าว่า “สำหรับเอ้ สิ่งนึงที่ยังประทับใจไม่ลืมคือวันที่เอ้ไม่มีเงิน แล้วเอ้อยากไปฟังเพลงดีๆ ในผับ พี่แขกก็เสนอตัวมา ตอนนั้นพี่แขกไม่ดื่มเลย เขาก็บอกว่ามาเดี๋ยวเติมค่าน้ำมันให้ เดี๋ยวเลี้ยงเบียร์และขับรถให้ด้วย ก็พาเอ้ไปฟังเพลงในตอนที่เอ้ไม่มีเงิน ตอนนั้นร้านอินเทอร์เน็ตหาเพลงฟังยากครับ ถ้าจะหาเพลงถูกลิขสิทธิ์ไม่มีให้ฟังเหมือนเดี๋ยวนี้ ก็ต้องไปฟังเอาตามร้านดีๆ ซึ่งร้านดีๆ ก็จะแพง พี่แขกก็จะพาไปฟังตลอดครับ”

ส่วนแขกพูดถึงความประทับใจในตัวฝ้ายว่า “ผมประทับใจในเรื่องก้าวกระโดดในความสามารถของฝ้าย จากคนที่ไม่เคยทำอะไรสักอย่าง แต่พอเขาเข้าใจแล้วปลดล็อกได้ เหมือนมันพุ่งทะยานไปข้างหน้า อันนั้นคือผมประทับใจในทุกเรื่องที่เขาทำ จากคนที่ไม่เป็นเลยไม่เข้าใจ แต่พอเราอธิบายแล้วเขาเข้าใจก็สามารถทำได้เลย ก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ดีครับ” ทำเอาฝ้ายยิ้มด้วยความดีใจก่อนเอ่ยคำขอบคุณและยกมือไหว้

ถึงตรงนี้เอ้เสริมว่า “เรื่องบางเรื่องมันยากมาก เราทำงานละเอียดลงดีเทล อย่างเรื่องเสียงหายใจถ้าเป็นนักร้องคนอื่นๆ อาจจะมองว่าจุกจิกจู้จี้ แต่สำหรับพวกเราคือการลงดีเทล เพราะฉะนั้นพอมาทำกับฝ้าย ต่อให้วิ่งช้าแค่ไหนก็ตาม พวกเราก็จะหยุดแล้วบอกเขาเพื่อจะได้วิ่งต่อได้ บางทีก็หยุดซ้อมเพื่อนั่งรอฝ้ายคิดจนกว่าจะคิดออก ไม่ได้กดดันด้วย เราก็รู้สึกว่ามีการพัฒนาเยอะขึ้นจริงๆ ถ้าความคิดฝ้ายไม่ลิงก์กับเรา มันจะเหมือนเรามานั่งตินั่งว่าเขาอยู่ ผมไม่รู้ว่าเขาคิดแบบนั้นรึเปล่า แต่สุดท้ายผลที่ออกมาก็ทำให้ทุกคนภูมิใจครับ” เมื่อถาม Sweet Tooth ถึงความประทับใจบ้าง งานนี้แขกพูดแทนว่า “เขาประทับใจในตัวผมเองที่ยังเป็นเพื่อนที่ดี (หัวเราะ)”

พอถามถึงวีรกรรมหรือเรื่องฮาๆ ภายในวง แขกรีบออกตัวทันที “กลัวจะออกสื่อไม่ได้น่ะสิ ถ้าสนุกขนาดนั้น (หัวเราะ)” ถึงตรงนี้เอ้แซวแขกทันที “พี่แขกเคยหักซีดีด้วยก้นครับ (หัวเราะ) อย่ารู้ดีเทลเลยครับ” แขกรีบพูดทันที “คือมันมีเรื่องเยอะมากเลยครับ อันนี้เหมือนเริ่มอันที่ 1 มันจะมีอันที่ 100 ด้วย แต่มันเริ่มไม่ไหวแล้ว” เอ้ขยี้ต่อ “ก็เอาง่ายๆ พี่กอล์ฟเดินเข้ามาในห้องแล้วบอกว่านี่ตัดสินใจอะไรผิดหรือเปล่า (หัวเราะ) พี่กอล์ฟช็อกไปนิดนึง”

ส่วนเหตุการณ์พีกระหว่างไปทัวร์คอนเสิร์ต เอ้เล่าว่าเคยเจอผีพร้อมกัน “อันนี้ผมว่าพีกสุด จำได้ว่าเจอพร้อมกันหมดเลย ตอนนั้นที่นั่งกินข้าวด้วยกันที่พื้น แล้วพี่แขกเปิดประตูหน้าห้องเข้ามาถามว่าจะไปมินิมาร์ท เอาอะไรรึเปล่า แล้วเราเห็นผู้หญิงคนนึงเดินไปข้างหลังพี่แขก ซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นอีกคนที่อยู่ในทีมเราเดินผ่านพี่แขกไป ทุกคนในห้องก็เห็นเหมือนกันหมด เราก็บอกว่าให้ถามเขาด้วยสิว่าเอามั้ย แล้วพี่แขกก็หันไปข้างๆ แล้วพูดว่าถามใครวะ แล้วข้างๆ เป็นหน้าต่าง คือลืมไปว่าห้องเราอยู่ริมสุดแล้ว ก็แปลว่าทางเดียวที่จะมีผู้หญิงเดินผ่านหลังพี่แขกแล้วหายไปได้คือกระโดดไปนอกตึก สรุปหลังจากนั้นก็ไม่เอาอะไรแล้ว ปิดประตูห้องเลยครับ (หัวเราะ) นาทีนั้นไม่กินแล้วครับ”

HAKUNA MATATA

4 สมาชิกเล่าถึงการทำงานเพลง “HAKUNA MATATA” ซึ่งมีที่มาจากภาษาสวาฮิลี (ภาษากลางของแอฟริกัน) แปลเป็นไทยได้ว่า “ใช้ชีวิตแบบไม่มีกังวล” เริ่มจากเอ้ที่เล่าว่า “เรารู้จักคำนี้จากหนังเรื่อง The Lion King คือเราได้ยินคำนี้มาบ่อย แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าแปลว่าอะไร พอมาค้นดูถึงรู้ว่าแปลว่าการใช้ชีวิตแบบไม่มีกังวล เราก็เลยรู้สึกว่าคำนี้ความหมายดีจัง มันคือความฝันของมนุษย์ทุกคนที่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ คือแค่อยากมีความสุขทุกวัน เราก็มองว่ามันน่าจะเหมาะกับการคัมแบ็กของวง ใช้เป็นซิงเกิลเปิดตัวอัลบั้ม มันเป็น Boom Boom Cash ที่ทุกคนรู้จัก คือไม่กังวลเรื่องชีวิตวันพรุ่งนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว (หัวเราะ)”

ในส่วนเนื้อหาก็คือจะพูดถึงเรื่องที่ไม่อยากให้กังวลกันคนละแบบ เอ้บอกว่า “ของเอ้จะพูดถึงการไม่มีกังวลเรื่องเล่นดนตรีในผับ ยังทำในสิ่งที่ทุกคนเคยบอกเมื่อ 10 ปีที่แล้วว่าเฮ้ย มันจะดีเหรอ จะรอดเหรอ แล้วเรายังคงทำอยู่ แต่ต่อให้โดนดูถูกยังไงก็ช่าง เรามูฟออน เราไม่กังวล แต่เราก็เอามาเล่าในรูปแบบเพลง” ฝ้ายเล่าบ้าง “ของฝ้ายพูดถึงปัญหาทั่วไปที่คนส่วนใหญ่ต้องเจอคือเรื่องอกหัก ส่วนนึงก็อิงกับประสบการณ์ที่ผ่านมาด้วย พอผ่านช่วงเวลาแย่ๆ ไปแล้ว ตอนนี้ก็ไม่กังวลอะไรแล้ว ลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตัว ใช้ชีวิตต่อไป มีความสุขในทุกวัน” ด้านแขกเล่าว่า “ของผมจะพูดถึงเรื่องการใช้ชีวิตที่ไม่มีกังวล ไม่มีใครมาบังคับ ใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะทำ ถ้าคนรักกันจริงๆ คนเราจะมีความสุข ก็ให้เขาไปมีความสุขสิ”

และความแปลกใหม่ของการกลับมาครั้งนี้คือ Sweet Tooth ซึ่งเอ้เผยเหตุผลที่ Sweet Tooth ต้องใส่หน้ากากแมวว่า “คือพี่โอเล่ มือกลองของเราโดนแมวข่วนหน้า เขาชอบเล่นกับแมวมาก เลี้ยงแมวไว้ที่บ้าน วันนั้นซ้อมกลองอยู่ดีๆ แมวเขาเป็นอะไรไม่รู้ขึ้นมาข่วนหน้าจนเสียโฉมไปหมดเลย ติดเชื้อหนักมาก ก็เลยต้องส่งไปดูแลที่สถานที่แห่งนึง พอกลับมาเขาบอกว่าถ้าไม่มีตัวนี้สวมอยู่ เขาจะใช้ชีวิตไม่ได้ ติดเชื้อแมวขั้นสูงมาเลยกลายเป็นแบบนี้ ตอนนี้พูดไม่ได้แล้วด้วย” แขกเสริม “อันนี้เป็น HAKUNA MATATA ของมือกลองครับ”

การทำเพลงอัลบั้มใหม่ภายใต้สังกัดใหม่ High Cloud Entertainment เอ้บอกว่ามองจากมุมข้างนอกอาจต้องปรับตัว แต่มองจากมุมข้างในมันตื่นเต้นไปหมด ทำงานสนุกมาก ไม่ได้มองว่าปรับตัว แต่มองว่ามีของใหม่เต็มไปหมด ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ 4 คน แต่มีค่าย High Cloud ซัพพอร์ตเป็นครอบครัวด้วย เพราะฉะนั้นเวลาทำเพลงมีพี่กอล์ฟและทีมงานหลายๆ คนมาช่วย บางทีก็มีค่ายอื่นมาช่วยเหมือนกัน ทำให้ทำงานเป็นทีมเยอะกว่าเดิมมากๆ เป็นการผจญภัยครั้งใหม่ที่สนุกมากจริงๆ

ในพาร์ทมิวสิกวิดีโอ เอ้บอกว่า “เอ็มวีก็จะสีสันฉูดฉาดมาก เป็นอะไรที่ประหลาดสุดๆ พวกเราดูแล้วยังรู้สึกประหลาดอยู่เลย เราอยากทำอะไรใหม่ๆ อยากให้มันสนุก เพราะฉะนั้นในเอ็มวีนี้จะเห็นสิ่งที่พวกเราไม่เคยทำมาก่อนคือการเต้น (หัวเราะ) ปกติเราจะเล่นดนตรีเฉยๆ แต่เอ็มวีนี้เราเต้นแบบมีไลน์ มีการซ้อมเต้น ก็ไปเรียนกับครูสอนเต้นแบบจริงจังเลยครับ” ฝ้ายเล่าต่อ “พวกเราซุ่มซ้อมเต้นกันเพื่อเอ็มวีนี้เลยค่ะ ตอนแรกๆ ก็ยากอยู่ แต่พอฝึกไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าไม่ยากแล้ว ยิ่งตอนไปถ่ายเอ็มวีคือโอเคแล้ว”

แม้ยังคงเป็นแนว EDM เช่นเดิม แต่เอ้บอกว่าเป็น EDM รสชาติใหม่ที่วง Boom Boom Cash ยังไม่เคยทำ ทำเพลงเต้นมาเยอะแล้วแต่ยังไม่เคยเต้นกันเองเลย เพลงนี้เลยมีท่าเต้นจริงจัง การคิดคือไม่ได้คิดแค่ดนตรี แต่คิดเผื่อถึงขั้นตอนว่าจบแล้วมีการเต้นด้วย อาจจะพิเศษกว่าเพลงอื่นที่คิดแค่ว่าทำเพลงให้คนอื่นเต้น เต้นแบบไหนไม่ได้แคร์ ขอแค่ให้สนุก แต่เพลงนี้เราแคร์ว่าจะต้องเต้นแบบไหน มีความใส่ใจในเรื่องท่าเต้นเพราะเราต้องเต้นด้วย

ชีวิตยุคโควิด

ในยุคโควิดสำหรับศิลปินเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบมากมาย ซึ่งฝ้ายยอมรับว่าส่งผลกระทบชีวิตส่วนตัวและความเป็นอยู่เยอะมาก ส่วนเรื่องงานคือรู้สึกคิดถึงเวที คิดถึงการออกไปร้องเพลง จริงๆ เราก็ยังอยู่กับเสียงเพลงอยู่เบื้องหลัง ถึงไม่ได้อยู่เบื้องหน้าแต่ก็ยังทำเพลงอยู่ตลอด ด้านแขกบอกว่าในช่วงโควิดก็ไปทำงานเบื้องหลังเป็นโปรดิวเซอร์ 2-3 ศิลปิน แต่งเพลงโฆษณา ทำสเกตบอร์ดขาย รู้สึกว่าใหม่ดีเพราะปกติชอบสเกตบอร์ด พอดีรุ่นน้องมาชวนทำก็เลยลองทำด้วย ก่อนจะเล่าแทน Sweet Tooth ว่าช่วงโควิดนอกจากรักษาตัวแล้วยังใช้เวลาไปเทรดบิตคอยน์ด้วย

ด้านเอ้ที่นอกจากจะทำเพลงตามโปรเจกต์ต่างๆ แล้ว ต้องแบ่งเวลาทำเพลงของวงด้วย ถามว่าแบ่งเวลายังไง เอ้บอกว่า “ผมไม่ได้คิดว่าต้องแบ่งเวลายังไงครับ พอจะนัดทำเพลงกันทีก็จิ้มหาวัน แต่เราแค่ไม่เว้นนานจนรู้สึกว่าไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ บางที 2 สัปดาห์ก็นัดเจอกันเรื่อยๆ ถ้าไม่เจอก็จะอัปเดตกันให้ลองฟัง พอมีโอกาสได้มาเจอก็เอาไอเดียมากางดูว่ามีอะไรบ้าง พอได้เพลงก็จะเอามาทำต่อทั้งวัน คือทุกเวลาของเอ้คือการทำเพลงอยู่แล้ว เอ้แค่เลือกว่าจะทำเพลงไหนก่อนหลังแค่นั้นเองครับ อาจเป็นความโชคดีที่เอ้เลือกอาชีพของเอ้เป็นการทำเพลงหมดเลย มันเลยไม่ต้องแบ่งเวลาครับ ยังไงก็ต้องทำเพลงอยู่ดี (หัวเราะ)”

เมื่อถามเพื่อนสมาชิกในวงว่ารู้สึกยังไงที่ตอนนี้เอ้กลายเป็นคนดังที่ชาวโซเชียลรีเควสต์ให้ทำเพลงตามกระแสโชเชียลในเวลานั้นอยู่บ่อยๆ แขกบอกว่า “ก็ภูมิใจแทนเอ้นะครับ ผมเห็นเอ้ทำดนตรีมาตั้งแต่มัธยม ตั้งแต่รู้จักกันแรกๆ ก็คือเอ้เป็นคนที่ทำดนตรีอยู่ตลอดเวลา แอ็กทีฟตลอดเวลา จนมาถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม อาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ถ้าสำหรับมุมมองผม น้องประสบความสำเร็จแล้ว”

เอ้เสริม “คือเอ้กับพี่แขกเจอกันตั้งแต่เอ้อยู่ ม.4 ตอนนั้นเพิ่งหัดทำเพลง แข่งดนตรีก็เจอพี่แขก เขาเป็นวงที่ชนะวงผมตอนนั้น เราก็อยากทำเพลงเก่งกว่านี้ อยู่ดีๆ ก็ชวนเขามานอนที่บ้าน นอนอยู่เป็นสัปดาห์เลย พ่อแม่ก็งงว่าเอาใครมานอนที่บ้าน ไม่รู้จัก (หัวเราะ) แต่ผมบอกไปว่าพี่คนนี้ทำเพลงเก่งมาก ก็นั่งทำเพลงกันทั้งวัน ไม่ออกไปไหนเลย เลยสนิทมาตั้งแต่ตอนนั้น คือเอาใครก็ไม่รู้มานอนที่บ้านด้วยเหตุผลว่าอยากทำเพลงด้วย (หัวเราะ) โคตรมันเลยตอนนั้น”

9 ปี Boom Boom Cash

เมื่อให้รีวิวชีวิตในวงการเพลงในนาม Boom Boom Cash เอ้นิ่งคิดก่อนร่ายยาวว่า “เอ้ไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้ใช่การรีวิวมั้ย แต่เวลาเอ้นึกย้อนมองกลับไปว่า Boom Boom Cash มันโผล่ขึ้นมาได้ยังไงในประเทศนี้ ผมรู้สึกว่าวงเรามันโตกลับด้านจากวงอื่นๆ ศิลปินทั่วไปออกซิงเกิลเพลงดังถึงไปทัวร์คอนเสิร์ต พอไปทัวร์ถึงเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่วงเรากลับด้านตรงที่วงเราไม่มีเพลงดังสักที แต่ทัวร์เยอะจนไม่มีเวลาทำเพลง ปีแรกของ Boom Boom Cash มี 2 ซิงเกิล แต่มีทัวร์ 250 ที่ภายใน 365 วัน

เอ้ไม่แน่ใจว่ามันคือความโชคดีหรือมันคือความบ้าของพวกเราว่าดีแล้วที่เลือกความบ้าได้ขนาดนั้น เราสร้างเพลงฮิตไม่เก่งเท่าไร แต่เราได้ประสบการณ์เล่นดนตรี เราเชื่อว่าเราไม่ค่อยแพ้ใครเหมือนกัน เราสื่อสารหาคนตรงนั้นได้จริงๆ แล้วมันปากต่อปาก เราค้นพบว่า ณ ตอนนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีเพลงฮิตก็ได้ แต่มันต้องมีเพลงที่ทำงานสื่อสารกับแฟนเพลงของเราได้ เราไม่มีเพลงฮิต แต่ลงจากเวทีเจ้าของร้านบอกว่าเดือนหน้าว่างอีกหรือเปล่า จะเอามาอีก เราได้รับฟีดแบ็กแบบนี้บ่อยๆ

ตอนนี้พยายามทำเพลงที่คนอื่นอาจมีไปนานแล้วคือเพลงฮิต ซึ่งในระหว่างที่เราจะสร้างเพลงฮิต คิดได้แป๊บเดียวก็แบบไม่ต้องฮิตก็ได้มั้ง ขอให้เราชอบ (หัวเราะ) เป็นแบบนี้ตลอด พี่กอล์ฟก็จะปวดหัวแล้วบอกว่าไหนจะทำเพลงฮิตไง แต่มีอยู่วันนึงทำเพลงที่เราคิดว่าเป็นเพลงฮิตมาส่งค่าย ค่ายบอกไม่เอาแล้ว อยากได้เพลงมันๆ (หัวเราะ) ซึ่งเราโชคดีที่ไม่เคยมีใครขอให้ทำเพลงฮิต คือเวลาทำตามโจทย์คนอื่นเราเข้าใจได้ แต่เวลาผมทำเพลงตัวเอง ผมไม่เคยเอาตรงนี้เป็นที่ตั้ง

เรามองว่าตราบใดที่เราสื่อสารความสนุก ความจริงใจของวงเราไปหาแฟนๆ เรายังรู้สึกว่านี่คือ Boom Boom Cash มันก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ครับ ผมว่าถ้าตั้งใจทำแต่เพลงฮิตยอดวิวเยอะๆ ความสุขของเพลงมันหายไป เวลาผมทำงานกับศิลปินคนอื่น ผมจะบอกว่าให้แต่งเพลงที่มีความหมายกับตัวศิลปินหรือคนรอบข้าง ถึงยอดวิวมันน้อย เพลงนั้นก็ยังมีความหมายกับศิลปินคนนั้นอยู่ ส่วนยอดวิวเป็นของแถม มันไม่ได้แปลว่าทำเพลงเดียวไม่ฮิตแล้วชีวิตจะจบตรงนั้นครับ เรามีเวลาสร้างผลงานไปได้เรื่อยๆ ทำเพลงที่ทำให้เรามีความสุขดีกว่า”

เอ้ขยายความเพิ่มเติมว่า Boom Boom Cash หายไปหลายปี เพลงแดนซ์เจอกระแสฮิปฮอปกลืนไป เพลง EDM คนเบื่อไปตั้งนาน แต่อยู่ดีๆ ปีที่ผ่านมากระแสเพลง EDM กลับมาในรูปแบบใหม่ ผสมกับฮิปฮอป K-POP T-POP ตอนนี้เพลงไม่มีพรมแดนแล้ว ถ้าเรามั่นคงกับมันมากพอ วันนึงมันจะตอบแทนเราเอง

ถามว่ามองวงการ EDM ว่าจะเป็นยังไงต่อไป แขกบอกว่า “ผมมองว่าช่วง 4-5 ปีหลังค่ายต่างๆ เซ็นสัญญากับศิลปินดีเจของไทย ดีเจไทยทำเพลงตัวเองออกมาคอลแลปส์กับดีเจชาวต่างชาติด้วย ผมเลยมองว่าการพัฒนาของ EDM ไทยกระเตื้องขึ้นมาเรื่อยๆ มันไม่ได้หายไปไหน”

ส่วนเอ้เสริมว่า “เอ้มองว่าประสบการณ์การฟังเพลง EDM มันกำลังเคลื่อนที่ไปอยู่โลกออนไลน์ เราไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นคนมาขายบัตรแล้ว sold out ได้เงินเป็นล้าน คนอยากเข้าไปดูคอนเสิร์ตในเกม EDM เป็นเพลงอิเล็กทรอนิกส์ มันกำลังเคลื่อนที่ไปอยู่ในโลกอิเล็กทรอนิกส์ จริงๆ เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นก่อนมีโควิดด้วย แต่ทุกวันนี้คนจัดคอนเสิร์ตในออนไลน์หมดแล้ว แล้วเมื่อเพลง EDM มันซิงค์กับระบบดิจิทัลทุกอย่างที่อยู่บนโลกออนไลน์ วันที่โลกเป็นแบบนั้น มันมีบรรยากาศแบบใหม่ให้เสพ ผมว่า EDM มันจะกลับมายิ่งใหญ่ในรูปแบบนั้น เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ และน่าจะเป็นก้าวสำคัญของ EDM ตอนนี้ค่ายเพลงต่างๆ ในเมืองนอกก็เริ่มทำแบบนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้วครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : HIGH CLOUD ENTERTAINMENT
กราฟิก : Sathit Chuephanngam