แม้จะเผชิญกับอาการโรคมะเร็งปอดระยะที่ 4 และต้องเจอเอฟเฟกต์จากการรักษาด้วยคีโม แต่อดีตพิธีกรดัง อาต้อย เศรษฐา ศิระฉายา ก็ไม่ท้อ มีกำลังใจสู้กับโรคร้าย ล่าสุด อี๊ฟ พุทธธิดา ศิระฉายา ลูกสาว มาร่วมพิธีหมั้นของคู่รักดัง ดา เอ็นโดรฟิน และ เดนนิส ไทยคูน นักข่าวเลยให้เจ้าตัวอัปเดตอาการของคุณพ่อ ซึ่งอี๊ฟเผยว่าตอนนี้คุณหมอต้องหยุดให้คีโมไปก่อน เนื่องจากน้ำหนักคุณพ่อลดลงไปเกือบ 10 กก. จึงต้องฟื้นฟูร่างกายให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเพื่อกลับมาทำการรักษาด้วยคีโมอีกครั้ง

ถามถึงอาการป่วยคุณพ่อ?
“ก็ตอนนี้คุณพ่อเพิ่งกลับบ้านได้ 2 วัน หลังจากที่อยู่ รพ. มาช่วงนึง เข้าๆ ออกๆ เนื่องจากทานไม่ได้ มีอาการคลื่นไส้ค่อนข้างเยอะ น้ำหนักลงเยอะ เราก็เลยต้องให้อาหารทางสายยางช่วงนึง ตอนนี้ก็กลับมาลองพยายามทานปกติดูค่ะว่าจะสามารถเพิ่มน้ำหนักได้มั้ยค่ะ ตอนนี้คุณพ่อหนัก 50 กก. ลดเยอะค่ะ เพราะว่าช่วงที่รักษาคีโมอยู่จะอยู่ที่ประมาณ 57 กก. ตอนนั้นก็ผอมแล้วนะ เพราะเป็นน้ำหนักที่ลงจากปกติแล้วค่ะ”

...

ตอนให้คีโมครั้งล่าสุดก็เลยต้องอยู่ รพ.ต่อ?
“อ๋อ ไม่ค่ะ หลังจากคีโมเดือนก่อน พอมาถึงรอบเดือนนี้คุณหมอไม่สามารถให้ได้เนื่องจากน้ำหนักลงมากเพราะมีอาการคลื่นไส้เยอะ ทำให้ทานไม่ได้ ตั้งแต่ช่วงที่ต้นบวช ช่วงนั้นก็คือทานไม่ได้ มันก็ขึ้นๆ ลงๆ เพราะว่าบางวันทานได้เขาก็พยายามทาน แต่มันคงไม่เพียงพอ”

หมอบอกว่าเป็นเอฟเฟกต์จากอาการแพ้?
“แรกเลยเป็นเอฟเฟกต์จากอาการแพ้ แต่ตอนนี้เนื่องจากพอหยุดให้ยาไปเป็นเดือน เราคิดว่าอาจไม่ได้เกี่ยวซะทีเดียวเพราะว่ามันน่าจะลดลงแล้ว พูดง่ายๆ อาการแพ้น่าจะลดลงแล้ว เพราะหยุดให้ยามาเดือนครึ่งแล้ว อาจเป็นได้จากหลายๆ อย่าง แต่เราคงต้องยอมรับว่าคีโมเที่ยวนี้มันหนักกับเขาจริงๆ มันก็เลยส่งผลยาวมา”

คีโมที่ให้ไปช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาไหม?
“จริงๆ เรื่องตัวโรคมะเร็งตอนนี้ยังคุมได้อยู่นะคะ ยังไม่ได้มีการกระจายอะไร เท่าที่หมอพูดเหมือนกับว่าหลังจากที่คีโมครั้งใหม่ 2 ครั้งที่ทำให้ทานไม่ได้ ก็ไป CT ตัวโรคก็ยังไม่มีอะไรเพิ่มเติม ยังดูดีอยู่ เพียงแต่ว่าพอน้ำหนักลงมากๆ เราไม่สามารถให้การรักษาคีโมแบบครบโดสได้ เราตั้งเป้าไว้ 6 ครั้ง ตอนนี้เพิ่งได้ไปแค่ 2 ครั้ง คุณหมอโฟกัสว่ายังไงก็อยากให้คุณพ่อเพิ่มน้ำหนักให้ถึงเกณฑ์ก่อน ไม่งั้นการให้คีโมก็ทำลายร่างกายไปด้วย”

การรักษาหลังจากนี้จะต้องทำยังไงบ้าง?
“อันดับแรกคือต้องเพิ่มน้ำหนักก่อน ฟื้นฟูก่อน ให้พ่อเป็นปกติมากที่สุดก่อน ถึงจะดูแนวทางการรักษาต่อไปได้ ตอนนี้เราไม่ได้โฟกัสเรื่องตัวก้อนเนื้อเลย เพราะมันยังไม่มีอะไรที่น่ากังวลเท่าไร กังวลกับตัวเขามากกว่าเขาจะสามารถฟื้นฟูได้แค่ไหนอย่างไรค่ะ”

เขามีกำลังใจยังไงบ้าง?
“เขาก็สู้มากนะคะ แต่มันเหมือนคนเมารถแล้วบังคับให้เขากินข้าวน่ะ มันทานไม่ลงก็คือทานไม่ลง เราก็พยายามปรับเปลี่ยน ลองของใหม่ๆ มีใครส่งอะไรมาเราก็พยายามนะคะ แต่มันเป็นความรู้สึกของเขาที่ว่าเขาคลื่นไส้ เหม็นคาว เราถึงต้องฟีดอาหาร แต่พอฟีดแล้วเขาก็รำคาญอีกเพราะคนไม่เคยน่ะ อยู่ได้สักช่วงนึงก็ไม่โอเค ตอนนี้ก็เลยต้องพยายามให้เขากลับมาทานปกติดูก่อน แต่ก็ทานเป็นอาหารเหลวค่ะ”

คุณหมอบอกไหมว่ามันเกี่ยวกับอะไร?
“ก็เพราะไม่ทานแค่นั้นเลยค่ะ เราก็บอกไม่ได้เพราะว่าพ่ออธิบายได้แค่ว่าเขาคลื่นไส้ ไม่อยากทาน”

มีคนแนะนำการรักษาทางเลือกไหม?
“มีค่ะ จริงๆ ปกติคุณพ่อก็ใช้ควบคู่อยู่แล้ว แต่เข้าใจว่าเอฟเฟกต์ตัวยาค่อนข้างแรงจริงๆ นะคะ แต่เขาก็พยายามอยู่ แล้วมันก็คงเหนื่อยกับการที่ยาก็เยอะ ทานก็ไม่ค่อยลง กินยาก็อิ่มแล้วน่ะ แล้วต้องพยายามทานอาหารอีก มันก็มีหลายปัจจัย ซึ่งเราก็พยายามปรับไปทุกๆ วัน”

...

เขามีบ่นหรืออยากเจอใครไหม?
“ก็อย่างวันที่ต้น (สามี) บวช ทุกคนก็บอกว่าเขาดูสดใสร่าเริง อี๊ฟคิดว่ามันค่อนข้างยากลำบากสำหรับคนที่ป่วยในยุคนี้ เพราะคนที่จะมาก็กังวล มันก็เลยอาจจะไม่สดชื่นตรงที่ไม่ได้เจอใคร ก็มีบ้างเหมือนกันเวลาได้เจอคนทีก็จะเบิกบานหน่อย เหมือนลืมๆ ไม่ได้โฟกัสว่าป่วย เขาก็ทานได้”

หลานก็มาอยู่ด้วย?
“ก็อยู่ด้วยตลอด ช่วยได้เยอะค่ะ ที่อยากกลับบ้านเพราะอยากกลับมาหาหลาน แต่ทีนี้เราก็ต้องดูไปตามอาการของโรค ถ้าเขายังทานไม่ได้มากๆ คุณหมอก็ยังบอกว่าถ้า 2-3 วันแล้วยังทานได้ไม่ค่อยดี ยังน้อยกว่าที่กำหนด ก็ต้องกลับไปค่ะ คงต้องเป็นอย่างนี้ไปอีกสักพักนึง”

ให้กำลังใจคุณแม่ยังไงบ้างเพราะเป็นคู่ชีวิตมายาวนาน?
“แม่ค่อนข้างเครียดในช่วงที่ผ่านมาเพราะพ่อทานไม่ได้เนอะ เขาก็จะพานทานไม่ได้ไปด้วย เพราะพ่อนั่งอยู่เฉยๆ ที่โต๊ะ นั่งหน้าเมื่อยๆ แม่เขาก็ทานอะไรไม่ลงไปด้วย ทีนี้ในช่วงที่ไปอยู่ รพ. อี๊ฟก็บอกเขาว่าเราต้องปรับตัวนะ มันไม่มีใครไม่เครียดหรอก แต่เราต้องคิดไปข้างหน้าว่าเราจะทำยังไงให้มันดีกว่านี้ แม่ก็ปรับตัวเยอะ คือจริงๆ เขาเป็นคนพยายามอยู่แล้ว เขาเป็นนักสู้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาก็อยากผลักดันให้พ่อพยายามด้วย แต่อี๊ฟเข้าใจว่าโรคของพ่อมันต่างกัน หลักเกณฑ์ความพยายามของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันค่ะ ต้องทำงานกันเป็นทีม ช่วยกันหาวิธี”

...

อี๊ฟเองก็เป็นเสาหลักของบ้านด้วย?
“มันก็เป็นเรื่องที่จำเป็นน่ะ เพราะลูกคนเดียวก็แบบนี้ ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่ว่าก็ยังโชคดีที่มีเลขาฯ ผู้ช่วยคุณพ่อ ที่เป็นเสมือนครอบครัวนะคะ และเพื่อนๆ หลายๆ คนที่ผลัดเวียนกันมา อย่างอี๊ฟมางานวันนี้ เลขาฯ ก็ต้องไปเฝ้าแทน ก็ต้องสลับกันค่ะ”

เราเห็นคุณพ่อสู้แค่ไหนกับสิ่งที่เผชิญอยู่?
“คือเราไม่ได้เป็นอย่างเขาน่ะ เราก็จะพูดว่าถ้าเป็นเรานะ เราจะ... แต่เราไม่ได้อยู่ในจุดนั้นอย่างเขา เพราะฉะนั้นเข้าใจว่านี่คือดีที่สุดแล้วที่เขาทำได้และทำไหวในเวลานี้ พ่อยังขึ้นลงบันได ยังยกหลานได้ คือนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วยกขึ้นมานั่งตัก ซึ่งหลานก็ 15 กก. แล้ว เพราะฉะนั้นอี๊ฟมองว่าเขายังพยายามอยู่มาก ยังอยากทำอะไรด้วยตัวเอง ยังพยายามที่จะเป็นปกติ ไม่ได้ท้อหมดกำลังใจอะไร เพียงแค่ว่ามันเหนื่อยกับการต่อสู้กับสภาวะร่างกายที่เป็นอยู่ค่ะ”.

ขอบคุณภาพจากไอจี @yvessirachaya