ได้ฤกษ์ดีทำพิธีหมั้นและยกน้ำชาเรียบร้อยแล้ว สำหรับนักร้องสาวเสียงทรงพลัง ดา ธนิดา ธรรมวิมล หรือ ดา เอ็นโดรฟิน และแร็ปเปอร์หนุ่ม เดนนิส ไทยคูน ซึ่งพิธีดังกล่าวถูกจัดขึ้น ณ ร้าน Mother May I เอกมัยซอย 10 แยก 2 ซึ่งหลังจากทำพิธีเสร็จสิ้นแล้ว ดา-เดนนิส เปิดใจถึงความรู้สึกหลังเข้าพิธีสำคัญในชีวิต ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนที่มาทำข่าวพร้อมทั้งร่วมแสดงความยินดีกับทั้งคู่ด้วย

ความรู้สึกในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
ดา : ตอนแรกก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมคนเขาถึงร้องไห้กันในงานแต่งงาน คือมันเป็นโมเมนต์ที่บางทีเราขอพรจากพ่อแม่ หรือขอพรจากผู้ใหญ่ มันเหมือนกับชีวิตได้รับโอกาสครั้งใหญ่ไปเลย
เดนนิส : ตอนที่ได้ยินเสียงของแม่ ได้ยินเสียงของยาย มันรู้สึกโดนเลยครับ (หัวเราะ)
ดา : ใช่ค่ะ ไปทั้งคู่เลย ร้องออกมาเองน่ะค่ะ มันเหมือนแบบตั้งแต่เด็กจนโต ตัวดาเองไม่เคยคิดเลยว่าเราจะแต่งงานกับเพื่อนที่เราเคยรู้จัก เพราะมันเดินทางมาเป็น 10 กว่าปี กว่าจะมีโมเมนต์นี้
...
พิธีการในตอนเช้าทุกอย่างเป็นไปตามที่ตั้งใจไว้?
ดา : ง่ายๆ มากเลย ออร์แกไนซ์ก็คือเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และก็มีพี่ๆ ออร์แกไนซ์ที่เป็นเรื่องความสวยงามของสถานที่ช่วยด้วย ส่วนพ่อ แม่ พี่ น้อง เราก็เอามาใช้หมดเลยค่ะ เพราะว่าจากสถานการณ์โควิด เราก็ใช้เป็นครอบครัวส่วนใหญ่ จริงๆ คุณแม่ของเดนนิสจะต้องกลับแอลเอในเดือน ม.ค. เราก็เลยคิดว่าทำธุระกันให้เสร็จเลยดีกว่า
วันนี้เป็นการเจอกันครั้งแรกของทั้ง 2 ครอบครัว?
เดนนิส : ใช่ครับ
คุณพ่อคุณแม่อวยพรแต่ละคนยังไงบ้าง?
ดา : เขาบอกให้เราผ่อนหนักเป็นเบา ให้ร้อน ให้เย็น คือถ้ามีคนหนึ่งร้อน อีกคนก็ต้องให้อภัย คนเราอยู่กันได้นานๆ ต้องให้อภัยกันเยอะๆ
เดนนิส : ส่วนผมไม่รู้เลย คำแรกก็ร้องไห้เลย (หัวเราะ) จำไม่ได้เลย โมเมนต์มันแบบว้าวมาก เหลือเชื่อจริงๆ
ดา : ตอนก่อนสวมแหวน ดาก็สะกิดเขานิดนึงนะ ถามเขาว่าคุณพร้อมแล้วใช่ไหม เพราะนี่หมายถึงตลอดไปแล้วนะ (ยิ้ม) แต่พอเจอคุณแม่อวยพรไปเท่านั้นแหละ ปี่แตกเลยค่ะ

ถามถึงวันแรกที่รู้จักกัน?
ดา : มันจะเป็นแบบกรึ่มๆ หลังตี 1 มันจะเป็นโมเมนต์นั้น (หัวเราะ) ซึ่งถ้าย้อนไปก็จะอายุประมาณ 23-24 กำลังเปรี้ยว เที่ยวสุดๆ เลย ณ ตอนนั้นไม่ได้มีคำว่าครอบครัวเข้ามาในหัวหรอกค่ะ มันมีแต่คำว่าตัวเอง มีแต่คำว่าฉันจะให้อนาคตดียังไง ดาอยากเป็นนักร้อง เขาอยากเป็นแร็ปเปอร์ อยากให้งานของเราออกมาเป็นยังไง คือตามใจตัวเองเยอะ ความเป็นวัยรุ่น แต่พอเราโตขึ้น มันก็มีเรื่องครอบครัว อย่างคุณยายของดาที่แก่ขึ้น ปีนี้อายุ 84 แล้ว เราก็อยากให้คุณยายได้จับเหลน ได้จับเบบี๋ มันเหมือนเป็นพรจากยายถ้าได้จับได้สัมผัสลูกของเรา อยากให้เขาได้เจอ
เดนนิส : คุณแม่ของผมเองก็เช่นกัน เขาอยากจะมีหลานแล้ว มันถึงเวลาแล้ว (ยิ้ม)
แสดงว่าหลังจากนี้เราสองคนพร้อมที่จะมีทายาท?
ดา : ใช่ค่ะ ก็ปล่อยธรรมชาติเลย เราอยากมีครอบครัวใหญ่ๆ
เดนนิส : คิดว่าประมาณ 6 คนนะ (หัวเราะ) ฝาแฝด 3 ครั้ง
ไหวไหม 6 คน ฝาแฝด 3 ครั้ง?
ดา : ตอนแรกดาไม่รู้ ดาไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าทำไมบางครอบครัวถึงอยากทำฝาแฝด เพราะว่าพอเรามีน้องตอนอายุเยอะ เช่น 35 36 หรือ 40 ก็ต้องพึ่งคุณหมอบ้างให้ช่วยทำฝาแฝด ให้เหนื่อยทีเดียว ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมบางคนเขาถึงต้องทำฝาแฝดเลยทีเดียว เพราะแบบพอเราจะมาท้องตอนอายุ 35 แถมอยากมีลูก 3 คนด้วย มันก็คงจะต้องทำค่ะ ก็อยากลองเหมือนกัน อย่างต่ำน่าจะ 3 พยายามกันอยู่
แต่สามีเขาอยากมี 6 คนเลยนะ?
ดา : 3 คู่ (หัวเราะ) นี่คนหรือวัวเอ่ย คือดาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาจะสามารถทำฝาแฝดกับฝาแฝดได้ไหม

...
เริ่มศึกษาเรื่องนี้บ้างหรือยัง?
ดา : มีคุยกับที่บ้านของเดนนิสค่ะ เพราะทางนั้นเขาก็ทำฝาแฝดเหมือนกัน ก็อยากรู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง ดูแลสุขภาพยังไงบ้าง
แสดงว่าจะพุ่งไปทางวิทยาศาสตร์?
ดา : เราให้เวลาธรรมชาติถึงประมาณช่วงเดือนมีนาคมค่ะ เพราะว่าถ้าเกิดเขามาแถวๆ เดือนมีนาคม เขาก็อาจจะได้เป็นปีเสือเหมือนแม่
ถ้าเขาไม่มาช่วงนั้นล่ะ เราจะทำยังไง?
ดา : ก็คงทำ มี.ค. เลยค่ะ คือยังไงก็อยากให้ทัน 9 เดือน ที่จะคลอดในช่วงปีเสือ
ตัวเราเองเห็นด้วยกับสามีไหมที่เขาอยากมีลูก 6 คน?
ดา : 6 คนเลยเหรอ ร่างกายเราจะเป็นยังไง (หัวเราะ) คือแต่ก่อนนี้ ช่วงที่ดายังไม่มีเขา หรือยังไม่ได้รู้จักเดนนิสในเวอร์ชันนี้ บางทีเรื่องการมีลูกเยอะๆ ดาอาจจะไม่ได้คิด แต่ตอนนี้ดารู้แล้วว่าเขาสามารถดูแลครอบครัวเราได้ เขาดูแลแม่ ดูแลครอบครัวของเขาดี จนดารู้สึกว่าถ้าหากเขามีลูก เขาก็คงจะต้องดูแลลูกของเราดีมาก ซึ่งถ้าเขาไม่ได้เป็นแบบที่เขาเป็นอยู่ทุกวันนี้ ดาก็คงไม่คิดหรอกค่ะเรื่องการมีลูกเยอะ
แสดงว่าเขาพร้อมเลี้ยงลูกแล้ว?
ดา : เขาอยาก อยากมีครอบครัวใหญ่

...
เคยคิดมาก่อนไหมว่าจากเพื่อนเมื่อ 10 ปีก่อน วันนี้จะได้มาเป็นสามีภรรยาสร้างครอบครัวด้วยกัน?
ดา : เขาจะมาอยู่เมืองไทยแค่ 3 เดือนค่ะตอนแรก (หัวเราะ)
เดนนิส : ตอนนี้เป็นปีหนึ่งแล้ว
เราประทับใจอะไรในตัวของกันและกัน?
เดนนิส : เราโตขึ้นครับ มันผ่านมา 10 ปีเลยนะ เราเปลี่ยนกันไปเยอะมาก ความคิด การใช้ชีวิต ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย แต่ตอนนี้เราอยากใช้ชีวิตแบบช้าๆ อยากมีครอบครัวแล้ว
ดา : เราใช้ชีวิตกันมาเต็มที่แล้ว จนเรารู้สึกว่าแล้วยังไงต่ออะ คือถ้าเกิดเราเจอคนดีๆ เราได้เปลี่ยนชีวิตตัวเอง และต่อยอดให้มันกลายเป็นครอบครัวที่สวยงาม มันก็น่าจะดีกว่า ซึ่งเราเองก็รู้สึกว่าเรารักชีวิตเรา และเราก็อยากมอบชีวิตของเราสองคนให้กับลูกๆ ด้วย
งานเพลงจะยังทำต่อไหมถ้าหากมีลูก?
ดา : เรื่องงานเพลงดาคิดว่าน่าจะจบที่เดือนมกราคมค่ะ
เดนนิส : ส่วนของผม คือเราก็เริ่มทำค่ายครับ เปิดค่ายใหม่
ดา : ถ้าเป็นธุรกิจในเมืองไทยก็น่าจะเป็นงานดนตรี งานเอนเตอร์เทนเมนต์ที่เราสามารถต่อยอดได้ แต่ถ้าที่ LA เราก็มีความคิดเรื่องการทำออร์แกไนซ์ ทำคอนเสิร์ตให้สำหรับคนที่อเมริกา หาคอนเสิร์ตไปลงไทยทาวน์ เพราะครึ่งๆ ชีวิตน่าจะแบ่งกันอยู่ที่นั่นเลย
เพลงของเราก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่เป็นแนวไม่ค่อยสมหวัง หลังจากนี้ต้องเปลี่ยนแนวไหม?
ดา : ดาว่าดาก็เป็นตัวแทนให้ใครที่ไม่สมหวังได้บ้างนะ (หัวเราะ) แต่วันนี้จริงๆ ถ้าจะให้ร้องสองใจในงานก็คงไม่ได้ ไม่ได้เลย แต่เพื่อนสนิทร้องได้ ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ควรจะเริ่มต้น เพราะว่า 35 36

...
ภาพไหนที่ทำให้เดนนิสรู้สึกว่าคนนี้คือแม่ของลูก?
เดนนิส : ตอนผมมาเมืองไทยและเราเจอกัน ใช้เวลาร่วมกัน ได้เห็นนิสัยเขาว่าเขาเป็นคนยังไง เขาเทคแคร์คุณยาย ดูแลคุณพ่อคุณแม่แบบสุดยอดมาก แถมเด็กๆ ก็ยังรักเขา ตอนนั้นผมรู้เลยว่าเขาเก่งมาก และคนนี้ก็คือแน่นอน รักเลย
ตัวเราเองคิดเหมือนกับเดนนิสไหม?
ดา : ดาเห็นภาพเขา เห็นการดูแลพ่อแม่ของเขา เขาดูแลพ่อแม่ยังไง เขาก็คงจะต้องดูแลครอบครัวเราแบบนั้น ซึ่งบ้านเดนนิสค่อนข้างที่จะแบบว่า เขาดูแลเทคแคร์ทุกคนเลย เป็นครอบครัวใหญ่ที่ดูแลกันตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเดนนิสเองที่มีความเป็นผู้นำสูง ซึ่งดาเคยพูดกับตัวเองว่า แฟนที่เราจะคบถ้าหากเขารักครอบครัวเราไม่เท่ากับที่เรารักและดูแลครอบครัวเราได้ ก็อย่าเพิ่งเริ่มกับใครเลย อันนี้คือก่อนที่จะเจอกับเดนนิสนะคะ
และเสร็จแล้วพอดามาเจอเขาในเวอร์ชันที่เขาตั้งมาตรฐานในการดูแลครอบครัวไว้สูง ดาก็เลยพร้อมค่ะ ฉะนั้นทุกอย่างมันเลยเกิดขึ้นเร็ว เพราะเราอยู่ในเลเวลที่ถ้าหากเขาพร้อม มันก็จะไปเร็วมาก แต่ถ้าเขาไม่พร้อม เราก็แค่อาจจะเดตกัน 2-3 เดือน ถ้ามันไม่เวิร์กก็คือจบ เพราะดาคงไม่ใช้เวลา 3-4 ปีอีกแล้ว เนื่องจากเวลามันผ่านไปเร็วมาก
เราใช้เวลาคบหาดูใจกันนานขนาดไหน?
ดา : ถ้าเป็นเพื่อนกันก็ 12 ปีค่ะ แต่ถ้าเป็นแฟนก็คือ 1 ปี

การใช้ชีวิตหลังจากนี้จะเป็นยังไง?
เดนนิส : ครึ่งๆ ครับ ครึ่งหนึงที่แอลเอ อีกครึ่งที่ไทย
พอจะบอกเรื่องสินสอดได้ไหม?
ดา : เขาบอกว่าอยู่เมืองไทยเท่านี้ก่อนนะ เดี๋ยวมีที่แอลเออีก ซึ่งจริงๆ คุณแม่ก็อยากให้ดาได้เจอกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่แอลเอของท่านด้วย ดังนั้นดาเลยอยากถือโอกาสนี้ฝากบอกพี่ๆ เพื่อนๆ ศิลปินดาราที่ไม่ได้มาร่วมงานในวันนี้ด้วยนะคะ ว่างานวันนี้เป็นพิธีผู้ใหญ่ที่เราอยากให้พ่อแม่เราได้เจอและยกน้ำชาแบบจีน แต่สำหรับเพื่อนๆ ถ้าโอมิครอนไม่มาก มี.ค.เราเจอกันค่ะ ตอนนั้นอาจมีน้องมาร่วมยินดีด้วย
1 ปี ที่ผ่านมาเราประทับใจเดนนิสยังไงบ้าง?
ดา : ดาคิดว่านะ คนเราอะสุดท้ายมันเหมือนตอนวัยรุ่นมันก็คือความตื่นเต้น มันไม่ได้มองลึกลงไปจนถึงคำว่าคู่ชีวิต แต่พอเราโตขึ้น เรารู้สึกว่าชีวิตมันเหนื่อยมาเยอะ เราทำงานตั้งแต่เราเรียนจบจนถึงปัจจุบัน เราก็แค่ต้องการที่พอเรากลับมาถึงบ้าน เราได้นั่งกินข้าว ได้นั่งดูทีวี และก็ดูแลครอบครัวร่วมกัน ซึ่งดาเห็นทั้งหมดนี้ในตัวเดนนิส เขาพร้อมที่จะดูแลทุกคนเหมือนดาค่ะ เขาใช่ค่ะ
กลับมาครั้งนี้ได้ของฝากกลับไปแอลเอ?
เดนนิส : ใช่ครับ ทุกคนที่นั่นตื่นเต้นและอยากเจอกับดามาก (หัวเราะ)
มีความในใจอยากบอกอะไรกับดาไหม?
เดนนิส : ผมรักคุณที่รัก จากนี้และตลอดไป (ยิ้ม)

มีคำมั่นสัญญามอบให้กับเจ้าบ่าวบ้างไหม?
ดา : ดูแลกันและกัน แค่นั้นเองค่ะ ชีวิตมันเหนื่อยมาเยอะแล้ว สำหรับดาเขาไม่ใช่แค่สามี แต่เขาคือเพื่อนที่ดีที่สุด ฉะนั้นแล้วคำว่าสามีภรรยาของดามันคือคำว่า Best friend ที่สุด นั่นคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราอยู่ด้วยกันจนแก่ได้ค่ะ
เรื่องจดทะเบียนสมรส?
ดา : น่าจะก่อนบินค่ะ ก่อนบินไปโน่นยังพอมีเวลา ถามว่าจะเปลี่ยนนามสกุลมั้ย ยังไม่รู้อะ แต่เขาบอกว่าถ้าเป็นธนิดา เตโชภาส ก็เพราะนะ (ยิ้ม) ถามว่าเมื่อไร น่าจะช่วง เม.ย. ประมาณช่วงสงกรานต์ค่ะ.