• ชอบเรียนดนตรีตั้งแต่เด็ก แต่ชีวิตมาเป็นนักร้องบอยแบนด์ทั้งที่ไม่ได้ชอบตั้งแต่แรก
  • จากความชอบเป็นเหตุ สู่การทำสารพัดธุรกิจที่ตอบโจทย์ชีวิตตัวเอง
  • ความสัมพันธ์กับมารี เบรินเนอร์ หลังคุยมานาน 1 ปี แต่ไม่ระบุสถานะ

เป็นอีกหนึ่งหนุ่มในวงการบันเทิงที่มากความสามารถจริงๆ สำหรับ พิชญ์ กาไชย อดีตสมาชิกบอยแบนด์ C-Quint (ซีควินท์) ค่ายอาร์เอส ที่นอกจากเคยเป็นนักร้องขาแดนซ์มาแล้ว ยังทำสารพัดธุรกิจ ทั้งเปิดร้านสูทเพราะความชอบในการแต่งตัว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพราะชอบแต่งบ้าน รักในการทำอาหารจนสามารถคว้าแชมป์รายการ “MasterChef Celebrity Thailand ซีซั่น 1” มาแล้ว อีกทั้งยังเป็นยูทูบเบอร์ชื่อดังที่หลายคนชื่นชอบจากการเป็นหนึ่งในพิธีกรรายการ “The Driver”

ล่าสุด พิชญ์ทำซิงเกิลแรก “เหงาเท่ากันพอ” ในฐานะศิลปินเดี่ยว หลังห่างหายจากการร้องเพลงไปนานเกือบ 10 ปี บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวนหนุ่มคนนี้มาพูดคุยถึงชีวิตการเป็นศิลปินของเขา รวมถึงการทำธุรกิจต่างๆ ที่มีแรงผลักดันจากความชื่นชอบ รวมไปถึงเรื่องสถานะหัวใจกับสาวสวยอย่างนางเอกดัง มารี เบรินเนอร์ ว่าเป็นยังไงบ้าง

...

ไม่เคยคิดเป็นบอยแบนด์

ก่อนจะกลายเป็นศิลปินบอยแบนด์วัยรุ่นค่ายอาร์เอส พิชญ์เล่าให้ฟังถึงเรื่องความรักในเสียงเพลงว่า “จริงๆ ชอบเล่นดนตรีอยู่แล้ว เพราะว่าผมเรียนดนตรีตั้งแต่เด็ก พอตอนเข้ามาอยู่อาร์เอสแล้วมีโอกาสเป็นศิลปิน เราก็คิดว่าเราทำตรงนี้ไปก่อน เดี๋ยวก็ได้เล่นดนตรี แต่ก็ยังไม่มีโอกาส เราก็เปลี่ยนความฝันที่อยากจะเล่นดนตรีมาเล่นคอนเสิร์ตครับ ตอนเด็กก็มีไปเรียนเปียโน คุณแม่อยากให้เรียน คือเขาก็ส่งลูกเรียนเหมือนพ่อแม่ทุกคน เหมือนส่งไปเรียนวาดรูป ตีเทนนิส เขาก็ส่งเรียนตามปกติ พอผมไปเรียนเมืองนอก ผมก็มีกิจกรรมคือเล่นเปียโน ตอนที่ได้เรียนก็ชอบมากครับ

ตอนนั้นหลังจากเรียนจบ ม.3 แล้วไปเรียนต่อเมืองนอก พอกลับมาแล้วค่อยทำเพลง จริงๆ ตอนนั้นผมตั้งใจจะเรียนต่ออยู่แล้ว แต่เกิดปัญหาเรื่องการมัดจำค่าหอพัก แล้วแม่ก็รู้สึกว่าไปนานแล้ว ช่างมันแล้วกัน ทิ้งชีวิตที่นั่นเลยแล้วกัน จริงๆ ตอนนั้นผมแพ็กกระเป๋ากลับมาแค่ปิดเทอมเดือน 2 เดือน แล้วพอดีมีปัญหาตอนจะกลับไปเรียนใหม่ ติดเรื่องหอพักต้องไปหาที่ใหม่ เขาไม่ได้รับมัดจำเราไว้ แม่เลยบอกว่างั้นทิ้งเลย กลับมาอยู่ที่นี่แล้วหามหาวิทยาลัยเรียน ผมก็เลยว่างไปปีนึงเพื่อรอรอบที่จะเข้ามหาวิทยาลัยครับ

ความฝันเราไม่ได้คิดอยากเป็นบอยแบนด์ เราคิดว่าวันนึงเราน่าจะมีโอกาสทำเพลง เล่นดนตรีกับวง แต่ที่ได้มาเป็นศิลปินบอยแบนด์เพราะว่ามีเพื่อนรุ่นพี่มาชวน ช่วงนั้นที่ผมรอเข้ามหาวิทยาลัยในไทยนี่แหละ ตอนแรกเขาบอกว่าให้มาร้องเพลงทิ้งไว้หน่อย ผมก็ไปร้องทิ้งไว้ ผ่านไปเดือนนึงอยู่ดีๆ ก็โทรมาบอกว่าเนี่ย มีโปรเจกต์นี้สนใจมั้ย ผมก็แบบ...เฉยๆ น่ะ เขาก็บอกว่าลองเข้ามาดูแล้วกันเผื่อได้ตังค์ แล้วอยู่ดีๆ ก็ได้เข้าและก็ยาวเลย (ยิ้ม)

วันที่ผมจะมาเป็นบอยแบนด์ ผมรู้แล้วแหละว่าอันนี้อาจจะยังไม่ใช่ตัวตนของผม แต่เรารู้สึกว่าถ้าเราได้เข้ามาอยู่ในวงการนี้จะมีโอกาสได้ทำเพลงต่อในทางที่เราชอบ ผมก็รู้สึกว่าเป็นโอกาสที่เราจะต้องเก็บเกี่ยวไว้ก่อนที่มันจะหลุดไป เพราะสมัยก่อนการเป็นนักร้องไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน ตอนนั้นผมอายุแค่ 17 ก็รู้สึกว่าถ้าทำไปก่อน เราได้มีโอกาสได้อยู่ในแวดวงนี้ ก็คงมีโอกาสทำเพลงในวันข้างหน้า แต่มันก็ยังไม่เกิดขึ้น ก็ใช้เวลาเป็นสิบปีเหมือนกันที่ความคิดนั้นจะเกิดขึ้นได้ครับ”

มิตรภาพเพื่อนใหม่

เมื่อพิชญ์ผ่านการคัดเลือกให้เป็นศิลปินบอยแบนด์ในนาม C-Quint เราถามเขาว่าวันแรกที่เจอกับเพื่อนสมาชิก อาทิ ฟลุค จิระ, โยชิ นิมิต, แบงค์ วีระชัย, เบสท์ นัฐพล ที่อาร์เอสว่าเป็นยังไงบ้าง เจ้าตัวตอบว่า “จริงๆ มันมีมากกว่านั้นครับ มีหลายคนที่จะอยู่ในโปรเจกต์นี้ บางคนเป็นดาราแล้วด้วย น่าจะ 6-7 คนได้ เขาก็ให้มาซ้อมๆ คัดกรองออกไป สุดท้ายก็เหลือ 5 คน”

เมื่อเราแซวว่าออกอัลบั้มชุดแรกก็ดังเลย พิชญ์บอก “ใช่ครับ ช่วงนั้นมีบอยแบนด์หลายวงมาก ถามว่ากดดันมั้ย จริงๆ ตอนนั้นอาร์เอสครองตลาดนี้เลยอ่ะ ตั้งแต่ก่อนผมออกอัลบั้ม พอผมออกอัลบั้มมาปีนึงก็มีกามิกาเซ่เกิดขึ้นอีก เขาค่อนข้างครองมาร์เก็ตตรงช่วงนี้เยอะเลย เลยรู้สึกค่อนข้างมั่นใจในตอนนั้น ถามว่าพอออกอัลบั้มชุดแรกก็มีแฟนเพลงเยอะ ชุดต่อไปกดดันมั้ย ก็กดดันนะครับ แต่ก็ต้องทำ

...

หลังจากนั้นไปๆ มาๆ สมาชิกก็ลดลงไปอีกเหลือ 4 คน ตอนนั้นมีปัญหานิดหน่อย คือเบสท์เขาเรียนหนัก เขาต้องการจะจบตรงเวลา เขากังวลเรื่องเรียนมากกว่า ก็เลยรู้สึกว่าเวลาตรงนี้กินไปเยอะเหลือเกิน เขาอาจจะไม่ไหว เขาเลยขอออกจากวงไป”

ส่วนความประทับใจในมิตรภาพเพื่อนๆ ในวง พิชญ์บอกว่า “จริงๆ มันเป็นเรื่องความสนิทที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากกว่า ผมรู้จักกับไอ้โยจากในวงนี่แหละ แต่พี่ฟลุคเป็นเพื่อนพี่ชายผม เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ส่วนพี่ฟลุคกับไอ้โยก็อยู่โรงเรียนเดียวกันมาก่อน คือเขาเห็นหน้าค่าตากันอยู่แล้ว ผมเนี่ยมาจากคนนอกเลย แล้วผมเป็นคนไม่ชอบมีเพื่อนใหม่ ผมไม่ค่อยคุยกับเขาเท่าไร แต่อยู่ๆ ไปก็ชินๆ เองครับ แล้วกลายเป็นผมสนิทกับไอ้โยเยอะเพราะรุ่นเดียวกัน อีก 2 คนก็รุ่นเดียวกัน พี่ฟลุคเขาจะเป็นรุ่นพี่ในวง แต่จริงๆ เราก็สนิทกันทั้งวงน่ะแหละ ทุกวันนี้ที่สนิทกับไอ้โยเพราะว่ามาทำรายการด้วยกันด้วย ไอ้โยยังไปมาหาสู่ครับ”

แต่หลังจากนั้นปี 2557 วงซีควินท์ก็แยกย้ายกันไป พิชญ์เล่าว่า “คือตอนแรกพวกผมมีเพลงต่อด้วยนะครับ 1 เพลง แต่ไม่ได้ปล่อย เพราะเราตัดสินใจว่าเฮ้ย เราหมดสัญญาแล้ว ดูจากอายุพวกเรากันเองว่าถ้าเซ็นสัญญาอีกใบนึงมันจะไปจบที่อายุเท่าไร แล้วเรายังเป็นบอยแบนด์กันได้มั้ย สุดท้ายแล้วคนที่อายุเยอะเขาก็กังวล บางคนก็ไม่ได้ต่อ พอไม่ได้ต่อ เพลงก็ไม่ครบ ก็เลยไม่ได้ปล่อย ก็เลยคิดว่าไม่ต่อกันแล้วล่ะ เลยหยุดไว้แค่นี้ดีกว่า”

...

ในช่วงนั้นพิชญ์เริ่มหันมารับงานแสดงบ้าง ซึ่งพิชญ์บอกว่า เล่นละครน้อยมาก ล่าสุดที่เล่นคือซีรีส์คลับฟรายเดย์ ถามว่าเล่นแบบเต็มตัวมั้ย เรียกว่าไปเล่นแบบผิวเผินดีกว่า คือไม่ได้ชอบเท่าไร อย่างที่บอกว่าเป็นคนไม่ค่อยรู้จักคนใหม่เยอะ รู้สึกเขิน ทำตัวไม่ถูกเวลาไปเจอคนใหม่ๆ ก็กลัวคนหาว่าหยิ่งหรือเปล่า แต่ถ้ารู้จักกันแล้วจะรู้สึกว่าปกติ ช่วงที่เหมือนจะห่างหายไปจากวงการ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้หาย เพราะไปทำอย่างอื่นแทน

ธุรกิจเยอะเพราะความชอบเป็นเหตุ

จากนั้นพิชญ์ค่อยๆ เล่าถึงงานต่างๆ ที่ได้ทำหลังห่างหายจากการร้องเพลง ซึ่งมีหลากหลายวงการเลยทีเดียว “ผมเลิกจากซีควินท์ ผมทำธุรกิจเฉพาะสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมก็ไปทำร้านสูท 612 SixTwelve เพราะชอบแต่งตัว ชอบเสื้อผ้า ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ครับ ระหว่างนั้นผมก็เริ่มทำอาหารเรื่อยๆ จนผมไปแข่งรายการมาสเตอร์เชฟแล้วได้แชมป์ ผมก็โอเค สงสัยวันนึงคงต้องเปิดร้านอาหาร แต่ทุกวันนี้ยังไม่ได้เปิดนะครับ

แล้วก็ผมชอบแต่งบ้านอยู่แล้วถ้าใครได้เห็นบ้านของผม ก็ทำธุรกิจอสังหาฯ อยู่ ทำหมู่บ้าน ทำวิลล่า ซึ่งก็คือ 3doors Development อันนี้ทำเพราะว่าผมพยายามทำอะไรที่เป็นสิ่งที่เราชอบ มันจะได้ไม่ค่อยเหนื่อยเวลามีปัญหา แล้วก็ทำรายการยูทูบด้วย และก็ชอบไปดำน้ำด้วย จริงๆ ผมเป็นคนว่างมากครับ (ยิ้ม) ตอนนี้ทำทุกอย่างที่ชอบจริงๆ

คือมันผ่านสิ่งที่ไม่ชอบมาเยอะแล้วครับ ผมก็เลยรู้สึกว่าเป็นช่วงที่เราต้องทำในสิ่งที่เราชอบบ้าง อย่างที่เคยไม่ชอบเลยก็เพียบเลยครับ ส่วนเรื่องการเป็นบอยแบนด์ที่ผ่านมา จากไม่โอเคจนมันโอเคครับ จากที่ไม่ชอบเลย เต้นอะไรวะเนี่ย ไม่ได้เป็นคนเต้นเป็น แต่มันหล่อหลอมจนกลายเป็นว่าวันนี้แฮปปี้ อยากเต้นเพลงๆ นี้ คือในความไม่ชอบก็มีความงดงามของมันอยู่ครับ มันทำให้เราสู้กับอะไรที่ไม่เคยเจอ ถือว่าชอบได้เลยครับ”

...

เมื่อถามว่าที่ทำหลายๆ อย่าง ชอบอะไรมากที่สุด พิชญ์บอกว่า “ชอบใน area ที่ผมทำหมดเลยครับ คือตื่นเช้ามาออกไปข้างนอกก็เป็นคนที่เลือกเสื้อผ้าแต่งตัว ตกเย็นเราก็ทำกับข้าวกินเองอยู่ แล้วเปิดยูทูบดูอาหารใหม่ๆ ส่วนบ้านเราก็พยายามแต่งบ้านอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวก็เรียกช่างมาแล้ว ผมเรียกช่างอยู่ทุกเดือนเลย บอกใส่ตรงโน้นปรับตรงนี้หน่อย คือมันเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว แค่หยิบจับสิ่งรอบตัวนั้นมาทำงานกับมันครับ แต่ส่วนรายการคือมันทำอะไรไม่ได้ มันเป็นไปแล้วครับ

เรียกว่าทุกอย่างที่ทำมันกลมกลืนอยู่ในชีวิตประจำวัน เรื่องแต่งตัวเราเป็นคนเลือกอยู่แล้ว ขนาดชุดอยู่บ้านเราพยายามหยิบอะไรที่แมตช์กัน คือผมไม่ใช่คนที่หยิบอะไรมั่วๆ มาใส่ ไม่ใช่ผู้ชายใส่เสื้อบอลใหญ่ๆ กางเกงขาสั้น ต่อให้เสื้อยืดดำ กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ ผมก็ยังเลือกเสื้อที่ไซส์เหมาะกับกางเกงที่เราชอบ อย่างการทำอาหารอันนี้มันก็ซึมมาน่ะครับ คือบางทีเราอยากกินอันนี้ แต่ที่บ้านไม่ทำให้ ทำไม่เป็น เราก็ทำเอง เปิดยูทูบแล้วทำ บวกกับมีเพื่อนเป็นเชฟ 2-3 คน เราก็เล่าให้เขาฟัง เขาก็แนะนำว่าลองทำแบบนี้สิ ซึ่งนานมากเกือบ 10 ปีแล้วครับ

ผมทำอาหารฝรั่งเพราะไม่ทานเผ็ด ถามว่าเมนูไหนถนัดสุด คือผมเป็นคนชอบทานเนื้อ ผมจะไม่บอกเป็นเมนู แต่ผมจะบอกว่าอยู่ในวงกลมของเนื้อวัวทุกอย่าง ผมจะรู้ทุกส่วน รู้ว่าทำอะไรกับมันได้บ้าง เหมือนตอนผมแข่งมาสเตอร์เชฟ ผมค่อนข้างจะชูตรงนี้เยอะๆ ในวันรอบชิง ผมใช้ในสิ่งที่ผมเก่งมาจัดการกับมัน ถามว่าเรื่องเปิดร้านอาหารมีแววเป็นไปได้มั้ย มีครับ น่าจะประมาณปีหน้าครับ ก็จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะทำแน่นอนครับ”

ยูทูบเบอร์รุ่นบุกเบิก

เราถามถึงการทำงานในฐานะยูทูบเบอร์ คือรายการดัง “The Driver” ซึ่งเป็นรายการบันเทิงภาษาไทยในยูทูบรายการแรกๆ พิชญ์เล่าถึงที่มาที่ไปว่า “จริงๆ พลอย (พลอย หอวัง) ก็ทำแชนแนลที่นึงอยู่แล้ว คือ Paloy’s Diary ตอนนั้นพลอยคบกับผมอยู่ เขาก็เดินมาหาแล้วเปิดวิดีโออันนึงที่ชื่อว่า Carpool Karaoke ครับ ซึ่งเป็นของ James Corden ผมก็บอกว่าโห อันนี้ทำรายการใหม่ได้เลย ผมก็เลยแนะนำพี่โอ๊ต (ปราโมทย์ ปาทาน) ให้รู้จักกับพลอย ผมบอกว่าเนี่ย ตลกเหมือนกันเลย ร้องเพลงได้เหมือนกันด้วย คาแรกเตอร์พี่โอ๊ตเลย ผมเคยทำรายการทีวีอยู่แล้ว เดี๋ยวเราเป็นเบื้องหลัง ให้พี่โอ๊ตทำคนเดียว เดี๋ยวทำให้ ผมก็เลยเดินไปบอกพี่โอ๊ต พลอยก็เออๆ ทำๆ

แต่ตอนนั้นไม่อยากลงเงินกันเยอะ พลอยเลยบอกว่างั้นเอางี้มั้ย เอามาเป็นพาร์ทนึงของรายการพลอยช่วงนึง ผมก็บอกพี่โอ๊ตว่ามึ-ลุยเลย เดี๋ยวจัดการให้ พี่โอ๊ตหันหน้ามาบอกว่า ถ้ามึ-ไม่ทำด้วย กูไม่ทำ ผมก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวกูขึ้นไปเป็นเพื่อนก่อนสักเทป 2 เทปให้มึ-ชิน เดี๋ยวปล่อยมึ-โซโล่เลย แล้วหลังจากเทป 2 เทปนั้นก็ยังไม่ได้ลงจากรถเลยครับ (ยิ้ม) คนก็บอกว่าไม่ได้แล้ว ต้อง 3 คน จริงๆ ผมกะจะเป็นเบื้องหลังแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเบื้องหน้าเหมือนเดิม”

ถามว่าติดใจการเป็นยูทูบเบอร์มั้ย นักร้องดังตอบว่า “ผมรู้สึกว่าช่วงสมัยก่อนมันสวยงามกว่านี้ ไม่ค่อยมีเยอะ เดี๋ยวนี้โอ้โห ทุกคนกระโจนเข้ามาในตลาดนี้เยอะครับ สมัยก่อนคือไม่มีเลย ผีหลอกอยู่ในยูทูบกับเฟซบุ๊ก สมัยก่อนลงเฟซบุ๊กวันเดียวล้านกว่าวิว เดี๋ยวนี้คนโดดเข้ามาในตลาดนี้เยอะ แต่เราก็เข้าใจนะว่ามันเป็นสิ่งที่ดึงตังค์มากขึ้น มีการตัดราคากัน ทำโน่นนี่เอาคอนเทนต์ มันเป็นเรื่องปกติที่สปอนเซอร์หรือลูกค้าสนใจเป็นหลัก สมัยก่อนผมทำขายสปอนเซอร์ ลูกค้ามีเงินอยู่นิดเดียว บอกว่าต้องเอาเงินไปลงบิลบอร์ด ช่องฟรีทีวี แต่ทุกวันนี้เงินมันอยู่ตรงนี้เยอะกว่า”

ในฐานะที่พิชญ์เป็นยูทูบเบอร์รุ่นแรกๆ ของไทย ถามว่ามองการทำรายการยูทูบยุคนี้ยังไงบ้าง พิชญ์กล่าวว่า “ผมว่ามันคือสิ่งที่ผมมองและยังมองอยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นช่อง มันเป็นแพลตฟอร์มครับ ทุกวันนี้ผมเห็นคนทำ Vlog ทุกวันนี้ทุกอย่างหมุนไปเร็วมาก มันมีช่วงนึงที่ดาราชอบทำครีม สกินแคร์ แล้วมีช่วงนึงที่ดาราชอบทำเสื้อผ้า ผมว่าอันนี้ก็จะเป็นอีกบททดสอบของเมืองไทยที่ทุกคนเห็นตลาดนี้บูมก็กระโจนมาใส่ แต่ผมว่าถ้าคนยังก๊อบปี้กันไปกันมา เห็นเงินแล้วกระโดดใส่ มันจะมีคนที่รอดอยู่ต่อไปได้ และมีคนที่มาเก็บเกี่ยวแล้วก็ไป

ผมเลยมองว่ามันยั่งยืนกว่าที่คนอื่นเห็น บางคนอาจจะเออ...มีฟอลโลว์เยอะก็ทำ Vlog โกยตังค์แล้วกลับบ้าน ผมว่าอันนั้นมันฉาบฉวย แต่ผมรู้สึกว่ายูทูบเป็นสิ่งที่วันนึงคงจะต้องมีละครในนั้นเหมือนช่อง 3 5 7 9 ครับ มีข่าวที่เป็นไลฟ์ ทุกวันนี้ก็มีไลฟ์มากขึ้น มีรายการเยอะขึ้น ผมว่าควรจะครบวงจรเหมือนที่ช่อง 3 5 7 9 ทำครับ ผมมองว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วมันไปได้ถึง คือทำหนังทำละครได้ ละครไม่จำเป็นจะต้องดูแต่ในฟรีทีวีแล้ว

ทุกวันนี้น้องๆ จะถามพี่ๆ ดาราว่าจะมีช่องยูทูบของตัวเองมั้ย แล้วทุกคนจะเริ่มทำกันมากขึ้น ผมแฮปปี้มากๆ ที่ทุกคนทำเพราะว่าตลาดบูมขึ้น แต่ทุกคนควรจะรักษาเรื่องคุณภาพ รวมถึงเรื่องครีเอทีฟให้มันเกิดขึ้นตลอดเวลา คือมันเหมือนทำฟรีทีวีแหละครับ แต่แค่ไม่ได้ผ่านเซนเซอร์ว่าอันนี้ห้ามออนแอร์ อันนี้ออนได้”

หวนจับไมค์ในรอบเกือบ 10 ปี

พิชญ์เล่าถึงเพลงใหม่ “เหงาเท่ากันพอ” ซิงเกิลเพลงแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวของเขา และเป็นการกลับมาร้องเพลงอีกครั้งในรอบเกือบ 10 ปีไว้ว่า “จริงๆ ผมแพลนจะทำเพลงมานานมากแล้วครับ ที่พี่โอ๊ตชอบแซวผมว่าเพลงมึ-เสร็จรึยัง เพราะผมบอกมาตลอดตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำเพลง ว่าผมจะกลับมาทำเพลง แต่ผมรอโปรดิวเซอร์คนโน้น รอคนนี้ สมัยก่อนยังไม่ค่อยมีไฟ ต้องใช้คนอื่นมาทำเพลง จริงๆ ผมเองจบดนตรีอยู่แล้ว แต่เรายังหาคนทำเพลงคู่ใจไม่เจอแหละ เราอยากให้คนโน้นคนนี้ทำ แต่เขาก็ไม่ว่าง กลายเป็นต้องรอคนไปเรื่อยๆ ไม่มีเพลงสักที จนสุดท้ายตัดสินใจว่าช่างมันแล้วกัน เราทำเองก็ทำได้นี่หว่า

เพลงนี้ก็เป็นโปรดิวเซอร์เองด้วย ส่วนแชนแนลยูทูบ SIXTWELVE STUDIO อันนี้ก็ของผมเอง ซึ่งมีรายการยูทูบอยู่แล้ว ตอนแรกคนก็แนะนำให้ทำแยกเป็นมิวสิกล้วน แต่ผมไม่ได้จะทำนักร้องเพื่อหาเงินจริงจัง ทำเพราะว่าอยากทำเพลงมานานแล้ว เหมือนทำสนองความต้องการตัวเองครับ ก็เป็นศิลปินเดี่ยวครั้งแรกเลยครับ ถามว่าตื่นเต้นแค่ไหน คือออกเพลงเฉยๆ ไม่ตื่นเต้นหรอกครับ แต่ถ้าจะต้องไปโชว์ก็อาจจะแปลกๆ นิดนึง ไม่มีใครมาเป็นเพื่อน มันก็ต้องมีบ้างแหละ แต่มันยังไม่เกิดขึ้นครับ ยังไม่รู้ถึงสถานการณ์จริง”

พิชญ์เล่าต่อว่าในตอนแรกพยายามจะเขียนเนื้อเพลงด้วยตัวเอง แต่ไม่เข้ากับดนตรีในเพลงสักที ก็เลยให้พี่ GOP Postcard (ก๊อป ธานี วงศ์นิวัติขจร) เขียนให้ ซึ่งเขียนเพลงให้กับกามิกาเซ่มาตลอด รวมถึงเพลงดัง “รักติดไซเรน” มาแล้ว “ตอนนั้นผมบอกว่าผมปล่อยเพลงแรก พี่เห็นเนื้อเพลงอะไรที่เข้ากับตัวผม พี่เขียนเลย ผมให้คนนอกเขียนเพื่อให้เขามองมาในตัวเรา เวลาเราออกเพลงแล้ว คนจะได้เชื่อว่าเป็นเพลงของเราจริงๆ เนื้อหาเพลงจะเล่าถึงคนที่เจออะไรมาเยอะแล้ว คนอาจจะมองว่าคนมีแฟนมาหลายคนจะเป็นคนเจ้าชู้ ไม่ดี แต่จริงๆ เขาแค่หาใครสักคนที่เข้ากับเขาได้ มีทุกอย่างเหมือนๆ กัน ก็เลยเป็นเพลงเหงาเท่ากันพอครับ”

จากนั้นพิชญ์เผยเหตุผลที่เลือก จ๋า ณัฐฐาวีรนุช และ แบงค์ ธิติ มาร่วมเล่นมิวสิกวิดีโอว่า “หนึ่งก็คือสนิทด้วย สองผมบอกทีมกำกับว่าไม่อยากเล่นเอ็มวีเอง อยากเป็นศิลปินอย่างเดียว ก็เลยบอกว่างั้นหาคนที่คล้ายๆ มาเล่นดีกว่า ก็เลยได้แบงค์นี่แหละ พอมีผู้ชายแล้วก็หาผู้หญิงมาเล่น 1 คน ซึ่งมีคาแรกเตอร์ที่คนมองว่าคล้ายๆ กับเพลง แต่ตัวพี่จ๋าอาจจะไม่ได้เหงาเพราะแต่งงานแล้ว แต่ว่าเป็นคาแรกเตอร์ที่สวมบทอันนี้ได้ครับ”

เมื่อถามถึงฟีดแบ็กที่หลายคนบอกว่าดีใจที่ได้ยินพิชญ์กลับมาร้องเพลงอีกครั้ง พิชญ์บอกว่า “คือผมเงียบมากเพราะไม่ได้บอกใคร จนผมเริ่มปล่อยรูป ปล่อยทีเซอร์ รูปแรกคนก็คอมเมนต์เยอะมาก จริงๆ บางคนเข้ามากวนกันมากกว่า ชอบมาแซว เพราะผมไม่ยอมเล่าว่าจะปล่อยเพลง มารู้อีกทีก็คือจะปล่อยเพลงแล้ว ส่วนพี่โอ๊ตจริงๆ ผมกับพี่โอ๊ตคุยกันทุกวันอยู่แล้ว เขาได้ยินตั้งแต่เดโมแล้วครับ เขาก็บอกว่าดีๆๆ ปล่อยเลย ทำเลย พอเขามีเพลงใหม่ก็ส่งมาให้ผม ก็ช่วยผลัดกันฟัง แลกเปลี่ยนกันครับ”

ไม่เคยปิดบังเรื่องรัก

พอแกล้งแซวว่าเพลงใหม่เนื้อหาเป็นหนุ่มโสด ชีวิตจริงโสดหรือเปล่า พิชญ์มีอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเขินๆ ว่า “ก็...มันก็มีคุยบ้างตามปกติ” เมื่อถามต่อว่า ใช่คนในข่าวรึเปล่า พิชญ์ย้อนถามทันที “คนในข่าวใครเอ่ย” แต่แล้วก็ยอมรับโดยดีว่า “ก็น่าจะใช่ครับ ถามว่าคุยมานานแค่ไหนแล้ว ก็นานนะครับ เป็นปีแล้วครับ ก็ตามข่าวแหละครับ เราจะไม่พาดพิง (ยิ้ม)”

เมื่อถามถึงความประทับใจที่มีต่อ มารี เบรินเนอร์ สาวในข่าวที่คุยกันมาเป็นปี พิชญ์บอกว่า “ผมว่าน่าจะเข้ากันได้ครับ เขาเป็นคนตรงๆ คือผมเองก็ไม่ชอบให้คนมาจุกจิกกับชีวิตเยอะครับ เขาก็เป็นคนคล้ายๆ เรา ฝรั่งๆ นิสัยคล้ายๆ กัน คือทุกอย่างเริ่มจากคนรู้จักกันมาก่อน แต่พอมีช่วงโควิดก็ไม่ค่อยได้เจอใครเยอะแยะครับ ถามว่าความสัมพันธ์พัฒนามากขึ้นตามวันเวลามั้ย ก็ใช่ครับ คือเราก็อายุไม่น้อย 35 แล้ว ไม่ได้แบบโอ้โห ซ่าเหมือนสมัยก่อนอยู่แล้ว ไม่ได้ออกไปไหนเยอะ”

กับคำถามว่า สถานะในเวลานี้คืออย่างไร นักร้องหนุ่มตอบว่า “จริงๆ ก็เรื่อยๆ นะครับ ผมไม่ได้ระบุสถานะว่าความสัมพันธ์เป็นอะไรยังไง ผมรู้สึกว่าถ้าเราแฮปปี้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็โอเค เพราะผมเป็นคนที่ไม่เคยปิดอยู่แล้วครับ” เมื่อถามว่า เหมือนที่ผ่านมาที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ออกสื่อสักเท่าไร เป็นเพราะอะไร พิชญ์ตอบว่า “มันเป็นช่วงโควิดมากกว่าครับ แล้วงานมันจัดไม่ได้ ไม่ได้จะปิด เพียงแต่ไม่ได้มีโอกาสออกมาเจอสื่อครับ ผมไม่ได้ปิดเลย ผมบอกตลอดอยู่แล้ว”

ส่วนความรู้สึกหลังถูกจับตามองเรื่องความสัมพันธ์ พิชญ์บอกว่า “เฉยๆ เลยครับ เพราะปกติบางทีเราก็ไปด้วยกัน ไปที่เดียวกันเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ ผมไม่ได้เป็นคนที่แบบ...พูดไม่ได้นะ ห้ามถ่าย ถ้าไปก็คือไป ไม่ไปก็บอกว่าไม่ได้ไปครับ ใช้ชีวิตปกติครับ” พอถามว่า พิชญ์พูดว่าอายุเริ่มเยอะแล้ว แสดงว่าเริ่มมองถึงอนาคตไว้บ้างหรือเปล่า พิชญ์ตอบทันที “เราคิดถึงแต่งานครับ ยังไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นเลย ผมก็ต้องการสร้างเนื้อสร้างตัว ก็เป็นกำลังใจให้กันมากกว่า ถามว่ามองไว้ไหมว่าอีกกี่ปีจะแต่งงาน ยังไม่ได้คิดเลยครับ” ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “เอ๊ะ เราไม่คุยเรื่องเพลงกันแล้วเหรอ (ยิ้ม)”

สเตปชีวิตต่อไป

ถามว่าทำเพลงคนเดียวแล้วติดใจ หรือจะมีเพลงใหม่ๆ ตามมาอีกมั้ย พิชญ์ตอบว่า “มันดีตรงที่ได้เลือกทุกอย่างด้วยตัวเองครับ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นตัวเรามากที่สุดแล้ว ไม่ต้องเป็นคาแรกเตอร์ของวง หรืออะไรที่คนอื่นชอบ เราทำอะไรที่ตัวเองชอบจริงๆ คนอื่นจะชอบหรือเปล่าว่ากันอีกที แต่อย่างน้อยผมมีความสุขที่ได้ทำงานตรงนี้ ผมฟังเพลงแล้วเพราะ คนอื่นบอกว่าเพลงเพราะ แค่นั้นผมก็แฮปปี้แล้ว ผมไม่มายด์ว่าจะต้องมีงานจ้าง หรือยอดวิวร้อยล้านวิว ถามว่าจะมีเพลงต่อไปมั้ย จริงๆ ผมทำเพลงเผื่อไว้แล้วครับ 2-3 เพลง แต่ผมเลือกอันที่ชอบที่สุดปล่อยมาก่อน ก็มีโอกาสได้ฟังเพลงใหม่ๆ ในฐานะศิลปินเดี่ยวอีกแน่นอน น่าจะปีหน้าครับ”

เมื่อพูดถึงชีวิตของพิชญ์ว่าทำงานเยอะขนาดนี้แบ่งการทำงานยังไง พิชญ์บอกว่า “คนจะมองว่าเราทำงานเยอะมากเลย แต่จริงๆ แล้วก็เซตอัพงานแล้วก็ดีเวลลอป ดูภาพรวมครับ ไม่ใช่ว่าเอาตัวไปลงตลอดเวลาขนาดนั้น แต่ก็มีไปประชุมจนร้านเปิดได้ ยืนด้วยขาของมันได้ครับ เราก็จะออกมาดูภาพรวมได้”

จะมีเปิดอะไรเพิ่มอีกมั้ยนอกจากร้านอาหาร พิชญ์บอกว่า “ไม่มีแล้วครับ มีแค่ทำแค่ในเครือข่ายเดิมให้เติบโตมากขึ้น ไม่น่าจะมีอะไรใหม่แล้ว” ส่วนความฝันในการเปิดร้านอาหารเป็นแบบไหน เจ้าตัวตอบว่า อยากทำอะไรที่ทุกคนสามารถซื้อเร็ว กินเร็วได้ ทุกคนสั่งไปให้กันได้ เป็นแบบ Quick Meal ทำง่ายๆ ใส่กล่องไปทาน เหมือนกินก๋วยเตี๋ยว คอหมูย่าง รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่กินง่ายๆ ในเรื่องงานเพลงก็คงทำไปเรื่อยๆ แต่ความถี่ขึ้นอยู่กับเรื่องเวลา ซึ่งไม่น่าจะรีบอยู่แล้ว แต่น่าจะทำเรื่อยๆ เพราะรู้สึกแฮปปี้ พอได้ปล่อยเพลงแรกแล้วมีความสุขมาก สไตล์เพลงต่อไปน่าจะเป็นจังหวะปานกลางแต่ไม่เร็วมาก

ปิดท้ายการพูดคุย พิชญ์บอกว่า “ผมอยากให้พี่ๆ สื่อช่วยบอกแฟนๆ ว่าผมกลับมาทำเพลงแล้วนะ ผมเป็นคนขี้เขินน่ะ ไม่ใช่คนที่มาบอกว่าออกเพลงใหม่แล้ว นั่งไลฟ์ทุกวัน ผมทำตรงนั้นไม่ค่อยเป็น ผมอยากให้พี่ๆ สื่อช่วยบอกแทนผมว่าผมดีใจมากที่ผมได้กลับมาทำเพลงใหม่ อยากให้ลองฟังดู ชอบไม่ชอบยังไงบอกกันได้ หวังว่าทุกคนจะชอบครับ 

ส่วนแฟนๆ ที่ติดตามมานาน จริงๆ อยากขอบคุณที่ซัพพอร์ตทุกอย่าง หลายๆ คนที่ติดตามผมมานานๆ เขาไม่ได้ซัพพอร์ตแค่เรื่องเพลง เขามีซัพพอร์ตตลอดเวลา ก็ขอบคุณทุกคนที่คอยซัพพอร์ต หวังว่าเราจะได้เจอกันไปเรื่อยๆ และขอฝากเพลงใหม่ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : ชุติมน เมืองสุวรรณ
กราฟิก : Anon Chantanant