• ที่มาของการรวมตัวของ Tilly Birds ก่อนจะโด่งดังจากเพลง "คิดแต่ไม่ถึง" และ "เพื่อนเล่น ไม่เล่นเพื่อน"
  • ชีวิตศิลปินที่โด่งดังในยุคโควิด มีเพลงฮิตแต่ไม่ได้เล่นคอนเสิร์ต
  • มิตรภาพของ เติร์ด-บิลลี่-ไมโล และช่วงชีวิตที่เคยเป็นเดอะแบก เหมือนชื่อเพลงใหม่ในอัลบั้มล่าสุด

เป็นหนึ่งในวงดนตรีวัยรุ่นที่มาแรงในยุคโควิด สำหรับ Tilly Birds (ทิลลี่เบิร์ด) ศิลปินจากค่าย Gene Lab ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่ประกอบไปด้วย 3 สมาชิก เติร์ด อนุโรจน์ เกตุเลขา, บิลลี่ ณัฐดนัย ชูชาติ, ไมโล ธุวานนท์ ตันติวัฒนวรกุล เจ้าของเพลงฮิต คิดแต่ไม่ถึง (Same Page?), เพื่อนเล่น ไม่เล่นเพื่อน (Just Being Friendly)

ซึ่งก่อนจะมาเป็นศิลปินแบบเต็มตัว ทั้ง 3 หนุ่มเคยเข้าร่วมรายการ “Band Lab” เพื่อค้นหาศิลปินหน้าใหม่ของค่าย Gene Lab และพวกเขาได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขัน

เมื่อพูดถึงวันวานตั้งแต่ก่อนเป็นศิลปิน มาจนถึงการเป็นศิลปินในปัจจุบัน พวกเขาก็ต้องเจอบททดสอบต่างๆ เข้ามาในชีวิต โดยเฉพาะเติร์ดที่เจอบททดสอบที่ค่อนข้างหนักพอสมควร บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวนพวกเขามาพูดคุยถึงชีวิตในการเป็นศิลปิน ไปจนถึงมิตรภาพระหว่างพวกเขา รวมไปถึงผลงานเพลงใหม่ล่าสุด “เดอะแบก (Baggage)” จากอัลบั้มชุดที่ 2 “It’s Gonna be OK”

...

การรวมตัว

เปิดฉากการสนทนา เราถามถึงการรวมตัวในนามวง Tilly Birds ว่าเป็นมาอย่างไร บิลลี่บอกว่า “ผมกับเติร์ดเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ ม.ต้น ทุกอย่างเริ่มจากที่ 10 ปีที่แล้วผมชวนเติร์ดมาแต่งเพลงเพลงนึงตอน ม.ปลาย ก็จริงๆ แต่งกันเล่นๆ แต่ธรรมชาติคือทำอะไรจริงจังอยู่แล้ว ตอนนั้นก็คิดว่าลองดูหน่อย ใส่เวลาให้กับมันเต็มที่ ก็ทำมาเรื่อยๆ พอมาเจอไมโลและอดีตสมาชิกอีก 2 คน ก็เลยฟอร์มวงเป็น Tilly Birds 5 คนตอนนั้นครับผม”

เมื่อถามถึงวันที่บิลลี่มาชวนแต่งเพลง ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ เติร์ดบอกว่า “ก็ลังเลครับ เพราะก่อนหน้านั้นไม่เคยเขียนเพลงมาก่อนในชีวิต คิดว่าจะทำได้เหรอ ก็ลองเขียนให้เขาดู เขาก็บอกว่าเฮ้ย มันดีนะ บิลลี่ก็ชวนว่าเติร์ดมาลองร้องไหม

จริงๆ ตอนนั้นก็ยังไม่เป็นวงกันหรอก จนกระทั่งพอเพลงเสร็จปั๊บ มีชื่อเพลงก็มีชื่อวงไปด้วย ก็เลยกลายเป็น “Tilly Birds” ไปโดยปริยาย พอมีเพลงแรกปั๊บก็ทำกันต่อจนมีเพลงที่ 2 ถ้าบิลลี่ได้ดนตรีอะไร หรือผมได้เนื้อหาอะไร เขียนเพลงอะไรมา ก็จะมารวมกัน”

บิลลี่เล่าต่อว่าตอนแรกๆ ทำเพลงฟังเล่นๆ ในหมู่เพื่อน แต่ตอนที่ได้ปล่อยเพลงจริงๆ คืออีกนานกว่าจะปล่อยเพลงแรก เป็นช่วงที่เริ่มรู้จักไมโลแล้ว แล้วเพลงแรกที่ปล่อยก็มีไมโลในเอ็มวี แต่ตอนนั้นไมโลมาช่วยเกลากลองและมาช่วยเล่นอยู่ในเอ็มวี “หลังจากนั้นไม่นานผมกับเติร์ดเห็นว่าวันนั้นที่ไมโลมามันดีนะ วงต้องมีตำแหน่งอื่นบ้างสิ เราก็เลยชวนคนอื่นเข้ามาเพิ่ม”

เติร์ดเล่าต่อถึงวันที่ได้เจอไมโลว่า “ผมไปเจอไมโลที่ชมรมดนตรีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครับ คือชมรม TU Folksong ผมกับไมโลบังเอิญอยู่กลุ่มเดียวกันพอดี จุดเริ่มต้นก็คือบิลลี่เขาทำคัฟเวอร์ใน YouTube แล้วบิลลี่ถามว่าพอจะมีมือกลองคนไหนที่พอจะเล่นแล้วดูท่าทางดูสนุก ดูมันๆ มั้ย

ผมก็เอาคนใกล้ตัวที่สุดและคุยได้ง่ายที่สุดก็คือไมโล ก็เลยให้ไมโลไปตีกลองในเพลงที่บิลลี่คัฟเวอร์ คือเพลง “Happy” ศิลปิน Pharrell Williams ไมโลกับบิลลี่ก็รู้จักกัน คุยกันถูกคอมาก เพราะสองคนนี้ฟังเพลงเยอะมากและแชร์เพลงกัน พอวง Tilly Birds หามือกลอง ชื่อของไมโลก็เลยขึ้นมา ก็เลยลองไปชวนไมโลเข้าวง”

พอถามไมโลว่าตอนนั้นที่บิลลี่กับเติร์ดมาชวนตอบรับทันทีหรือมีลังเล ไมโลบอกว่า “ปกติเวลาเพื่อนให้ไปช่วยอะไร ผมก็ไปช่วยอยู่แล้วนะครับ เรียนอย่างเดียว ว่างๆ ก็เลยไปช่วยเพื่อนได้เสมอ ตอนไปช่วยบิลลี่ครั้งแรกก็เลยรู้จักบิลลี่ตั้งแต่ครั้งนั้น บิลลี่ก็ชวนเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนทำวงก็ชวนมาเรื่อยๆ อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นสมาชิกวงและมีเพื่อนมาอีก 2 คนเป็น 5 คน แต่ตอนนี้ 2 คนนั้นไม่ได้อยู่ด้วยกันในวงแล้ว จริงๆ ผมก็ไม่ใช่หน้าใหม่อะไร อยู่ด้วยกันมานานแล้ว ถึงไม่นานเท่าแต่ก็นานเหมือนกัน (หัวเราะ)”

ตัวตนของ 3 สมาชิก

เมื่อถามถึงวันแรกๆ ที่รู้จักกัน แต่ละคนเป็นยังไงบ้าง เติร์ดตอบว่า “ผมรู้สึกว่ากับบิลลี่ผมเป็นเพื่อนกับเขามาตั้งแต่ ม.1 ก็ค่อนข้างรู้ไส้รู้พุงกันพอสมควร แต่กับไมโลด้วยความที่ว่าผมอยู่ชมรม TU Folksong มันไม่ได้เจอกันบ่อยขนาดนั้น เราจะเจอกันเมื่อต้องส่งโจทย์ทำโชว์ด้วยกัน ก็จะไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไร

จะมาคุยช่วงที่ทำ Tilly Birds ได้รู้ว่าไมโลเป็นคนแบบนี้ มีความคิดแบบนี้ เขียนเพลงด้วย เล่นกีตาร์ด้วย มารู้เรื่องเยอะมากเกี่ยวกับไมโล ซึ่งผมเซอร์ไพรส์มากๆ ว่าเขาทำได้หลายอย่างนะ”

...

จากนั้นไมโลบอกว่า “ผมว่าเวลาคนเราโดยธรรมชาติก็เติบโตไปตามกาลเวลา ตอนเราเป็นเด็กๆ เราอาจจะชอบอย่างนึง ตอนเรียนใกล้จบอาจมีความชอบอีกอย่าง มีอาชีพมีงานที่ใฝ่ฝันอีกอย่างนึง ทำงานแล้วอาจมีอีกอย่างนึง แต่คนที่ไม่ธรรมชาติที่สุดในเรื่องนี้น่าจะเป็นบิลลี่ เพราะเป็นคนที่ผมรู้สึกว่าไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย เป็นคนที่ค่อนข้างแน่วแน่ในเรื่องอุดมการณ์ เป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการที่ถูกต้องเป็นหลักเสมอ

แต่การที่เราได้อยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆ ทำให้เราได้เห็นว่าคนคนนี้ก็มีหัวใจที่ดีเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าตอนแรกไม่ดีนะ แต่ได้เห็นลึกๆ ว่าดีได้แบบนี้ นึกภาพง่ายๆ บิลลี่เป็นหัวหน้าวง มีความเป็นเจ้านายทุกคน แต่บริบทมันไม่ใช่ แต่หลายๆ โมเมนต์บิลลี่เป็นคนตัดสินใจ สร้างไดเร็กชั่นของภาพรวมให้ ซึ่งมันถูกต้องอยู่แล้วครับ ผมว่าในทุกองค์กรควรจะมีผู้นำ การที่บิลลี่เป็นอย่างที่ผมบอกถือว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ อุดมการณ์ชัดเจน”

ได้ยินไมโลพูดแบบนี้ทำเอาบิลลี่ถึงกับหัวเราะลั่น บอกว่าชอบที่ไมโลเปรียบเทียบกับธรรมชาติ ก่อนจะพูดถึงเติร์ดบ้างว่า “ถึงแม้ผมกับเติร์ดจะรู้จักกันมานาน แต่ก็มีหลายๆ อย่างที่เพิ่งมาเห็นในช่วงหลังเหมือนกันนะครับ พูดง่ายๆ คือเห็นแล้วมันไปส่งเสริมกับสิ่งที่คิดว่ารู้อยู่แล้วแต่จริงๆ อาจจะไม่ใช่ หรืออาจจะใช่แต่มีรายละเอียดมากขึ้น เติร์ดเป็นคนที่เอาตัวรอดเก่งครับ ถ้าภาษาบ้านๆ จะเรียกว่าแถเก่งครับ (ยิ้ม)” ทำเอาเติร์ดหัวเราะหนักมาก

...

บิลลี่พูดต่อ “เป็นคนที่ทำออกมาได้ดีในทุกสถานการณ์อย่างที่เติร์ดเคยบอกว่าแบกทั้งธีสิสและรายการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย แต่ก็รอดมาได้ เสน่ห์ของมันคือเติร์ดจัดทำงานออกมาดีเพราะเป็นคนขยัน จะยอมตายเพื่องานแม้ตัวเองจะออกมาค่อนข้างเป็นศพไปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับเอ็มวีเพลงเดอะแบกที่ร้องท่ามกลางฝนสีดำ นั่นคือภาพที่ผมเห็นตลอดเวลาเหมือนกัน กลับกันถ้าเกิดวันไหนถ้าเห็นเติร์ดสง่า วันนั้นจะพิเศษครับ”

Band Lab

จากนั้นเติร์ดเล่าถึงวันที่วง Tilly Birds มาร่วมรายการ “Band Lab” ของค่ายเพลง Gene Lab ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ว่า

“โมเมนต์ตอนนั้นเป็นจุดเปลี่ยนเหมือนกันเพราะว่าตอนแรกเรามีสมาชิกวง 4 คน แล้วช่วง Band Lab เป็นช่วงที่วงกำลังจะเหลือ 3 คนพอดี (หัวเราะ) เป็นช่วงจุดเปลี่ยนหลายๆ อย่างครับ ผมเพิ่งเรียนจบ สมาชิกวงเหลือ 3 คน Tilly Birds กำลังจะเข้าค่าย Gene Lab ก่อนหน้านั้นเราก็มีการทำกันเองมาก่อน เราเลือกจะมาแข่ง Band Lab เพราะว่าเรารู้สึกว่าค่ายนี้มีความน่าสนใจ ไปกับพวกเราได้

ประสบการณ์ในการแข่งขันรายการ Band Lab สำหรับผมเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มีกิจกรรมจะต้องทำเพลงกับวงอื่นที่เข้ามาแข่ง ต้องแต่งเพลงใหม่ มีการแบทเทิลกับศิลปินค่าย Genie Records รุ่นใหญ่

...

เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมากและผ่านไปไวมากด้วยครับ แป๊บๆ ได้เล่นคอนเสิร์ตที่สกาลา แล้วก็อ้าว…อยู่ๆ เป็นศิลปินในค่ายแล้วเหรอ ก็รู้สึกว่าสิ่งที่รายการพยายามทำก็คือพยายามทำให้เราและวงอื่นๆ ในค่ายสนิทกันและรู้จักกันผ่านดนตรี ผ่านบททดสอบต่างๆ ที่เขาให้เราทำ”

ไมโลเสริมว่า “สิ่งที่รายการทำเหมือนเป็นสนามจำลองว่าในเส้นทางศิลปินจะต้องไปเจออะไรบ้าง ต้องทำงานแบบไหนบ้าง แล้วเราจะจัดการกับอะไรต่างๆ ที่อาจจะไม่คาดฝันที่เขาสร้างเป็นโจทย์ขึ้นมาให้เราจากประสบการณ์ของคนที่เป็นหัวหน้าค่ายเรา ซึ่งเคยเป็นศิลปินมาก่อน ซึ่งก็คือพี่โอม ค็อกเทล ที่เป็น Executive ของสิ่งนี้

สิ่งที่เตรียมใจก็คือ ตอนแรกด่านแรกมันผ่านไปแล้วแหละ ตอนที่ออดิชั่นคือก็คือในที่สุดจะได้เป็นศิลปินในค่าย มีค่ายแล้ว ย้อนกลับไปตอนที่ถ่าย Band Lab ก็มีหลายโจทย์ที่มีความท้าทาย จริงๆ เราก็ได้ทำหมดเลย

ย้อนกลับไปเรื่องเดิมครับคือการที่เรามีหัวหน้าวงเป็นบิลลี่ ผู้ซึ่งแน่วแน่ในอุดมการณ์ สมัยก่อนเขาค่อนข้างจะโดดเด่นในแง่ของการที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง ทำให้มีคุณภาพสูงสุด มีอะไรก็ใส่เท่านั้นแต่จะต้องดีที่สุด มันก็เลยกลายเป็นว่าเอ็มวีก็ถ่ายเอง รูปก็ถ่ายเอง เพลงก็อัดกันเอง พอไปอยู่ในสถานการณ์ของรายการ เขาทำเป็นโจทย์ขึ้นมา บางวันเราไม่ได้เล่นดนตรี เราไปถ่ายรูป ไปโพสท่า บางวันเขาให้เราไปถ่ายเอ็มวี

ซึ่งอันนี้เป็นข้อที่พวกเราจะได้เปรียบ มันก็เลยทำให้ผมรู้สึกว่าวงเราก็เจ๋งดีนะ เรื่องพวกนี้เราก็ผ่านด้วยตัวเองมาแล้วก่อนที่เขาจะเอาสิ่งนี้มาสอนเรา แต่จริงๆ คือเราก็ได้ทั้งคู่นะ ก็เหมือนเป็นการแชร์สิ่งต่างๆ ร่วมกันกับวงอื่นๆ ที่อยู่ในรายการด้วย อันนี้เป็นสิ่งที่อาจไม่ได้เตรียมใจมา แต่กลายเป็นว่าอ้าว…มีอยู่แล้วประมาณนึงครับ”

ถามว่ามีความแตกต่างอย่างไรบ้างระหว่างโจทย์ที่ได้รับในรายการ กับการเป็นศิลปินในชีวิตจริง ไมโลกับบิลลี่พร้อมใจตอบว่า “ต่างเลยครับ” ด้านเติร์ดบอกว่า “ต่างครับ คือจริงๆ ผมพูดตรงๆ ว่าจุดที่ต่างจริงๆ คือตอนที่มีเพลงฮิต กับตอนที่ยังไม่มี คือการมาอยู่ค่ายก็ต่างแล้วแหละ ต่างกันที่ว่าเรามีค่ายช่วยเราซัพพอร์ต เรามีการทำงานที่เป็นรูปแบบแบบแผนมากขึ้น อันนั้นคือความต่าง

แต่ในเรื่องความต่างจริงๆ คือพอมีเพลงฮิตปั๊บชีวิตเปลี่ยน พอมาอยู่ค่ายก็คือโอเคเราทำงานแล้วมีทีมงานที่มาช่วยเรา Tilly Birds ไม่ได้มีแค่ 3 คนแล้ว Tilly Birds คือ Gene Lab คือทีมงานทุกคน พอเรามีทีมที่ใหญ่ขึ้น เวลาเราคิดงานทำงาน เราไม่ได้ทำแค่กับพวกเราแล้ว เรามีทีม Gene Lab ช่วยเราด้วย”

มีเพลงดังแต่ไม่ได้เล่นคอนเสิร์ต

เมื่อถามว่าตอนที่ปล่อยเพลงดัง “คิดแต่ไม่ถึง” ในอัลบั้มแรก “ผู้เดียว” ประสบความสำเร็จขนาดไหน เติร์ดบอกว่า

“สิ่งที่สัมผัสได้คือการมีงานจ้างเพิ่มขึ้น พอเพลงทำงาน มีงานต่างๆ เข้ามา ซึ่งเราไม่เคยมีโอกาสได้เล่นตรงนั้นมาก่อน เป็นประตูสำคัญเหมือนกันครับ” ไมโลเสริม “เหมือนกลับด้านเลย แต่ก่อนบางทีเราต้องขวนขวายหาโอกาสในการได้ทำสิ่งต่างๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นโอกาสกลับมาท่วมใส่เรา แต่มันก็มีจุดที่มันหยุดชะงักไปเหมือนกันเพราะด้วยสถานการณ์โควิด คือมันมีหลายตลบมาก

ชีวิตวงพวกผมเป็นวงที่ดังก็จริง แต่ก็ไม่เหมือนกับประสบการณ์ที่คนรุ่นก่อนๆ อาจได้เจอ คือมีเพลงที่ทุกคนอยากร้องแต่ก็ไม่ได้เล่น ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ คือที่ถามว่า 1 ก่อนมีเพลงดังกับ 2 หลังมีเพลงดังเป็นยังไง แต่ของพวกผมโดดมาที่ 3 เลย คือ 2 ยังไม่รู้เป็นยังไงแต่ไป 3 แล้ว และเราก็ต้องแบกรับสิ่งเหล่านี้ ก็ต้องทำความเข้าใจและยอมรับ แต่ที่เกิดขึ้นก็ถือว่าดีมากแล้วครับที่ได้ไปเจอทุกคนในช่วงนั้นที่แฟนเพลงที่ติดตามพวกเราขนาดนี้ในช่วงนี้”

บิลลี่เสริมว่า “ผมว่าสำหรับทุกๆ วงหรือทุกๆ ศิลปิน เพลงดังเหมือนเป็นประตูบานแรกให้ศิลปินทุกคน บางครั้งเหมือนจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่จริงๆ สำคัญมากๆ สำหรับคนฟังเพลงทั่วไป มันเป็นประตูบานนี้ที่ทำให้เขามาเจอและมีโอกาสเจอเพลงอื่น เป็นสิ่งที่ทำให้เขาเลือกว่าจะอยู่ฟังต่อไหม แต่ถ้าไม่มีประตูบานนี้เลย เขาอาจจะไม่เห็นเราตั้งแต่แรกเลยครับ พอมีสิ่งนี้ทำให้วงเป็นที่รู้จักและวงก็เหมือนได้เริ่มนับหนึ่งกันจริงๆ แต่พอนับหนึ่งก็เจอโควิด (หัวเราะ)

ก็เลยเหมือนย้อนกลับไปคำถามก่อนหน้าได้ว่า Band Lab กลับชีวิตจริงต่างกันอย่างไร Band Lab ไม่เคยสอนว่าถ้าโควิดมาจะทำยังไง นี่คือชีวิตจริงครับ เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญด้วยตัวเอง พูดได้เต็มปากว่าพวกเราเป็นวงที่ดังในยุคโควิดทั้งสองรอบ (หัวเราะ)”

ถึงตรงนี้เติร์ดพูดติดตลกว่า “แล้วก็เลยมีคนแซวว่าโห ถ้า Tilly Birds มีเพลงฮิตอีกหลังเพลง “เพื่อนเล่น ไม่เล่นเพื่อน” โควิดมาอีกแน่เลย เราก็บอกว่าโน…ไม่เอาแล้ว พอแล้ว” ไมโลรีบพูด “ทุกคนอย่าคิดหรือเชื่ออะไรแบบนั้นเลยครับ (หัวเราะ)”

กับคำถามว่าท้อมั้ยกับสิ่งที่เกิดขึ้น บิลลี่บอกว่า “อย่างที่บอกว่าพวกผมเป็นวงที่โตมาพร้อมกับโควิดเลยยังไม่รู้ว่าการทัวร์จริงๆ เป็นอย่างไร คนก็ถามว่าเสียใจไหมแทนที่จะมีงานแต่ไม่มีงาน ผมก็บอกว่าไม่ขนาดนั้นเพราะก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยมีงาน

แต่พอปีที่แล้วช่วงกลางปีถึงปลายปีพอเล่นคอนเสิร์ตได้ พวกผมก็เลยมีการทัวร์เป็นรูปเป็นร่างครับ ทัวร์กัน 24 งานต่อเดือน จนมันปิดอีกรอบหนึ่ง ก็เลยแบบ…ที่พูดมาเก็ตแล้วว่ารู้สึกอย่างไร เลยมีทั้งสองแบบให้รู้สึกแล้ว ถามว่าความรู้สึกแตกต่างกันไหม ต่างครับ แต่ไม่ต่างกันมาก

มันเหมือนเป็นอะไรที่พวกผมทำใจได้อยู่แล้วมั้งครับ พวกเราผ่านกันมาแล้วก็คงชินแล้ว แต่พอมันมาปุ๊บก็น้ำตาตกใน เศร้าอยู่ดี รู้แล้วว่าเป็นยังไง แต่ผมว่าโควิดรอบหลังมวลความเศร้ามันเยอะกว่ารอบแรกแน่ๆ มันเศร้าด้วยโควิดเองมากกว่า ถ้าเศร้าสุดก็คงการที่มันยาวกว่ารอบที่แล้ว เสียหายเยอะ คนตายเยอะ เศร้ากันทั้งประเทศตามกันไปมากกว่า แต่เพลงดังกว่าเดิม “คิดแต่ไม่ถึง” ตอนนั้นดังเท่าไหน แต่โควิดรอบนี้เพลง “เพื่อนเล่น ไม่เล่นเพื่อน” ดังกว่ารอบที่แล้ว เป็นความตลกร้ายครับ”


It’s Gonna be OK

เติร์ดเล่าถึงการทำงานอัลบั้มชุดที่ 2 It’s Gonna be OK มีทั้งหมด 8 เพลง มีซิงเกิลที่ปล่อยทั้งหมด 4 เพลง คือ เพื่อนเล่น…ไม่เล่นเพื่อน, ลู่วิ่ง, เดอะแบก, เบื่อคนขี้เบื่อ

ส่วนภาพรวมเชิงดนตรีอัลบั้มนี้ บิลลี่บอกว่า “ถ้าให้สโคปคำๆ เดียวน่าจะเข้าไปในกรอบอัลเทอร์เนทีฟนะครับ มันก็จะมีความแตกต่างหลายๆ เพลง Tilly Birds จะเป็นวงที่เพลงจะไม่เหมือนกันทุกเพลงหรือมีสูตรตายตัว แต่ทุกเพลงจะฟังแล้วรู้ว่าเป็น Tilly Birds อย่างเพลงเพื่อนเล่น ไม่เล่นเพื่อน, ลู่วิ่ง จะเป็นป๊อป ส่วน เดอะแบก, เบื่อคนขี้เบื่อ จะเป็นอัลเทอร์เนทีฟร็อก เพลงอื่นๆ จะมีความอัลเทอร์เนทีฟบ้าง บัลลาดบ้าง”

ถึงตรงนี้ไมโลขยายความว่า “ความอัลเทอร์เนทีฟก็คือเป็นทางเลือก เป็นสิ่งที่คนฟังสามารถเลือกได้ว่าเป็นคนเลือกฟังสิ่งนี้ คือเพลงไม่ได้เรียกว่าต้อนรับทุกคนร้อยเปอร์เซ็นต์ขนาดนั้น แต่ว่ามันก็มีจุดประสงค์ของมัน เพื่อให้คนฟังรู้สึกว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งกับเพลงจริงๆ อันนี้คือคอนเซปต์ของตัวแนวเพลง ซึ่ง Tilly Birds ก็เป็นวงแนวนั้นอยู่แล้ว

อัลบั้มนี้ก็จะยิ่งตอกย้ำ ในเชิงของจังหวะเรียกง่ายๆ ว่าจะมีเพลงที่มีจังหวะปานกลาง เร็ว เป็นส่วนประกอบหลัก มีมู้ดที่สนุกและเศร้า อึดอัด แต่ทุกเพลงสามารถฟังแล้วโยกได้ ชิลได้ มีมูฟเมนต์ร่างกายขณะฟังได้ เป็นกิมมิกหลักของอัลบั้มนี้ครับผม”

เมื่อให้ทั้ง 3 หนุ่มเล่าถึงที่มาของการทำเพลง “เดอะแบก (Baggage)” ซิงเกิลล่าสุดจากอัลบั้มใหม่ “It’s Gonna be Ok” เติร์ดเริ่มเล่าให้ฟังว่า “ไอเดียเริ่มมาจากผม ผมเคยเจอมาจากประสบการณ์จริงๆ ครับ รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าเล่าเป็นเพลง เพราะเรารู้สึกว่าดีเทลบางอย่างมีความพิเศษครับ พาร์ตเนื้อหาเรารู้สึกว่าเพลง Tilly Birds ส่วนใหญ่ที่ผ่านมาตั้งแต่อัลบั้ม “ผู้เดียว” จะพูดเรื่องค่อนข้างวัยรุ่น ความสัมพันธ์ที่มาไวไปไว

แต่เพลงนี้ผมรู้สึกว่ามันโตขึ้นเยอะในแง่ของทั้งเนื้อหาและดนตรีด้วย คือในเนื้อหา Tilly Birds ไม่เคยพูดถึงเรื่องที่โตหรือหนัก รู้สึกว่ามันไม่ได้ประยุกต์ได้แค่เรื่องความรัก แต่มันประยุกต์ได้กับทุกอย่างเลย ถ้าฟังแล้วรู้สึกว่าเราเหนื่อยกับอะไรสามารถโยงไปถึงเรื่องนั้นได้ อาจไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์อย่างเดียวครับ”

จากนั้นบิลลี่เล่าถึงพาร์ตดนตรีให้ฟังว่า “จริงๆ เพลงนี้สิ่งที่ค่อนข้างเป็นลายเซ็นของ Tilly Birds ชัดเจน คือการที่กลับไปมีความอัลเทอร์เนทีฟร็อกในช่วงท้าย แต่ว่าในทางเดียวกันความพิเศษและความใหม่มันจะอยู่ที่ต้นเพลงครับ ที่เป็นเพลงอัลเทอร์เนทีฟอิเล็กโทรหน่อย Raw File หน่อย มีความลูปๆ อึดอัดแน่นๆ ให้คนรู้สึกเหมือนกำลังแบกอยู่จริงๆ มีการเล่าเรื่องไปพร้อมกับเนื้อเพลงของเติร์ดครับ ผมว่าเป็นเพลงที่เนื้อเพลงบอกถึงการแบกไว้ สุดท้ายพูดถึงการที่อยากจะวางมันลง ดนตรีเองก็พูดถึงสิ่งนี้เหมือนกันด้วยการที่พูดภาษาดนตรีออกมาครับผม”

ในส่วนการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ เติร์ดเล่าว่าไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษอะไร เป็นการถ่ายปกติ ทั้งศิลปินและนักแสดงต้องนิ่งที่สุด พูดง่ายๆ คือเล่นเป็นหุ่น มันถึงดูสมจริงมากเพราะว่าต้องเล่นแบบนั้นจริงๆ “ของพวกผมไม่ยากมากหรอก ของพระนางยากกว่า (หัวเราะ) บางพาร์ตเขาจะเยอะกว่าพวกผม ความยากคือเขาต้องเล่นให้นิ่งด้วยและต้องสื่ออารมณ์ด้วย ต้องร้องไห้ ทะเลาะกัน แต่ห้ามร้องสุด ร้องแล้วต้องปล่อยให้น้ำตาไหลเอง นี่คือความยากของแอ็กติ้งในเอ็มวีนี้

ความพิเศษก็คือเราได้เพื่อนเราชื่อตุลย์ เป็นผู้กำกับเอ็มวีของ Tilly Birds ในเพลง “ฉันมันเป็นใคร” มาก่อน เรารู้สึกว่าเพลงนี้กลิ่นหรือมู้ดแอนด์โทนบางอย่างมันเห็นเป็นภาพว่าต้องเป็นตุลย์ทำ ก็เลยไปชวนตุลย์มาทำ เขาก็เห็นภาพเป็นแบบนี้ เค้าอยากทำเอ็มวีให้คนดูแล้วรู้สึกแต่ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่อง เพราะไม่ใช่เอ็มวีเล่าเรื่อง แต่เป็นเอ็มวีที่ทำให้เรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เราเจอ มันทัชเรามาก มันหนักหน่วงเข้มข้น เป็นเอ็มวีที่ให้คนดูตีความเอง”

เดอะแบกในชีวิตจริง

กับคำถามว่าในชีวิตจริงของทั้ง 3 คนเคยมีความเดอะแบกอะไรบ้าง เติร์ดถึงกับหัวเราะก่อนบอกว่าขอนึกก่อน จากนั้นไมโลพูดว่าปกติเป็นคนไม่ค่อยแบกอะไร ก่อนจะเล่าถึงเรื่องวันวานว่า

“ถ้าย้อนกลับไปเด็กๆ มันมีบางครั้งที่ผมรู้สึกว่าตอนทำวงดนตรีไปแข่งขันอะไรสักอย่างและมีความเครียด ผมเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่ง ตอนนั้นซ้อมเยอะมาก เพราะครูฝึกจะคาดหวังให้ผมเก่งกว่านี้ ตอนนั้นผมรู้สึกว่าต้องแบบอันนี้ไว้หนักเหลือเกินมาเป็นเวลานาน อันนั้นก็เป็นประสบการณ์ของผมครับ”

บิลลี่เล่าบ้าง “คล้ายๆ ไมโลมากๆ เลยครับ แต่ฟาสฟอร์เวิร์ดมาปัจจุบันคือ Tilly Birds พอมีเพลงดัง 2 เพลงแล้ว มันก็จะมีความกดดันที่เพลงต่อไปคนจะคาดหวัง คนไม่น้อยก็คาดหวังให้มันดังอีก ก็เป็นความกดดันที่เราต้องแบกเอาไว้ทั้ง 3 คนครับ ก็อินกับเรื่องนี้เหมือนกันนะ มันมีบางอย่างที่ส่งมาหาเพลงนี้เหมือนกันเลยเป็นเหตุผลที่เลือกทำเอ็มวีแบบนี้เหมือนกัน คือแบบช่างมัน ไม่แบกแล้วครับ”

จากนั้นถึงคิวเติร์ดที่เล่าประสบการณ์ตรงในการเป็นเดอะแบกว่า “มันมีช่วงที่ผมจะต้องทำธีสิสตัวเองเป็นหนังสั้นแล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Tilly Birds กำลังจะเข้าค่าย Gene Lab พอดี ไทม์ไลน์ของการทำงานคือ Gene Lab จะมีรายการโปรโมตค่ายคือรายการชื่อ Band Lab แล้วรายการกับธีสิสถ่ายช่วงเดียวกัน

สมมติออกกองธีสิส 6 โมงเช้าถึงประมาณ 3-4 ทุ่ม ในวันต่อมา 6 โมงเช้าผมก็ต้องขับรถไปบางบ่อ เพื่อไปถ่ายรายการ Band Lab ตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงตี 1-2 วันต่อมาก็ต้องกลับไปออกกองธีสิสอีก เป็นการแบกที่แขนปักพื้นแล้ว ผมไม่ไหวแล้ว แต่ก็ผ่านมาได้ ก็รู้สึกว่าเป็นช่วงชีวิตที่ โห…แบกหนักสุดแล้วในชีวิตครับ”

มิตรภาพระหว่างเพื่อน

เป็นเพื่อนกันมานานหลายปี เมื่อถามว่ามิตรภาพของความเป็นเพื่อนของทั้ง 3 คนเป็นอย่างไร มีเหตุการณ์อะไรที่ประทับใจกันและกัน เติร์ดบอกว่า “จริงๆ เหตุการณ์ของผมมันเพิ่งผ่านมาไม่นาน ปีที่แล้วผมเจอเรื่องหนักมาก สูญเสียทั้งคุณพ่อคุณแม่ รู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้ยังมีความหวังในการใช้ชีวิต มีจุดหมาย มีสิ่งที่จะทำให้มองไปข้างหน้าอยู่ก็คือวง ก็คือสองคนนี้ เพราะเขาก็อยู่กับผมในทุกช่วง ทั้งในช่วงเพลงดังมีความสุขที่สุด

พอผมเจอเรื่องก็ดิ่งสุดเศร้าสุด เขาก็อยู่ตรงนั้น ก็รู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่ประทับใจ เราไม่ใช่แค่เพื่อนในวงเราเป็นเพื่อนกันจริงๆ เป็นเหมือนครอบครัว รวมถึงค่ายเพลงด้วย แต่สองคนนี้ก็จะอยู่กับผมบ่อยที่สุด เขาเป็นเหมือนแทรมโพลีน ไม่ว่าผมเศร้าเรื่องอะไร เขาก็จะพูดให้ผมเข้าใจโลกมากขึ้น เป็นเหมือนเครื่องเตือนสติกำลังใจ”

ด้านไมโลบอกว่า “เรื่องที่ผมประทับใจที่สุดน่าจะเป็นเรื่องเติร์ด ไม่เคยเจอใครที่เจอเรื่องราวที่หนักเท่านี้และใกล้ตัวที่สุดคนหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมทำมันช่วยได้มากน้อยแค่ไหน แต่เวลาที่เห็นเติร์ดมาจนถึงทุกวันนี้ เราเห็นว่าเขาสามารถผ่านมันมาได้จริงๆ รู้สึกภูมิใจ

คนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้อาจจะไม่เข้าใจว่าเติร์ดเป็นยังไง หมายถึงก่อนหน้านี้เติร์ดก็โดนนั่นนี่ ขนาดผมเป็นมือกลองก็โดนถามบ่อย ผมก็จะเป็นห่วงเขา เติร์ดพูดว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ทุกคนรู้สึกเหมือนกันหมด บางทีเราก็มีความเป็นห่วงกัน พอเจอแบบนี้ขึ้นมา เราก็รู้สึกว่ามันบีบให้คนคนหนึ่งต้องโตขึ้นมาขนาดนี้เลยเหรอ

ก็ประทับใจที่เขาผ่านมาได้ ยังอยู่ร่วมทางกับพวกเราจนถึงทุกวันนี้ และรู้สึกอินกับเพลงเพลงนึงในอัลบั้ม เป็นเพลงที่ผมชอบที่สุด เพลงนี้มาจากสตอรี่เรื่องจริงของเติร์ดด้วย”

ส่วนบิลลี่บอกว่า “ไม่มีสตอรี่ไหนเจาะจงสำหรับสองคนนี้เพราะมีอะไรเกิดขึ้นเยอะมาก แต่ว่าจะแชร์ให้คนที่ได้อ่านตรงนี้ให้ฟังว่า ผมว่าทำวงเหมือนแต่งงานมั้งครับ ถ้าหย่าไปก็มีความเสียหายเกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดแต่งงานไปแล้วเจอถูกคน มันก็จะมีความสุขไปได้นาน

ซึ่งผมก็คิดว่าสำหรับสองคนนี้ผมก็แต่งงานไม่ผิดคนครับ (ยิ้ม) ต้องเข้าใจก่อนว่าอันนี้คือการเปรียบเปรยนะครับ เราทำงานด้วยกันได้ เราเหมือนพี่น้องกันจริงๆ คุยกันได้ทุกเรื่องครับ”

ปิดท้ายกับคำถามว่าถ้าเปรียบเทียบ Tilly Birds จะเปรียบเหมือนกับอะไรได้บ้าง ทั้ง 3 คนนั่งคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เติร์ดจะตอบคำถามเป็นคนแรกว่า “เหมือน Tripod หรือขากล้องครับ เพราะรู้สึกว่าถ้าขาดขาใดขาหนึ่งมันก็จะล้ม พังทันที มันต้องอยู่ด้วยกัน มันมีในรายการ Band Lab ที่บอกว่าให้เราถ่ายรูปกับพร็อบ เราก็เอามาสร้างสรรค์เป็นรูปแล้วเขาก็ถามว่าทำไมในรูปทุกคนอยู่ในตำแหน่งที่เท่ากันหมดเลย ไม่มีใครเด่นออกมา คือเรารู้สึกว่าวงเราขาดคนใดคนหนึ่งไม่ได้ จะต้องเป็น 3 คนนี้เท่านั้นครับ ขาดใครไปมันจะไม่สมบูรณ์”

ด้านไมโลบอกว่า “ของผมน่าจะ Conceptual ขึ้น เป็นภาพใหญ่ขึ้นจากเติร์ดครับ มันคือคำว่า Rule of Three ครับ จริงๆ แม้กระทั่งในวงการศิลปะก็มีอะไรเหล่านี้เยอะครับ

ตัวอย่างง่ายๆ ที่ผมเพิ่งเรียนรู้มาก็คือการจัดบ้าน สมมติเรามีเชลฟ์ วางตำแหน่งให้ของอยู่สามชิ้นในลักษณะที่กระจายกันเป็นสามเหลี่ยม โดยให้รูปแบบเชื่อมโยงกันเป็นสามเหลี่ยม มันจะมอบความสุขให้กับคนที่เห็น รู้สึกว่ามันคอมพลีทด้วยการใช้จำนวนสามชิ้นเป็นที่ตั้ง ผมว่าเหมือนหลักการเดียวกันกับที่ไปถ่ายรูปกันเมื่อตอนนั้น คือมันจะหยิบมาเด่นหนึ่งอันก็ได้ แต่บางอย่างอยู่กันสามอันแล้วมันเป็นชิ้นเดียวกันที่สมบูรณ์กว่าครับ”

ปิดท้ายที่บิลลี่บอกว่า “ผมว่า Tilly Birds เหมือนนกฟินิกซ์ครับ คิดอันอื่นไม่ออกแล้ว (หัวเราะ) นกฟินิกซ์ คือ นกที่ตายแล้วมันจะเผาตัวเองเป็นขี้เถ้า แล้วจะเกิดใหม่จากกองขี้เถ้า ผมว่ามันก็คงเป็นแบบนั้นมั้งครับ พอพวกผมก็เคยเจอทั้งเรื่องเสียสมาชิกวง เริ่มต้นใหม่หลายๆ ครั้งในเวลาผ่านมา 4-5 ปี เลยรู้สึกว่าตัวเองเหมือนนกฟินิกซ์ที่เกิดใหม่สง่า พอมีปัญหาปุ๊บตายแล้วก็เกิดใหม่และสง่า รู้สึกว่ามีความลูปคล้ายๆ นกฟินิกซ์เหมือนกัน แล้วมันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่หายไปครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : GMM Grammy
กราฟิก : Varanya Phae-araya