หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ดีเจมะตูม เตชินท์ พลอยเพชร ต้องเจอมรสุมครั้งใหญ่ในชีวิตจนทำให้ชีวิตของดีเจคนดังนั้นต้องพลิกผัน 

ซึ่งล่าสุด ดีเจมะตูม มาเป็นแขกรับเชิญใน รายการแจ็คขอคุย ทางแชแนลยูทูบ Jackfanchan กับอีพีที่มีชื่อว่า “‘ดีเจมะตูม’ หิวแสง! เปิดทุกประเด็นร้อน น้อมรับทุกกระแสวิจารณ์” เป็นการเปิดใจหมดเปลือกของดีเจชื่อดัง ซึ่งมะตูมได้เล่าให้ฟังว่า 

มะตูมเจออะไรมาเยอะสำหรับวงการบันเทิง ถามว่าอยากกลับมาในวงการบันเทิงมั้ย ถ้ากลับมาทำงานแบบเดิมก็พร้อมกลับมา

แต่ถ้ากลับมาแล้วยังทำตัวแบบเดิม วิถีการใช้ชีวิตแบบเดิม ก็ไม่อยากกลับ และเมื่อ 2 ปีที่แล้วมะตูมทำทั้งธุรกิจและงาน ทำงาน 7 วันไม่เคยได้หยุด วันนึงทำได้ 3 งาน

ส่วนเรื่องความผิดพลาด ก็พลาดเยอะ เมื่อก่อนมาจากใต้ดิน เป็นดีเจแคมฟรอกมาก่อน ไม่เคยลืมกำพืด มีความฝันอยากเข้าวงการบันเทิง อยากเป็นดารา

คือมะตูมเติบโตมากับครอบครัวที่ทุกคนเก่งหมด พ่อเป็นนักร้อง พี่ร้องเพลงเพราะ น้องเป็นนางแบบ เลยอยากใช้ความสามารถของตัวเองหาเงินให้ได้มากๆ

...

ซึ่งวงการบันเทิงตอบโจทย์ พอมองว่าวงการบันเทิงคือทางเลือกนึง ก็ใช้คำว่าหิวแสง กระหายในการที่จะเข้ามาเป็นซัมวันในที่นี้มากๆ

ส่วนคนที่มองว่ามะตูมน่าหมั่นไส้ มันเป็นความผิดพลาดของมะตูม ไม่เคยโทษคนอื่นเลย ต้องยอมรับว่าเข้ามาวงการบันเทิงไวในชั่วข้ามคืน ด้วยการอัดคลิปด่าในโซเชียล อีกวันได้เล่นละครเลย ทุกอย่างไวมาก

พอทุกอย่างมาไว ยิ่งทำยิ่งสะใจ ไปไหนก็มีแต่คนพูดถึง เป็นที่ต้องการ ณ เวลานั้นก็เลยไม่ได้มีคิดอะไร ทำตัวเองยังไงก็ได้ให้คนพูดถึง ซึ่งมันกลายมาเป็นความน่าหมั่นไส้

บางทีเจตนาจะทักคน แต่กลายเป็นว่าคำพูดไปกดคนอื่น ดูเหยียด บูลลี่ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจไว้เยอะมาก ถามว่าทำไมต้องบูลลี่ นั่นคือสิ่งที่มะตูมก็ถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องไปดูถูกคน ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ดี จริงๆ เจตนาไม่ได้ต้องการทำให้ใครด้อยค่าหรือดูถูกใคร

แต่เมื่อเวลาที่ตัวเองโดนกลับ คำถามที่แรงที่สุดคือ พ่อแม่ไม่สั่งสอนเหรอ เลี้ยงลูกยังไงให้เป็นแบบนี้ คำพวกนี้จะเจ็บมาก เพราะแม่สอนเราดีมาก

จากนั้นดีเจมะตูมเล่าต่อว่าเมื่อก่อนใครด่ามาก็ด่ากลับ แค่คอมเมนต์มาต่อว่าก็ตอบกลับ แต่ ณ วันนี้มองว่าเพราะการกระทำของตัวเองต่างหากเขาถึงมองแบบนั้น ต้องโทษที่ต้นเหตุ คือเราที่วางตัวแบบนั้นในวงการ กลายเป็นว่าทุกวันนี้ถ้าใครด่าอะไรที่หนักเกินก็แค่ลบ

ส่วนที่คนด่าว่าเป็นวัวลืมตีนเพราะมีเงินเยอะขึ้น มะตูม เตชินท์ เล่าต่อว่า อยู่วงการบันเทิงมาไม่กี่ปี ถือว่าประสบความสำเร็จ มีเงินเก็บ มีธุรกิจ ด้วยความสามารถและคอนเนกชัน

วันที่มีเงินเยอะมากๆ มันลืมไปหมดเลยนะว่าเป็นใครมาจากไหน ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นมั้ย แต่ตัวเองเป็น มีคนเตือนเยอะมาก วงการบันเทิงจะหลงแสงสี ชื่อเสียง เวลาได้ยินก็ตลกว่าจะมาหลงได้ยังไง

เราต้องรู้สิว่าเราเป็นใครมาจากไหน แต่พอเอาเข้าจริง วันที่เราเป็นที่ต้องการ วันที่มีคนล้อมรอบ เราไม่ทันหรอกว่าใครเป็นใคร

จากนั้น แจ็ค แฟนฉัน ถาม ดีเจมะตูม ต่อว่าเป็นเพราะไปคบกลุ่มคนรวย ไฮโซรึเปล่าเลยเป็นแบบนี้ งานนี้มะตูมบอกว่า

มีส่วนเกี่ยวมาก จริงๆ มีโอกาสมากกว่าที่ได้ไปอยู่ในกลุ่มที่เป็นซุปเปอร์สตาร์ นางเอกระดับแถวหน้า กลุ่มไฮโซ ซึ่งไม่ได้ปฏิบัติตัวต่างจากเพื่อนกลุ่มอื่นๆ เลย

เพียงแต่ไปอยู่กลุ่มไฮโซคนจะจับตามองอยู่แล้วว่าเราเป็นใคร ถ่ายรูปร่วมกันได้ยังไง คนเลยมองว่าลืมตัว จู่ๆ ทิ้งเพื่อนเก่า จริงๆ เพื่อนเก่าก็ยังคบอยู่นะเพียงแค่ไม่เป็นข่าว

...

จากนั้น มะตูม เตชินท์ เล่าให้ฟังต่อว่า ช่วงที่มีเงินเคยใช้เงินวันนึงเกินล้าน แค่เข้าไปในร้านแบรนด์ดัง ลองรองเท้าแค่คู่เดียว แต่สั่งเอาไซส์เดียวกันทั้งชั้น ใช้เงินแก้ปัญหากลบปมด้อยตัวเองทั้งหมด

นั่นคือสิ่งที่อันตราย เราคิดไปเอง คิดแทนคนอื่น จริงๆ วงการบันเทิงเขาไมได้วัดกันที่มูลค่าสิ่งของ เขาวัดกันที่ความดี ตอนนั้นเราแยกแยะไม่ออกไง คิดว่าเป็นดาราต้องแพง เป๊ะตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด

แต่ตอนนี้ขายทุกอย่างทิ้งไปเยอะมาก ต้องบอกว่าโควิดมาเปลี่ยนทัศนคติบางอย่าง วันที่มี อยู่สูงมากๆ คนรอบตัวจะเห็นสันดาน

แต่วันนึงที่ตกลงมา จะเห็นสันดานคน เลยรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วจะใส่นาฬิกาเรือนละล้านไปทำไม ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าถ้าติดโควิดแล้วตายขึ้นมา แม่จะอยู่สบายไปจนแก่หรือเปล่า

ดีเจมะตูม เล่าต่อว่า ในวันที่ติดโควิดทำให้รู้ว่าชีวิตไม่แน่นอน เหมือนได้อะไรมาง่ายๆ วันนึงมันหายไปเลย ไม่ได้งาน เสียงาน หยุดงาน 5 เดือน แต่มีภาระเท่าเดิม รายจ่ายเท่าเดิม แต่ไม่มีรายรับ ตอนนั้นเครียดมาก

ตอนที่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ทีวีก็เปิดไม่ได้เพราะคนเล่นข่าวเราหมด อะไรที่เคยทำไว้กับใคร เจตนาดีหรือไม่ดีไม่รู้มันย้อนกลับมาวันนั้นหมดเลย

กินยานอนหลับแต่ไม่หลับ มันไม่ไหว มันแค่อยากหาอะไรในห้องที่ทำให้เราไปสบายที่สุด ไม่ได้รู้สึกอยากตาย แต่รู้สึกไม่อยากรู้สึกกับอะไรอีกแล้ว เหนื่อยแล้ว

แจ็ค แฟนฉัน ถาม มะตูมต่อว่า เป็นสายเปย์เวลาเที่ยวซื้อผู้ชายครั้งละครึ่งล้าน จริงรึเปล่า ซึ่งมะตูมยอมรับว่าเมื่อก่อนสามารถเอาเงินครึ่งล้านให้ผู้ชายได้โดยไม่ต้องคิดเลยว่าอนาคตตัวเองจะลำบากมั้ย 

ไม่เคยคิดเลยว่า แม่ ยาย จะกินอิ่มมั้ย มีเงินจ่ายค่าไฟมั้ย ขอแค่มีผู้ชาย มันสะใจจังเลย ปาร์ตี้ การใช้เงินไปลุยตรงนั้น มันไม่ใช่ปมด้อย แต่เพราะมันหลุดไปกับสิ่งที่มันไม่เป็นจริง

...

แต่ทุกวันนี้ที่เปลี่ยนไปเพราะคุณแม่มีส่วน และที่เปลี่ยนได้ทั้งหมดทั้งมวลเพราะตัวเองคิดว่าก่อนที่จะมาเป็น ดีเจมะตูมตอนนั้นเรามีความสุขมาก หลับเต็มอิ่ม สุขภาพจิตดี ไม่ต้องแข่งกับอะไรเลย

และสิ่งที่อยากพูดมากคือ มนุษย์มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ตูมเคยเป็นคนตัดสินคนเพียงแค่ด้านเดียว แล้วเอาความสุขของตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาความสุขของตัวเองไปวัดค่ากับความนิยมชมชอบของคนอื่น

คิดว่าทำแบบนี้มันดี คนอื่นชอบ เลยมีความสุข แต่พอวันนี้มานั่งนึกย้อนดีๆ แล้ว ความสุขจริงๆ มันเริ่มจากตัวเรา เราต้องเป็นคนกำหนดสิว่าวันนี้คุณภาพชีวิตเราอยากเป็นแบบไหน

ถ้าอยากไปไหนแล้วมีแต่คนชื่นชอบ เราลองชื่นชอบคนอื่นสิ ถ้าวันนี้อยากมีความสุข ลองยินดีกับความสุขของคนอื่นสิ ทำไมต้องไปแก่งแย่งชิงดี ทำร้าย มุมมองตูมเปลี่ยนไป อยากพัฒนา

คือยังเป็นมะตูมที่จิกเล่นได้นะ แต่แค่อยากโตขึ้นอีกสเตปนึงให้คนเห็นว่ามนุษย์ไม่มีแค่สองด้านนะ มีหลายด้าน เกลียดใครอย่าเกลียดให้สุด รักใครอย่ารักให้สุด เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนไปได้ตามกาลเวลาเสมอ ขึ้นลงได้เสมอ สิ่งที่พูดวันนี้จะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าตัวเองไม่คิดได้อย่างที่พูดออกมา

...

ยอมรับว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา ตัวเองก็ต้องใช้เวลาในการปรับปรุงตัวเองในการพิจารณาตัวเอง เมื่อก่อนเวลาเจอดราม่าก็จะอธิบายเพื่อให้เป็นประเด็น แต่วันนี้เจอดราม่าอะไรก็แค่ปิดมันก่อน

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกให้คนมาชอบเรา มารักเรา ถ้าเป็นมะตูมคนก่อนคงกระวนกระวายที่มีคนเกลียด ตูมว่าความสุขมันคือการมอบสิ่งดีๆ ให้กัน