- เคยประกวดร้องเพลง ออกอัลบั้มเพลงลูกทุ่ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
- เอาดีด้านหมอลำจนประสบความสำเร็จ จริงจังถึงขั้นดรอปเรียน
- เผยเหตุผลที่เปลี่ยนชื่อและย้ายคณะบ่อย ปลื้มแฟนๆ ยกเป็นหมอลำเน็ตไอดอล
กำลังมาแรงเลยทีเดียว สำหรับ แอน ณิชนันทน์ อินทรสอน หรือ แอน อรดี หมอลำสาวเน็ตไอดอลชื่อดังจากคณะหมอลำสาวน้อยเพชรบ้านแพง ที่กว่าจะมีชื่อเสียง มีงานเข้ามามากมายอย่างเช่นทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ก่อนหน้านี้จะเคยประกวดร้องเพลงตามเวทีต่างๆ ก่อนจะหันมาจับไมค์ร้องเพลงลูกทุ่ง ก็ไม่ประสบความสำเร็จ พอหันมาเป็นหมอลำสาวก็เคยเจอคำสบประมาทมามากมาย แต่สุดท้ายก็สามารถพิสูจน์ตัวเองจนประสบความสำเร็จในอาชีพ
บันเทิงไทยรัฐออนไลน์พูดคุยกับแอนถึงชีวิตในวงการเพลงที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย รวมทั้งถามถึงเหตุผลที่ย้ายสังกัดและเปลี่ยนชื่อบ่อยๆ รวมไปถึงความรักจากแฟนๆ ที่จัดหนักจัดเต็มเซอร์ไพรส์วันคล้ายวันเกิดของแอน (6 ก.ย. 2564) ด้วยการจัดรถแห่ ขึ้นป้ายบิลบอร์ดยักษ์ใน จ.ขอนแก่น และอีกหลายจังหวัด รวมถึงสิ่งที่อยากทำ คืออยากกลับไปเรียนให้จบ ซึ่งก่อนหน้านี้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเธอเรียนจบแล้ว

...
รักการร้องเพลงแต่ขี้อาย
ก่อนที่จะเป็นหมอลำชื่อดังขวัญใจแฟนๆ อย่างทุกวันนี้ เส้นทางชีวิตของเธอก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ส่วนความชื่นชอบในการร้องเพลง แอนบอกว่า “ตั้งแต่จำความได้ ก็ได้ยินคุณย่า คุณพ่อคุณแม่ร้องเพลงแล้ว ก็เลยชอบร้องเพลง ตอนเด็กๆ คุณปู่ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณลุงของพ่อก็มีวงหมอลำ เป็นนักดนตรี เล่นดนตรีด้วย ส่วนแม่ชอบร้องเพลงอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกในวง แม่จะคอยดูส่วนอื่นๆ ของวงมากกว่า
เหมือนเราก็เกิดมาอยู่ตรงนั้น เราก็จะเห็นเขาซ้อมดนตรี ซ้อมเพลง ซ้อมลำเรื่อง อยู่กับทุกหน้าที่ของวงนั้น เพราะพ่อเล่นดนตรีอยู่แล้ว เราเป็นหลาน ก็จะสนิทกับทุกคนได้ง่าย แต่ถามว่าชอบร้องหมอลำหรือลูกทุ่งมากกว่ากัน แต่ก่อนตอนเด็กฟังหมอลำ ลูกทุ่ง แต่พอโตมานิดนึงจะอยู่กับพี่ชายพี่สาวซึ่งจะเป็นวัยรุ่น เขาจะชอบฟังสตริง ก็จะเปิดสตริง เพื่อชีวิตให้ฟังซะมากกว่า เราก็เลยร้องสตริงได้ก่อน แล้วมีช่วงที่จะมาประกวดร้องเพลง เราก็มาฝึกร้องลูกทุ่ง เพิ่งรู้ว่าต้องร้องให้ได้หลายๆ อย่าง แต่จริงๆ เพลงไหนก็ได้ค่ะ ชอบทุกแนว
แต่แอนไม่ค่อยประกวดร้องเพลงเท่าไร ชอบร้องเพลงแต่เป็นคนขี้อาย เวทีแรกที่ประกวดน่าจะเป็น ธ.ก.ส. ทอฝันเยาวชนไทย ช่วงนั้นแอนเรียนมัธยม ที่ประกวดเพราะว่าอาจารย์บอกว่าลองส่งดู ตอนนั้นนักร้องในวงมี 2 คนคือแอนกับน้องอีกคน อาจารย์ลองอัดวิดีโอส่งไป แล้วเขาก็คัดเลือกของภาคอีสานก่อน ตอนนั้น 199 คนมั้ง แล้วเราเป็น 1 ในที่คัดมาเหลือ 29 คน แล้วเข้ามาร้องอีกรอบหนึ่ง ก็ปรากฏว่าติด 1 ใน 6 ของภาคอีสาน ฟลุกมาก (หัวเราะ) เราก็งง แต่พ่อกับแม่เราดีใจมีความสุขที่ทุกครั้งเราผ่านไปในแต่ละรอบ

มันมีการประกวดทุกวันเสาร์ เราก็จะไปรายการ “เวทีไท” พ่อก็ขับรถพาไปประกวด จนเข้ารอบเป็นตัวแทนภาคอีสานไปประกวดกับทุกภาค รุ่นนั้นถ้าจำไม่ผิดก็จะมีคนที่ดังๆ หลายคน ผลปรากฏว่าแอนได้อันดับ 3 ของเวทีนี้ อันดับที่ 2 น่าจะเป็นหลินที่เป็นครูสอนร้องเพลง และปีนั้นประกวดกับน้องปิ่น เดอะสตาร์ แต่ตอนนั้นน้องปิ่นน่าจะยังอยู่ ป.6 รู้สึกจะได้อันดับที่ 6 ก็เป็นเวทีแรกที่เรามีรายได้ และดูพ่อกับแม่จะชอบให้เราไปแนวนี้ แต่ประกวดเดี่ยวก็ไม่ค่อยกล้าไปค่ะ เหมือนมันฟลุกมากกว่าที่เข้าไปตรงนั้น”
ส่วนการประกวดร้องเพลงในรายการชิงช้าสวรรค์ แอนเล่าว่า หลังจากจบการประกวดเวที ธ.ก.ส. ก็มาประกวดวงดนตรี ปกติทางโรงเรียนจะมีงบส่งประกวดตามรายการ ซึ่งเป็นรุ่นเราพอดีที่ได้เป็นนักร้องนำ เราก็ได้ไปประกวดอีก ทำให้คนเริ่มรู้จักขึ้นมาบ้าง แต่ได้เข้าไปประกวดแค่ 2 รอบ คือรอบแรกชนะและไปอีกรอบก็แพ้เลย ยังเป็นน้องใหม่อยู่ ยังไม่รู้ต้องเป็นแนวไหน ตอนนั้นเรียนจบ ม.6 พอดี ก็เลยไม่ได้ไปต่อ แต่ถามว่าตอนนั้นชอบแบบไหน ก็น่าจะเป็นแนวเพลงลูกทุ่งที่ตอบโจทย์มากที่สุดแล้ว เพราะฟังง่าย
อัลบั้มเดี่ยวครั้งแรก
จากนั้นแอนเล่าให้ฟังถึงการออกอัลบั้มเพลงลูกทุ่งเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต “ผู้หญิงคนนี้มีดีที่รักจริง” ถึงที่มาที่ไปของการทำงานครั้งนี้ว่า “อัลบั้มนี้เริ่มจากตอนจะไปประกวดร้องเพลงตั้งแต่อายุ 13 ปีค่ะ แต่ตอนนั้นประกวดไม่ได้เพราะอายุยังไม่ถึง เขารับอายุ 15 ปีขึ้นไป แล้วมีคุณลุงคนนึงที่รู้จักกัน ซึ่งสถานีวิทยุสมัยก่อนจะจัดประกวดร้องเพลง และคุณลุงจัดรายการอยู่ที่นั่น เขาก็เลยบอกว่าไหนๆ ก็ประกวดไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นมาลองฝึกจัดรายการกับลุงมั้ย ก็เลยกลายเป็นนักจัดรายการวิทยุไปเลย แต่ทุกครั้งที่มีการประกวด เราก็จะขอขึ้นไปร้องคั่นเวลาก่อน
...
ซึ่งตอนที่ร้องเพลงคั่นเวลาก็มีแมวมองมาชวนไปทำเพลงค่ะ แต่ตอนที่ทำอัลบั้มเกือบ 10 เพลงเพื่อโปรโมต ตอนนั้นก็อยู่ในช่วงที่คิดว่าจะเอายังไงดีกับชีวิต เรายังเป็นเด็กอยู่ ยังไม่รู้ว่าจะชอบอะไร ช่วงนั้นเรียนจบ ม.3 แล้ว จะเรียนต่ออะไรดี เราอยากมีโมเมนต์นั้น เราก็เลยเลือกมาเรียนก่อน ก็เลยไม่ได้ทำเพลงต่อ จากนั้นถึงไปประกวดเวทีของ ธ.ก.ส. และตอนอยู่ ม.6 ถึงมาประกวดรายการชิงช้าสวรรค์ พอจบ ม.6 ถึงมาทำอัลบั้ม “ผู้หญิงคนนี้มีดีที่รักจริง” ค่ะ”

ในการทำอัลบั้ม แอนเล่าว่าได้ทำเพราะพี่ที่เคยดูแลเราจากที่เราทำอัลบั้มตั้งแต่ตอนเราเด็ก เขารู้ว่าเราร้องเพลงได้ รู้ว่าเราเป็นแบบไหน เขาเลยติดต่อเรามาอีกครั้งเพราะเขารู้จักกับนายห้างค่ายเพลงที่ต้องการหานักร้องอยู่ เขาก็มาเป็นผู้จัดการ เป็นโปรดิวเซอร์ให้อีกที เขาชวนมาทำและดูแลทั้งหมด มีความยากง่ายในระดับนึง ซึ่งเราก็ห่างการทำเพลงมานาน ไม่รู้จะเป็นยังไง แต่ใจจริงไม่ได้อยากทำเพราะรู้สึกว่าอยากเรียนต่อ เหมือนไม่อยากเอาทางนี้แล้ว แต่ด้วยโอกาสที่มาแบบนี้ พ่อกับแม่อยากให้ลองดูอีกสักตั้งว่าจะเป็นยังไง
...
ส่วนฟีดแบ็กการทำอัลบั้มนี้ แอนบอกว่า “มันก็เหมือนเริ่มจากศูนย์ค่ะ มันเหนื่อย มันต้องทุ่มเทมากๆ เราก็เรียนไปด้วย ตอนนั้นเราเรียนอยู่ปี 1 เราต้องปรับตัวเยอะมาก แล้วต้องมาทำอัลบั้ม ไหนจะต้องไปโปรโมต เราก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเต็มที่ ทำไมมันยากจัง แต่เราก็พยายามสร้างฐานแฟนคลับขึ้นมาก่อนด้วยตัวเราเอง พอโปรโมตก็มีเพลงที่แฟนๆ ในภาคอีสานรู้จัก แต่การโปรโมตยังอยู่ในวงจำกัด ไม่ได้กว้างขวางมาก ส่วนมากหลักๆ จะเป็นพี่ๆ น้องๆ ที่รู้จักเรา เขาจะรู้ว่าเราออกอัลบั้ม เขาก็จะช่วยโปรโมต ช่วยแนะนำมากกว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากมายค่ะ”
เอาดีด้านหมอลำ
หลังจากออกอัลบั้มเพลงลูกทุ่งไปสักพัก สุดท้ายแอน อรดี ก็ต้องมีเหตุให้ต้องดรอปเรียน เพราะตัดสินใจไปเป็นหมอลำที่คณะหมอลำประถมบันเทิงศิลป์ โดยเล่าว่า “พอทำอัลบั้มนี้เสร็จก็ต้องดรอปเรียน เพราะแอนต้องมาหาเงินเพราะพ่อกับแม่เลิกกัน ต้องมาดูแลน้องชายค่ะ ช่วงนั้นก็มาเป็นหมอลำ คือพอดรอปแล้วก็คิดว่าเราจะทำอะไรแล้วมันได้เงิน เราเคยฝึกหัดหมอลำมาก่อน เราก็เลยตัดสินใจมาอยู่กับหมอลำเพื่อหาเงินจ่ายค่าเทอมให้น้องค่ะ
ช่วงแรกที่มาทำก็โดนสบประมาทเยอะค่ะ โดนทุกอย่างเลย เพราะว่าเราไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะเป็นหมอลำอยู่แล้วค่ะ คือคนที่เป็นหมอลำส่วนมากเขาต้องเป็นกว่านี้ ไม่ใช่แค่ร้องเพลงได้ แต่เรามาสายลูกทุ่ง เราไม่มีความรู้ตรงนั้น การที่เข้ามาตรงนี้ก็แค่อยากหาเงินเฉยๆ แต่ก็ขอขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสและมองเห็นว่าเราสามารถไปต่อได้ เราเลยพยายามทำให้คนที่ให้โอกาสเราเห็นว่ามันไม่ได้ยากนะ เขาก็ให้กำลังใจเรา

...
เรามีปัญหาครอบครัว แต่เราก็ต้องทำตามความฝันของตัวเอง ทุกอย่างที่แอนเจอมันเป็นความต้องการของพ่อกับแม่ แอนก็ทำ แต่จนวันนึงพอเขาแยกทาง เราก็ห่วงน้องว่าจะเป็นยังไง ก็หาทางที่จะทำยังไงให้ได้เงิน เรารู้ว่าเราเรียนตรงนี้ไม่ได้อยู่แล้ว เลยตัดสินใจกลับบ้านไปอยู่หมอลำ ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปยังไงบ้าง ก็ไม่ได้ง่ายค่ะ เริ่มจากตัวคนเดียว ไม่รู้อะไรเลย ต้องฝึกฝนร้องลำทุกอย่าง อดทนต่อหน้าที่ เพราะหมอลำมันยากค่ะ ถ้าใจไม่รักจริงๆ ก็อยู่ไม่ได้
เราไม่รู้ว่าเรามาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร อยู่เพื่อเงินก็ใช่ แต่ไม่ได้ชอบ เราไม่ได้อยากเป็นตรงนี้ แต่ด้วยความจำเป็น พอมาอยู่ก็รู้สึกว่าปรับตัวได้ ไม่ได้ยากเพราะแอนเป็นคนง่ายๆ ด้วยมั้ง เขามีกฎเราก็ต้องทำตามกฎ เราก็อยู่กับมันจนชิน จนรู้สึกว่าเออ เราก็รักเข้าไปแล้ว เราอยู่ได้ มันไม่ได้ยาก แต่มันมีหลายๆ อย่างที่ทำให้เราเรียนรู้กับอาชีพนี้เหมือนกัน เริ่มเข้าใจมาเรื่อยๆ เพราะแอนไม่มีไกด์ ไม่มีแนวทางอะไรกับชีวิตตัวเองเลย แม้กระทั่งการมาอยู่หมอลำ ทุกอย่างแอนลองผิดลองถูกกับตัวเองหมดค่ะ”
แต่จุดพลิกชีวิตของแอนคือการย้ายมาอยู่ที่คณะหมอลำศิลปินภูไทในปี 2555 และใช้ชื่อว่า “ฝ้าย ณิชนันทน์” เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังจากการรับบท "รจนา" ในลำเรื่องต่อกลอนเรื่อง "สังข์ทอง เงาะป่า" ซึ่งแอนเล่าถึงชีวิตช่วงนี้ให้ฟังว่า “คือช่วงนั้นเฟซบุ๊กเริ่มเข้ามา แล้วเราเป็นคนที่ชอบเซลฟี่ถ่ายรูปลงทุกวัน เราก็รู้สึกว่ามีคนกดไลค์ให้เราเยอะ คนกดติดตามเยอะขึ้น แล้วจะมีคนมาหาเราที่หน้าเวทีเยอะขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเพลงเนี่ยมันดังไปไกลแค่ไหน จนวันนึงมันมีหมอลำเน็ตไอดอลคนนึง ซึ่งพี่เขาเป็นหมอลำซิ่ง เขาเอามาคัฟเวอร์เพลง แล้วเขาดังมากๆ ในโซเชียลแคมในยุคนั้น ทำให้ดังมากๆ

เราก็เลยเพิ่งรู้ว่านี่เพลงเรามันไปไกลขนาดนี้เลยเหรอ พอเขาคัฟเวอร์ คนก็มาหาว่าต้นฉบับคือใคร คนก็เลยเริ่มรู้จัก ก็ดีใจค่ะ แต่ก็งงๆ ไม่ได้คิดอะไร เราทำเต็มที่แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องดังหรือได้เงิน แอนรู้แค่ว่าแอนชอบและอยากทำ จนมาถึงวันนึงที่หลายคนบอกว่าเธอไม่เหมือนเดิม เพลงนี้ดังนะ เราก็อ้าวเหรอ ทุกวันนี้ก็ยังงงอยู่ค่ะ แอนก็ทำเต็มที่ แต่ก็ระวังมากขึ้น เพราะเราไม่รู้ว่าใครจะเข้ามาแบบไหน แต่ก่อนไม่ได้น่ากลัวเหมือนทุกวันนี้ค่ะ”
เมื่อถามว่าพอเริ่มมีชื่อเสียงทำให้มีคนจ้างงานเพิ่มขึ้นหรือไม่ แอนบอกว่า “ระบบของหมอลำเขามีงานทุกวัน ภายใน 1 ปี เราจะว่างแค่ 3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงหน้าฝน นอกนั้นเราจะมีงาน ฉะนั้นแต่ก่อนไม่ได้มีงานอีเวนต์หรืองานนอก เราไปทำงานทุกวันอยู่แล้ว ส่วนอีเวนต์หลังๆ เขาจะยอมรับหมอลำเข้าไปในผับ เอาไปทำการตลาดร้านนั้นร้านนี้ ซึ่งแต่ก่อนเราไปแค่หมอลำงานเดียว ต้องบอกว่ากระแสมันมาจากแฟนคลับและคนไปเที่ยวผับ วัยรุ่นทุกวันนี้เข้าถึงหมอลำกันง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาไปผับเขาก็จะขอหมอลำค่ะ”
เหตุผลที่ย้ายสังกัด-เปลี่ยนชื่อบ่อย
หลังจากที่แอนเริ่มมีชื่อเสียงในวงการหมอลำ แอนก็ได้กลับมาร่วมงานกับคณะประถมบันเทิงศิลป์อีกครั้งในปี 2558 พร้อมทั้งกลับมาใช้ชื่อเป็น “แอน อรณี” ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “แอน อรดี” จนถึงปัจจุบัน ก่อนจะย้ายมาอยู่ในสังกัดคณะหมอลำนามวิหคในปี 2562 แต่อยู่ได้ไม่นานก็เกิดปัญหา ทำให้เธอตัดสินใจลาออก ซึ่งในช่วงนั้นมีคณะหมอลำทาบทามเธอมาร่วมงานหลายคณะ แต่สุดท้ายแอนตัดสินใจย้ายมาร่วมงานกับคณะหมอลำสาวน้อยเพชรบ้านแพง คณะหมอลำเพลินชื่อดังของ จ.มหาสารคาม
ซึ่งแอนเล่าถึงชีวิตของเธอถึงการตัดสินใจย้ายสังกัดว่า “อย่างที่แอนบอกไปว่าแอนไม่ได้มีคนแนะนำแอน มันไม่ได้มีไกด์นำทาง เพราะฉะนั้นเราลองผิดลองถูกไปหมด ทำเองหมดเลย เราไม่รู้ว่าตรงนี้ดีหรือไม่ดี มันเหมาะกับเราหรือเปล่า แต่เราจะมารู้ทีหลัง พอมันไม่โอเค แอนรู้สึกว่าเราก็สามารถเลือกได้ค่ะ เราเลือกสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง แต่เข้าใจว่าการเปลี่ยนหรือย้ายบ่อยๆ มันก็ไม่ดีค่ะ ทำให้คนอื่นมองว่าเราเป็นคนไม่มีหลักแหล่ง เป็นคนไม่โอเคหรือเปล่า ทำไมเราถึงย้ายไปโน่นไปนี่ นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมชีวิตตัวเองเป็นแบบนี้”

เมื่อถามถึงเหตุผลที่เปลี่ยนชื่อที่ใช้ในวงการอยู่บ่อยๆ ทั้งชื่อ แอน ชญาดา ฝ้าย ณิชนันทน์, แอน อรณี ก่อนจะเป็น แอน อรดี ในปัจจุบัน แอนเผยว่า “เหตุผลคือชีวิตในแต่ละช่วงมันต้องทำทุกอย่างเพื่อชีวิตดีขึ้น ผู้ใหญ่แนะนำอะไรที่บอกว่าดีเราก็เปลี่ยนค่ะ อย่างตอนที่ใช้ชื่อ “ฝ้าย ณิชนันทน์” ชื่อ “ณิชนันทน์” มาจากชื่อจริงๆ ของเรานี่แหละ ช่วงนั้นเราติดสัญญาลิขสิทธิ์ของค่ายเพลงค่ายนึงค่ะ ส่วนชื่อ “แอน อรณี” กับ “แอน อรดี” ก็เปลี่ยนตามความเชื่อ เขาจะรู้ว่าชีวิตของแอนเป็นยังไง ไหนๆ มาถึงตรงนี้แล้วก็อยากให้มันดีแล้วกัน ก็เปลี่ยนจากอรณีเป็นอรดี แต่ชื่อจริงๆ ที่พ่อแม่ตั้งให้คือ “อรณี” ค่ะ”
ส่วนการตัดสินใจเลือกมาอยู่กับคณะสาวน้อยเพชรบ้านแพงจนถึงปัจจุบัน แอนให้เหตุผลว่า “ที่นี่เขาให้โอกาสค่ะ มองเห็นเรา เป็นคนแรกด้วยที่คุยกับแอนในช่วงที่มีปัญหาค่ะ แล้วที่นี่ตำแหน่งว่างพอดี ซึ่งนางเอกไม่มีเพราะนางเอกเขาช่วงนั้นเขาตั้งท้อง เราก็ว่าง เราก็เลยเลือกมาตรงนี้ ก็อยู่มาจะ 2 ปีแล้ว พอมาร่วมงานก็ดีค่ะ ก็จะเป็นอีกกลุ่มนึงอีกแนวนึง เพราะตรงนี้จะเป็นลำเพลิน ปกติที่เราอยู่จะเป็นลำเรื่องต่อกลอน ก็เป็นอีกแนวนึง
มันก็แล้วแต่คณะ แต่ละคณะก็ไม่เหมือนกัน เขามีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ต่างกันอยู่แล้ว ถามว่าต้องปรับตัวเยอะมั้ย ก็เปลี่ยนทุกอย่างค่ะ เปลี่ยนการแต่งตัว เปลี่ยนทำนอง เปลี่ยนกลุ่มแฟนคลับ แต่โดยรวมก็แฮปปี้ หนูก็โตขึ้นด้วย ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เหมือนหลายๆ อย่างที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์ เป็นครูของเรา ให้เรามีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้น มาอยู่ที่นี่เราก็เริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นค่ะ”
ผลงานล่าสุด
เมื่อถามถึงผลงานในเวลานี้ แอนเล่าถึงการทำงานกับ เบลล์ นิภาดา ลูกทุ่งสาวรุ่นน้องจากค่ายแกรมมี่ โกลด์ ซึ่งก็คือเพลง “โอ้ยกะละวาคิดฮอด” ไว้ว่า “จริงๆ น่าจะเป็นทางฝั่งผู้ใหญ่ของน้องเบลล์ที่ติดต่อเข้ามาเพราะว่าอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแรกของน้องเบลล์ เขาก็อยากจะหาศิลปินมาฟีเจอริ่งด้วย แอนก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ เป็นแนวเพลงประมาณว่าอินดี้ผสมหมอลำค่ะ ของเราจะรับช่วงหมอลำไป ส่วนเนื้อหาเพลงเป็นเพลงสนุกๆ ที่พูดถึงคนรัก คิดถึงประมาณนี้ค่ะ
เป็นครั้งแรกที่มาร่วมงานกับน้องเบลล์ค่ะ ก็ผ่านไปได้ด้วยดี น้องก็น่ารักมากๆ สนุกค่ะ ถือเป็นครั้งแรกด้วยที่ได้ใกล้ชิดกับศิลปินมีชื่อเสียง และเป็นครั้งแรกที่ร่วมงานกับแกรมมี่ โกลด์ ด้วย โห...ตื่นเต้นมากค่ะ ทีแรกก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรา เพราะมีหลายๆ คนที่น่าสนใจ เลยคิดว่าไม่น่าจะใช่ตัวเอง แต่เราก็คอนเฟิร์มไป ทางน้องเบลล์ก็ส่งเพลงมาให้เราฝึกร้อง และนัดวันเข้ามาบันทึกเสียง ก็ตื่นเต้น
และก็เพิ่งมีงานเปิดตัวอัลบั้มของน้องไป วันนั้นก็ไปร่วมยินดีกับน้องเบลล์ด้วย จริงๆ มีแพลนตั้งแต่ก่อนโควิดแล้ว แต่ทีนี้มาติดในช่วงนี้พอดี ก็เลยแถลงข่าวแบบออนไลน์ แอนได้เจอน้องบ้างเป็นบางครั้ง เพราะน้องจะมาไลฟ์สดของทางหมอลำสาวน้อยเพชรบ้านแพงด้วย พอได้มาร่วมงานกันก็โอเคค่ะ ผลตอบรับดีค่ะ แฟนคลับน้องเบลล์ก็เยอะค่ะ พอได้ฝากเนื้อฝากตัวเราไปด้วยค่ะ แฟนๆ บอกว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ไม่ค่อยได้เห็นอะไรแบบนี้บ่อยๆ ไม่คิดว่าเราจะได้ร่วมงานกัน เขาก็ตื่นเต้นเหมือนกันค่ะ”

แอนเล่าว่านอกจากนี้ก็มีโปรเจกต์อื่นๆ ติดต่อเข้ามาบ้าง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คอนเฟิร์มมากมายเพราะอยู่ในช่วงโควิด อีกอย่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ มีไลฟ์สดคอนเสิร์ตอยู่เรื่อยๆ ยังไม่สามารถรับในส่วนอื่นได้ โดยเป็นไลฟ์สดคอนเสิร์ตแบบกลุ่มปิดที่หมอลำสามารถทำได้ในตอนนี้ เพราะไม่สามารถไปแสดงสดได้ ซึ่งตอนนี้มีเยอะมาก อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง แล้วแต่ว่าใครจะเป็นเจ้าบ้าน ใครที่พอมีทุน มีสถานที่ มีแฟนคลับ ก็จะเป็นเจ้าบ้านทำไลฟ์สดกลุ่มปิด และให้แฟนคลับซื้อบัตรเข้าไปชมพอให้หายคิดถึง
เมื่อถามว่า 1 เดือนมีคอนเสิร์ตออนไลน์มากน้อยแค่ไหน แอนตอบว่า “เฉพาะเดือน ก.ย. ก็ 10 กว่างาน เยอะค่ะ ถึงบอกว่าแทบไม่ได้พักกันเลย จริงๆ ไลฟ์แต่ละครั้งต้องมีเวลาซ้อม มีเวลาเตรียมตัว เผลอๆ ก็คือเดินสายทำงานทั้งเดือนค่ะ แต่ส่วนมากจะอยู่ในพื้นที่ที่สามารถจัดคอนเสิร์ตได้นะคะ คอนเสิร์ตก็จะอยู่ในอาคาร สตูดิโอ และจะมีการป้องกัน มีการตรวจทุกครั้งอยู่แล้ว คือมันก็เป็นทางเดียวที่ทำให้เราทำงานตรงนี้ได้ค่ะ”
ความรักจากแฟนๆ-สิ่งที่อยากทำ
เมื่อถามถึงความรักของแฟนๆ ที่ตั้งใจทำเซอร์ไพรส์วันเกิด แอนบอกว่าจริงๆ ปีนี้ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็เลยตั้งใจว่าจะไปทำบุญและมีไลฟ์สดให้ชมฟรีเพื่อเป็นการขอบคุณแฟนคลับ เหมือนเป็นการคืนกำไร แฟนคลับก็น่ารัก ถึงจะไม่ได้เจอกัน แต่แฟนๆ ก็ส่งของขวัญ เค้ก มาลัยมาให้ ส่วนที่มีรถแห่ ขึ้นบิลบอร์ดใน จ.ขอนแก่น และอีกหลายจังหวัด แฟนคลับก็ส่งรูปมาให้ดู ก็ตกใจว่ามีด้วยเหรอ ไม่รู้เรื่องเลย ไม่คิดว่าจะมีขนาดนี้
“ก็เซอร์ไพรส์มาก ทีแรกก็ตกใจค่ะ ไปถามก่อนว่าใครเป็นคนทำ จริงๆ เป็นสิ่งที่เขาอยากให้กำลังใจเรา เราจะพูดกันอยู่ตลอด เขารู้ว่าเราเหนื่อย มีการเตรียมตัวมากน้อยแค่ไหนในแต่ละงาน ซึ่งจริงๆ ก็มีกลุ่มคุยกันอยู่แล้ว เขารู้อยู่แล้วว่าเราไปงานไหนบ้าง ก็คิดว่าเขาเป็นห่วงเรา อยากให้เรามีกำลังใจ เขาบอกว่ามันเป็นวันสำคัญวันนึงที่มีปีละครั้ง เขาก็อยากให้กำลังใจเรา แอนก็ขอขอบคุณค่ะที่คอยอยู่ข้างๆ ซัพพอร์ต สนับสนุนในทุกอย่างที่แอนอยากจะทำ สนับสนุนผลงานของเราค่ะ”
ส่วนฉายา “หมอลำสาวเน็ตไอดอล” ที่แฟนๆ ตั้งให้ แอนบอกว่า “ก็ขอบคุณค่ะ (หัวเราะ) ดีใจที่หลายๆ คนให้ฉายานี้ แต่ว่าสำหรับแอน แอนคิดว่าแอนไม่ได้ดีมากมาย แต่เราก็จะเป็นตัวของเรา แล้วพยายามทำให้ทุกคนยอมรับในการกระทำของเรามากกว่า อยากให้เขาเข้าใจในสิ่งที่ทุกคนเห็นค่ะ ตอนแรกที่รู้ว่ามีฉายานี้ก็เซอร์ไพรส์ค่ะ”

และอีกหนึ่งอย่างที่แอนอยากทำ คือการกลับไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยให้จบ ซึ่งก่อนหน้านี้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเธอเรียนจบแล้ว และหมอลำสาวขอชี้แจงถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “ตอนนี้ยังเรียนไม่จบนะคะ ยังดรอปไว้อยู่ ก็เห็นข่าวอยู่ แต่ว่าอันนั้นน่าจะสรุปกันเองรึเปล่า (หัวเราะ) ก็อยากกลับไปเรียนให้จบด้วย แต่ก็ต้องดูสถานการณ์ก่อน เพราะพอเราดรอปมาก็เริ่มมีชื่อเสียงกับการเป็นนางเอกหมอลำแล้ว ซึ่งหน้าที่ตรงนี้มันก็หนัก ถ้าเราแบ่งเวลามันค่อนข้างยากหน่อย
เพราะการแสดงหมอลำเราเดินทางทุกวัน ข้ามจังหวัดวันละ 4-5 ชม. แอนต้องนอนให้เต็มที่เพราะแอนต้องแสดงจนถึงสว่าง มันก็เลยยากกับการคิดเรื่องเรียน ถ้าวันไหนมีโอกาส แอนจะกลับไปเรียนแน่นอนค่ะ ส่วนจะเรียนที่เดิมรึเปล่าไม่ทราบเหมือนกัน ต้องรอดูอีกที แต่น่าจะโอนหน่วยกิตกันได้ จริงๆ ก็มีเป้าหมายหลายๆ อย่างที่ตั้งไว้ แต่มาติดปัญหาเรื่องโควิด รายได้ก็ลดลงอยู่แล้ว ลดเยอะมากค่ะ เพราะรายได้หลักคือการแสดงหมอลำ คือถ้าไม่มีโควิดก็มีงานทุกวันค่ะ บางวันก็ 2 งาน ถ้าหมดโควิดก็คงมีงานทุกวันอยู่แล้วค่ะ แต่ตอนนี้ก็พออยู่ได้ค่ะ”
ปิดท้ายการสนทนา แอนฝากถึงแฟนคลับของเธอไว้ว่า “ขอบคุณทุกคนที่คอยซัพพอร์ต ติดตามพัฒนาการมาตลอด จนมาถึงช่วงนี้ที่เหมือนสำเร็จไปอีกขั้นนึงแล้ว เป็นเหมือนรางวัลของทุกคนที่คอยผลักดันสนับสนุนแอนด้วยค่ะ สัญญาว่าจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ให้สมกับที่ทุกคนติดตามและชื่นชอบเราค่ะ”.
ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : อินสตาแกรม @ann_oradee69, เฟซบุ๊ก Ann Oradee, แอน อรดี Fanpage
กราฟิก : Sathit Chuephanngam