- เริ่มต้นทำเพลงร็อก เคยเป็นมือกีตาร์ เซ็นสัญญาแกรมมี่ แต่สุดท้ายต้องแยกย้าย
- ค้นพบทางที่ใช่ ทำเพลง EDM กลายเป็นโปรดิวเซอร์มือทอง มิกซ์เพลงจนกลายเป็นไวรัล
- เคยลงทุนไปทำเพลงในต่างประเทศ แต่สุดท้ายฝันสลายเพราะโควิด
เรียกว่าเป็นโปรดิวเซอร์มือทองอีกคนของวงการบันเทิง สำหรับ เอ้ สัณหภาส บุนนาค ศิลปิน ดีเจ โปรดิวเซอร์วง Boom Boom Cash ค่าย High Cloud Entertainment เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่บุกเบิกวงการเพลง EDM มาตั้งแต่ต้น โดยใช้ชื่อในวงการว่า BOTCASH
โด่งดังจากการมิกซ์เสียงของคนดัง อาทิ ลิซ่า Blackpink, หนุ่ม กรรชัย, น้าค่อม ชวนชื่น ฯลฯ ซึ่งก่อนหน้านี้หนุ่มคนนี้เคยเป็นมือกีตาร์วงร็อก SIX C.E จากค่ายจีนี่ เรคคอร์ด สุดท้ายก็มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาเข้าสู่วงการเพลง EDM
บันเทิงไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสพูดคุยกับ เอ้ BOTCASH ถึงที่มาที่ไปตั้งแต่ในช่วงแรกที่เป็นมือกีตาร์วงร็อก ก่อนจะค้นพบทางที่ใช่ คือการทำเพลง EDM จนกระทั่งมีชื่อเสียง และอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้เอ้เสียน้ำตา กับการเดินตามความฝันไปทำเพลงที่อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ จนได้ปล่อยเพลงแล้ว แต่สุดท้ายทุกอย่างพังเพราะโควิด
...
เริ่มต้นจากเพลงร็อก
ในปัจจุบันทุกคนรู้จักเอ้ในฐานะโปรดิวเซอร์มือทอง มิกซ์เพลงจนกลายเป็นกระแสไวรัล แต่เมื่อถามว่าในอดีตสนใจเพลงแดนซ์มาตั้งแต่ต้นหรือเปล่า เอ้บอกว่า “ไม่ครับ ตอนแรกเริ่มทำเพลงร็อกก่อน ทำวงร็อกมาประมาณ 7 ปีได้ครับ”
ก่อนจะเล่าถึงช่วงแรกที่เริ่มฝึกเล่นดนตรีว่า ตอนแรกเล่นเพลง แกะเพลงของคนอื่น ทำได้สักพักก็รู้สึกว่าอยากมีเพลงของตัวเอง ก็เลยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่ ม.2 ตอนนั้นมีรุ่นพี่ที่อยู่ ม.6 กำลังจะเรียนจบ เจอกันตอนที่เพิ่งหัดเล่นดนตรีสักพัก แล้วเขาขาดมือกีตาร์พอดี และเอ้เป็นเพื่อนกับน้องของรุ่นพี่ซึ่งเป็นมือเบส เขาก็เลยชวนมาทำวง
ส่วนศิลปินที่ชอบตอนเด็กคือ X-Japan รวมถึงเอลวิส เพรสลีย์ ที่ชอบเอลวิลคือได้มาจากคุณพ่อซึ่งชอบร้องเพลงของเอลวิสมาก เอ้ยอมรับว่าคุณพ่อเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ชื่นชอบในการทำเพลง เพราะคุณพ่อเล่นดนตรีให้ฟังทุกวัน คุณพ่อเคยเป็นนักดนตรีตามร้านและเคยไปเล่นในประเทศเพื่อนบ้าน พอมีครอบครัวก็เริ่มลดลง
เอ้เล่าต่อว่าช่วงแรกที่ทำเพลงจริงจังถึงขั้นไปหางานประกวดต่างๆ แต่งเพลงเอง ทำ EP อัลบั้ม 4 เพลง รวมเงินกันไปอัดเพลงที่ห้องอัด แล้วไปขายตามงานอันเดอร์กราวนด์ มีงานอะไรก็ไปออดิชั่นหมด ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง บางงานก็ให้เล่นวงแรกในตอนที่ยังไม่ค่อยมีคนเข้ามา เรียกว่าเล่นเป็นวงเปิดประตู แค่นั้นก็ดีใจมากแล้ว
ชีวิตในรั้วแกรมมี่
แต่หลังจากนั้นวงของเอ้ก็ได้รับโอกาสจากค่ายจีนี่ เรคคอร์ด ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เมื่อถามว่าไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง เอ้เล่าว่าตอนนั้นวง Retrospect และ Sweet Mullet เพิ่งปล่อยเพลง และเป็นที่ฮือฮามากเพราะวงร็อกอันเดอร์กราวนด์ขึ้นมาอยู่ในแกรมมี่ครั้งแรก
“เราก็อยากมาทำงานกับพี่ๆ เขา ตอนนั้นวงการอันเดอร์กราวนด์ไม่ได้ใหญ่มาก ถามแป๊บเดียวก็เลยรู้ว่าพี่โน่คือโปรดิวเซอร์ของ Sweet Mullet และ Retrospect เอ้ก็เลยหาทางเจอพี่โน่ รู้สึกจะใช้ Hi5 ทักไปหาเขา (หัวเราะ) แล้วมีโอกาสพูดคุยกับพี่เต๋า Sweet Mullet แล้วเขานัดเอ้ให้ไปเจอพี่โน่ที่งานอันเดอร์กราวนด์ พอไปถึงก็แนะนำตัวและเอา EP อัลบั้มไปให้ สุดท้ายพี่โน่ก็โทรกลับมาแล้วบอกว่าสนใจ เข้ามาคุยที่แกรมมี่กัน”
หลังจากที่มาทำงานในแกรมมี่ เอ้บอกว่ากว่าจะได้อกซิงเกิ้ลในนามวง SIX C.E หรือ Six Cylinder Engine ก็นาน เพราะตอนนั้นยังเด็ก และเป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานแบบมืออาชีพจริงๆ ตอนเซ็นสัญญาเข้าแกรมมี่อายุ 18 ปี ใช้เวลาเกือบปีกว่าจะได้ 1 ซิงเกิล ซึ่งจริงๆ ทำมา 7-8 เพลง แต่ระบบของแกรมมี่ในตอนนั้นจะมีคนช่วยคัดเลือกเพลง เราต้องปรับตัวให้เพลงสามารถทำงานได้แบบที่ค่ายอยากให้ทำ ในขณะเดียวกันค่ายก็ปรับเข้าหาเราเหมือนกัน
...
ซึ่งตรงนั้นเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้รู้วิธีการทำงานของมืออาชีพ ทำให้ต้องดีดตัวเองขึ้นมาเพื่อให้งานสำเร็จ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก อีกทั้งประทับใจความเฮี้ยบของพี่ๆ ในค่ายเวลาที่ศิลปินในค่ายเกเร ทำให้เรามีระเบียบวินัยในการทำงาน รู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด รู้ว่าควรทำตัวแบบไหน เขาสอนหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามาก
แต่สุดท้ายที่แยกย้ายกันไป เอ้บอกว่าเป็นเพราะหาจุดที่จะทำแล้วสำเร็จไม่เจอ แต่ไม่ขอลงรายละเอียดว่าเป็นเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งเอ้ไม่ได้เป็นคนเลือก แต่ทางแกรมมี่เป็นคนเลือกให้ออก ตอนนั้นเซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัด 3 ปี แต่ได้อยู่ 2 ปี พอแยกย้ายไปก็ยังมีเวลา 1 ปีที่จะค้นหาว่าสุดท้ายเรียนจบไปจะยังทำเพลงต่อหรือไม่ หรือจะทำอย่างอื่น ซึ่งในตอนนั้นเรียนดนตรีที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล เลยไปด้วยกันได้
ในช่วงที่เริ่มค้นหาตัวเองอีกครั้ง เอ้ได้ไปลองทำอย่างอื่น ทั้งลองเป็นตากล้องไปฝึกถ่ายรูป ได้เงินได้งาน เป็นอาชีพได้ เล่นดนตรีมา 7 ปีได้เงินไม่เท่ากับไปถ่ายรูปแค่ 4-5 งาน แต่ถ้าให้ทำซ้ำไป 10 ปี ตอบได้ทันทีว่าไม่ได้ ก็เลยหยุด และลองไปทำเป็นก๊อบปี้ไรเตอร์ แต่พอทำงานที่ได้เงินแล้วไม่มีความสุข สุดท้ายก็กลับมานั่งคิดว่าถ้าให้ทำได้อย่างเดียวแล้วต้องตายในวันพรุ่งนี้จะทำอะไร ก็มีแต่เรื่องทำเพลงอย่างเดียว สุดท้ายเลยจบทุกอย่างแล้วกลับมาทางเดิม
เมื่อได้รู้จักเพลง EDM
เอ้บอกว่าจากนั้นก็มุ่งหาว่าดนตรีอะไรที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้เรา เพราะเพลงร็อกไม่ใช่แรงบันดาลใจอีกต่อไป อยู่กับเพลงร็อกมา 7 ปี ไม่สามารถสร้างสิ่งใหม่ให้ตัวเองชอบและให้คนส่วนมากชอบ จนกระทั่งไปเจอกับเพลง EDM โดยบังเอิญ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ไปไหนจากเขาอีกเลย
เมื่อถามว่าเสน่ห์ของ EDM คืออะไร เอ้เล่าให้ฟังว่า “มีอยู่วันนึงเอ้ไปเที่ยวคลับที่ทองหล่อแล้วมันใหญ่มาก มีคนประมาณพันคน เอ้ไปเที่ยวหลายครั้งแต่ไม่เคยสนใจดีเจที่เปิดเพลงอยู่เลย แต่วันนั้นไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ผมไม่ดื่มเลยแม้แต่อึกเดียว อาจเป็นเพราะเพลงที่เปิดมันโดนมั้งครับ ผมก็เฮ้ย เพลงมันดีว่ะ ตั้งใจฟังเพลงแล้วสังเกตเห็นว่าดีเจคนนี้ไม่พูดสักคำ เปิดเพลงอย่างเดียว
...
แต่คนเป็นพันคนกระโดดพร้อมกัน ชูมือพร้อมกัน เอามือลงพร้อมกัน โบกมือพร้อมกัน ร้องและหยุดร้องพร้อมกันได้ยังไง 2-3 ชม. ผมก็รู้สึกว่าเฮ้ย คุณทำได้ยังไง ไม่พูดสักคำแต่คอนโทรลคนเป็นพันได้ ดีเจเปิดเพลง ชม.นึง ผมไม่รู้จักสักเพลง แต่ผมสนุกและเต้นตามได้ทุกเพลง เพลงแนวนี้มีพลังอะไรถึงสั่งคนได้ขนาดนี้ สำหรับเอ้คือสิ่งที่ทำให้ประทับใจพลัง EDM ครับ”
เอ้เล่าต่อว่าพอกลับบ้านก็กลับมานั่งศึกษาต่อว่าเพลงที่ฟังมาทั้งหมดคืออะไร ศิลปินที่ทำเพลงแนวนี้มีใครบ้าง ก็ศึกษาลึกลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะทำเพลงแนวนี้ แต่พอเริ่มฝึกทำเพลง EDM จริงจัง เอ้ยอมรับว่ายากมาก ช่วงแรกก็มั่ว ทุกวันนี้เวลาจะทำเสียงสแนร์ 1 อันในเพลง เอ้ใช้เวลา 5 วินาทีในการหยิบเสียงนี้ออกมา ซึ่งเป็นเสียงเดียวกับที่ระดับโลกใช้กัน
แต่วันแรกที่เริ่มทำเพลง พอจะใช้สแนร์เสียงนี้ นอนอยู่หน้าห้องอัดเปิดฟังเสียงสแนร์เป็นร้อยๆ ใบ เพื่อจะได้เสียงที่ต้องการ ผ่านไปนับ 10 วันถึงหาเจอ ซึ่งเป็นเสียงสแนร์ที่นำมาใช้ในเพลง “Blur Blur” ซิงเกิลแรกของวง Boom Boom Cash “เป็นเสียงสแนร์ที่ผมจะจำไปจนวันตาย เพราะผมใช้เวลาหาเป็นเดือน (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นมันไม่มีใครสอน ไม่มีขายในเว็บไซต์ สมัยก่อนผมจะจ่ายเงินหมื่นนึงยังไม่มีใครขายให้เลย มันต้องหาเอง”
...
ส่วนการรวมตัวในนามวง Boom Boom Cash เอ้บอกว่า “พี่แขก (ชาลาลีคาน อาลีฟ ซันคาน) กับพี่โอเล่ (จิโรจน์ เอี่ยวจินดา) เคยอยู่วง SIX C.E กับเอ้ในรุ่นสุดท้าย เขาเป็นมือเบสกับมือกลองในวง พอเอ้ทำเพลงให้ฟังแล้วเขาชอบ เขาก็เลยตามมาด้วย เลยอยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ คือพี่แขกกับพี่โอเล่มีเอกลักษณ์บางอย่างที่เอ้มองและรู้สึกว่าว่าคือสีสันในการทำเกี่ยวกับ EDM พี่แขกเขามีเอกลักษณ์ในการสร้างความสนุกให้คนได้ง่าย ทำให้เพลงมีสีสัน
พี่โอเล่คือมือกลองที่ถ้าเป็นนักดนตรีด้วยกันเขาจะรู้ว่าการตีกลองให้ตรงกับเมโทรนอม (เครื่องเคาะจังหวะ) แล้วความยากกว่าปกติคือ EDM คือมีเสียงกลองที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้ว เอ้ต้องใส่ลงไปในเพลง ความยากคือมือกลองต้องตีตามให้ตรงกับกลองที่เอ้เซตมาแล้วจากบ้าน ต้องตีให้ตรงจังหวะ ไม่งั้นมันจะคร่อมกัน
ซึ่งพี่โอเล่จะได้รับคำชมเสมอว่าตีกลองเป๊ะมากๆ ในขณะเดียวกันต้องครีเอตสิ่งใหม่ที่ฉีกออกจาก EDM เพราะมีความไลฟ์เข้ามา เขาสามารถตีตามในสิ่งที่ EDM ต้องทำได้ และสามารถครีเอตสิ่งใหม่มาเสริม เพลง EDM ที่เอ้ทำกับบูมบูมแคชจึงมีสีสันออกมาจากเพลง EDM ปกติ เป็นลายเซ็นของบูมบูมแคชครับ”
ความสำเร็จและโอกาสที่ดี
เมื่อถามถึงตอนไปประกวดเวที Chang Music Contest 2012 เอ้เล่าว่าตอนนั้นอ่านกติกาที่บอกว่าถ้าเข้ารอบ 5 คนสุดท้ายจะได้ออกรายการทีวี ก็คิดว่าถ้าได้ออกทีวีก็คงดี ก็เลยรู้สึกว่าไม่ชนะก็ได้ ขอแค่เข้ารอบ 5 วงสุดท้ายเพื่อจะออกทีวี ก็คิดมาตลอดว่าไม่ชนะชัวร์ ด้วยความที่มาแข่งเพื่อความสนุก ขึ้นไปเล่นเหมือนอยู่ในห้องซ้อม ไม่ได้กะจะชนะแต่กลับชนะ “ตอนนั้นป๋าเต็ด (ยุทธนา บุญอ้อม) ประทับใจมาก บอกว่าผมเพิ่งรู้จักวงคุณวันนี้ ถ้าคุณแพ้เชิญไปขึ้นบิ๊กเมาน์เท่นนะ ถ้าชนะก็เชิญเหมือนกัน แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว”
ซึ่งหลังจากชนะการประกวด ทางเวทีประกวดชอบเพลงที่ประกวด เลยถามว่าจะทำเอ็มวีมั้ย เขาจะสนับสนุนให้ มันเลยเกิดเป็นเพลง “One Life” หลังจากทำเพลงมาเรื่อยๆ ก็มีกระแสดีขึ้นเรื่อยๆ วัดจากกระแสตอบรับจากงานโชว์ที่มีเยอะขึ้นเรื่อยๆ จำได้ว่ามีเยอะที่สุดคือมี 150 โชว์ต่อปี ไปโชว์ทั่วประเทศ ไปสิงคโปร์ ลาว พม่า ซึ่งตัวเองไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ได้ แต่คิดว่าสักวันนึงต้องทำให้ได้ ไม่รู้ว่าวันที่ได้สิ่งที่ต้องการจริงๆ จะมาในรูปแบบไหน แต่มันมาถึงในแบบไหนก็ยินดีรับไว้ มันคือหนึ่งในเป้าหมายที่จะวิ่งไปอยู่แล้ว
เมื่อถามถึงงานเพลงใหม่ เอ้เผยว่า Boom Boom Cash ทำซิงเกิลไป 4 เพลง ส่วนเพลงของ Botcash เสร็จไปครึ่งอัลบั้ม พร้อมจะปล่อยเพลงแล้ว แต่สถานการณ์โควิดยังถ่ายมิวสิกวิดีโอไม่ได้เพราะด้วยข้อจำกัดในการทำงาน และไม่อยากลดสเกลลงเพื่อให้ทำงานได้ในตอนนี้ เพราะวางสเกลงานค่อนข้างใหญ่ในการเปิดตัวซิงเกิลใหม่กับค่าย High Cloud Entertainment ต้นสังกัดในปัจจุบัน จึงต้องรอก่อน เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นถึงจะถ่ายเอ็มวีและปล่อยเพลง
ในส่วนการได้รับโอกาสร่วมงานกับศิลปินดังๆ หลายคน อาทิ เบิร์ด ธงไชย, ไทยเทเนี่ยม, โจอี้ บอย, กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่, ฯลฯ เอ้บอกว่ารู้สึกดีใจ ขอบคุณที่พี่ๆ ให้โอกาส จริงๆ เขาเลือกใครมาทำงานด้วยก็ได้ แต่การที่เขาให้โอกาสเราร่วมงาน มันคือสิ่งที่เราต้องขอบคุณและซาบซึ้งมากๆ เราต้องรับมันไว้แล้วทำให้เต็มที่ที่สุด
“ความภูมิใจของเอ้ที่จำได้แม่นๆ เลยคือวันแรกที่เอ้ตัดสินใจบอกว่าตัวเองเป็นโปรดิวเซอร์ ซึ่งออกมาจากปากพี่โจอี้ บอย วันที่เอ้ทำเพลง “เมียไม่มี” เสร็จ พี่โจ้บอกว่าจะลงในเครดิตว่าเอ้เป็นโปรดิวเซอร์เพลงนี้ วันนั้นถึงรู้ตัวว่าเป็นโปรดิวเซอร์แล้ว เหมือนพี่โจ้อวยยศให้ (หัวเราะ) เราทำเพลงก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งพอจะเป็นโปรดิวเซอร์ จนกระทั่งพี่โจ้พูด ผมก็เพิ่งรู้วันนั้นแหละครับ”
มิกซ์เสียงคนดังจนกลายเป็นไวรัล
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เอ้กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในโซเชียล คือการมิกซ์เสียงคนดังเป็นเพลงจนกลายเป็นไวรัล ซึ่งเอ้บอกว่าไม่ได้คาดคิดว่าจะเป็นคนที่รีมิกซ์เสียงที่ใครท้ามาก็ได้ เพียงแค่วิ่งไปตามทางที่วางไว้ว่าทำยังไงก็ได้ให้คนรู้จักเรา รู้ว่าเราเป็นคนทำเพลงนี้ และเป็นเพลงที่คนรู้จักเยอะ นั่นคือเป้าหมาย โอกาสไหนเข้ามาก็คว้าไว้
เอ้เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ว่า “จริงๆ แล้วมันมาจากการหาอะไรไปเรื่อยๆ ถ้าย้อนดูเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เอ้อัปคลิปแรกลงยูทูบเป็นคลิปที่เล่น Luanchpad 2 มือ วางบนโต๊ะ แล้วกดกล้องลงที่มือให้เห็นชัดว่าเอ้หาเสียงอะไรก็ตามแต่มาใส่ในปุ่มพวกนี้ แล้วพยายามเล่นให้เป็นเพลง พอเอ้เริ่มเล่นสักพัก ก็รู้สึกว่าจริงๆ ปุ่มนี้เอาเสียงอะไรใส่ลงไปก็เล่นเป็นเพลงได้ เพราะมันแค่ใช้แพตเทิร์นในการเล่นจากมือของเราให้เป็นจังหวะ
ทีนี้เลยลองหาเสียงอื่นมาทำเป็นเพลงดู ถ้าจำไม่ผิดเอ้เอาเสียงโจ๊กเกอร์มาทำ เราก็ลองหาเสียงหัวเราะจากโจ๊กเกอร์ ซึ่งคนทั้งโลกรู้จักอยู่แล้ว ถ้าเอามาทำเป็นเพลงได้น่าจะมีฝรั่งมาฟังเพลงของเราบ้าง เลยหาส่วนประกอบบางอย่างที่มาลิงก์เพลงของเราแล้วชาวต่างชาติเข้ามาฟังได้ ก็เลยเป็นครั้งแรกที่เอ้ลองเอาเสียงอื่นมาทำเพลง พอเราทำเสร็จก็ช่วยดึงคนเข้ามาได้จริงๆ และเห็นชาวต่างชาติคอมเมนต์เป็นร้อย เลยรู้สึกว่ามาทางนี้น่าจะสนุก
ตอนนั้นผมเอาเสียงพี่บี น้ำทิพย์ จากรายการเดอะเฟซฯ ปี 2015 มาทำด้วย เลยเกิดเป็นเพลง “ขอแรงกว่านี้” ขึ้นมา ก็ทำเล่นๆ ลงยูทูบ แต่ตอนนั้นเอ้ทัวร์คอนเสิร์ต ไม่มีเวลาทำคอนเทนต์ ปีนึงเลยมีแค่สองคลิป บางปีไม่มีเลย ตอนนั้นเอ้ไม่ได้มองว่าตรงนั้นคืออาชีพ แต่วันที่โควิดมันเข้ามาเมื่อปีที่แล้ว เลยรู้สึกว่าต้องหาอะไรทำ แล้วเอาอันนี้ขึ้นมาทำต่อ แต่คราวนี้ทำให้มันจริงจัง มองมันเป็นอาชีพไปเลย มันถึงกลายเป็นอย่างที่ทุกคนเห็นในวันนี้”
ส่วนการเลือกเสียงของคนดังมีวิธีการยังไง เอ้บอกว่า “แต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างของลิซ่า Blackpink “อย่าแซวผมหน้าม้าหนู” เอ้เลือกเพราะบลิงค์ (แฟนคลับวง Blackpink) คอมเมนต์รวมกันเป็นหมื่นๆ ว่าทำเสียงอย่าแซวผมหน้าม้าหนูของพี่ลิซ่า เอ้เลยเอามาทำเป็นเพลง ซึ่งก็ต้องขอบคุณบลิงค์มากๆ ที่คะยั้นคะยอให้เอ้ทำ แล้วพอทำปุ๊บ เขาก็ช่วยสปริงเพลงนี้ออกไปให้คนเห็นจนเป็นกระแสไวรัล มันเป็นอีกก้าวที่สำคัญของอาชีพเอ้เหมือนกันครับ ส่วนนึงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเพราะบลิงค์ขอให้ผมทำ
แต่ของพี่หนุ่ม กรรชัย เพลง “อย่าแถ” เอ้ดูรายการโหนกระแส เห็นประโยคนี้ตอนพี่หนุ่มพูดแล้วแหละ ตอนนั้นยังไม่ได้คิดว่าจะเอามาทำเป็นเพลง พอเอ้โพสต์รูปกับพี่หนุ่มแล้วบอกว่าดูโหนกระแสวันนี้แล้วเหนื่อยแทน คนก็เข้ามาคอมเมนต์บอกว่าเอาคำว่าแถมาทำหน่อย ผมก็เลยบอกว่าได้ เดี๋ยวจัดให้ ผมก็ทำเลย จน 2 ทุ่มก็โพสต์ พอ 5 ทุ่มพี่หนุ่มโทรมาถามว่าว่างรึเปล่า มาออกโหนกระแสหน่อย (หัวเราะ)
นั่นคือสิ่งที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะเกิดขึ้น คือเอ้ไม่ได้คิดเลยว่าจะออกข่าวหรือพี่หนุ่มโทรมาชวน พอได้ไปออกก็กลายเป็นก้าวสำคัญเหมือนกัน เพราะวันนั้นเอ้ประกาศว่าเอ้จะเปิดด้อม กลับบ้านไปผู้จัดการบอกทำอะไรไม่ปรึกษากันเลย (หัวเราะ) พอเปิดไปคืนเดียวห้องเต็มครบ 5 พันคน ขึ้นเทรนด์อันดับ 2 ในไลน์ เป็นห้องที่เปิดแล้วคนเข้าแรงที่สุดอันดับ 2 ในตอนนั้น”
แรงสนับสนุนและคำสบประมาท
เอ้บอกว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เขารู้สึกดีใจมาก พร้อมทั้งขอบคุณคุณพ่อกับคุณแม่มากๆ ที่ไม่เคยกีดกันให้ทำสิ่งนี้และสนับสนุนมาตลอด “คุณแม่สนับสนุนในวันที่ผมทำตัวเกเรด้วย แต่ผมเกเรแบบมีเหตุผล ตอนอยู่ ม.ปลาย คุณพ่อคุณแม่ส่งไปเรียนพิเศษเสาร์-อาทิตย์ เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทุกครั้งที่แม่ส่งไปเรียนที่สยาม พอแม่ส่งเอ้ปุ๊บ เอ้ก็จะดูที่กระจกว่าแม่ไปรึยัง พอพ้นสายตาปุ๊บ เอ้สะพายกีตาร์แล้วโดดเรียนไปเข้าห้องซ้อมดนตรี
จนมีอยู่วันนึงแม่เซอร์ไพรส์ แม่มานั่งรอ ปกติจะมาหลังผมเรียนเสร็จ แต่วันนั้นพอหมดเวลาปุ๊บแม่ก็เซอร์ไพรส์ โรงเรียนเปิดแล้วแต่เอ้เดินมาจากข้างนอก สะพายกีตาร์มา (หัวเราะ) แม่ก็ถามว่าไปไหนมา เลยสารภาพว่าโดดเรียนตลอด ไม่เคยเข้าเรียน แม่ก็เลยบอกว่าจะจริงจังใช่มั้ย จะได้พาไปให้ถูกทาง วันรุ่งขึ้นก็ยกเลิกการเรียนพิเศษหมดเลย แล้วแม่ก็หาโรงเรียนที่จะติวทฤษฎีดนตรี เรียนกีตาร์ ส่วนพ่อสนับสนุนตั้งแต่แรกเพราะพ่อมาสายนี้อยู่แล้ว พอคุณแม่ยอมเข้าใจก็เลยช่วยดันไปให้สุดทาง เอ้เลยเชื่อว่าส่วนนึงเป็นเพราะพ่อกับแม่สนับสนุนแบบไม่มีข้อแม้
ตอนที่เอ้เรียนจบ เอ้ได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ของสาขาซาวนด์เอ็นจิเนียร์ ถ้าไปสมัครห้องอัดไหนก็มีคนพิจารณา เราสามารถไปสมัครงานและสตาร์ตเงินเดือนสูงๆ ได้ แต่เอ้ทิ้งตรงนั้นไปเลยเพราะเอ้บอกที่บ้านว่าถ้าเอ้ทำตรงนี้ เอ้จะกลายเป็นคนเบื้องหลังตลอดไป เอ้จะปิดโอกาสที่จะทำสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ คือการขึ้นไปอยู่บนเวทีและเล่นดนตรี เอ้ก็ขอเวลาปีนึงและเขายอม ปรากฏว่าเราสามารถเลี้ยงตัวเองได้ พอสิ้นปีมีเงินเก็บมากพอที่จะให้พ่อแม่ เราเลยรู้สึกว่าทางนี้ถูกต้องแล้ว”
แต่ในระหว่างทางกว่าจะมีวันนี้ เอ้บอกว่าเจอคนดูถูกตลอด ท้อแต่ไม่ถอย ส่วนเหตุการณ์ที่จำฝังใจ เอ้บอกว่าช่วงเริ่มทำเพลง EDM ก็มีคนดูถูกว่าเป็นเพลงแดนซ์เป็นเพลงตุ๊ด อย่าทำเลย ซึ่งตอนนั้นคนยังรู้จัก EDM น้อยมาก มันก็ไม่แปลกที่จะมีผู้ใหญ่คนนึงในวงการที่เอ้เคารพนับถือมากพูดว่าเพลงแดนซ์เป็นเพลงตุ๊ด ทำทำไม
“คนนี้มีอิทธิพลกับชีวิตเอ้มากๆ เราตั้งใจทำเพลงแดนซ์มาวันนั้น เป็นครั้งแรกที่เราจะเอาเพลงมาให้คนอื่นฟัง แล้วคอมเมนต์จากคนที่เรานับถือพูดแบบนั้น ผมรู้สึกว่าทำไมอยู่ดีๆ เอามีดมาทิ่มใส่หน้าอกเรา เราพยายามมาตั้งหลายเดือนเพื่อให้เกิดสิ่งนี้ คำพูดของผู้ชายคนนั้นยังทิ่มผมถึงทุกวันนี้ แต่มันไม่ได้สร้างบาดแผลให้ผม แผลมันแห้งสนิทไปแล้ว แต่มันฝังและจำได้เสมอ ทุกครั้งเวลาเห็นหน้าเขา ประโยคนั้นก็จะดังขึ้นมา (หัวเราะ) ตอนนั้นผมก็ล้ม แต่ผมก็ลุกและทำ EDM ต่อครับ”
ในส่วนแรงสนับสนุนจากแฟนๆ เอ้บอกว่า “ขอบคุณมากๆ ที่สนับสนุนเอ้ในวันที่วิกฤติเข้ามาหาในชีวิต ขอบคุณที่เข้ามาพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสครั้งแรกในชีวิตเอ้อย่างแท้จริง ในชีวิตเราไม่เคยวิกฤติขนาดนี้มาก่อน แล้วมันกลายเป็นโอกาสให้เราได้เติบโตขึ้นในอาชีพของเรา เพราะว่าคนเหล่านี้มาสนับสนุนเราครับ มันไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลยครับ ถ้าไม่มีพวกเขา วิกฤติของเอ้ก็ยังเป็นวิกฤติอยู่ครับ”
ความฝันพังเพราะโควิด
เมื่อถามว่าวิกฤติโควิดส่งผลกระทบยังไงบ้าง เอ้บอกว่าแน่นอนว่ารายได้คือส่วนหลัก แต่สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดกลับไม่ใช่เรื่องเงิน มันคือการที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กอดแฟนคลับอีก ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้ทำบอดี้เซิร์ฟ เมื่อไรเราจะจับมือ ถ่ายรูป แสดงความรักต่อกันได้เหมือนเมื่อก่อน
“ผมคิดถึงสิ่งเหล่านั้นมาก ผมเชื่อว่าต่อให้คอนเสิร์ตกลับมา สิ่งเหล่านั้นก็จะยังไม่กลับมาครับ มันก็จะเกิดการเว้นระยะห่าง สิ่งเหล่านั้นที่หายไปจะ 2 ปี เจ็บปวดยิ่งกว่าไม่มีรายได้ครับ การทัวร์คอนเสิร์ตทำให้มีรายได้หลักแสนจริง ถ้าไม่ได้ทัวร์คอนเสิร์ต เรายังอยู่ได้ด้วยค่าสตรีมมิงที่ทำไว้หลายเพลง ฉะนั้นรายได้กระทบจริงแต่ไม่ได้ทำให้เจ็บปวด เอ้มีความสุขกับการได้เอ็นเตอร์เทนคนแล้วเห็นเขามีความสุข คนเรามีความสุขในชีวิตไม่เหมือนกันครับ พูดแล้วน้ำตาจะไหลเลย”
พอมาถึงตรงนี้ เอ้เริ่มน้ำตาไหล ก่อนจะเล่าถึงอีกหนึ่งเรื่องที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน คือการไปทำงานเพลงที่ต่างประเทศ แต่สุดท้ายทุกอย่างพังเพราะโควิด โดยบอกว่า “เอ้พยายามสร้างคอนเน็กชันกับค่ายเพลงเมืองนอกและเอเจนซี่ เอ้บินไปอัมสเตอร์ดัมติดกัน 3 ปี เอ้หมดเงินไปครึ่งล้าน เงินที่เอ้เก็บมาเพื่อจะบินไปทำเพลงที่เมืองนอก ใช้เงินเยอะมาก”
เอ้เริ่มเสียงสั่นและนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเล่าต่อว่า “วันที่บินไปอัมสเตอร์ดัมครั้งแรกกับพี่ขันเงิน ไทยเทเนี่ยม เพราะไม่กล้าไปคนเดียว พี่ขันชวนเอ้ซื้อ Bitcoin ตอนที่ราคาแค่ 2 หมื่นบาท แต่เอ้ไม่มีตังค์ เพราะต้องเก็บเงินบินไปอัมสเตอร์ดัม ต้องซื้อตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ไปก็ต้องเช่าห้องอัด เจอศิลปิน ไปสร้างคอมมูนิตี้ มันใช้เงินสูงมาก ไปแต่ละปีใช้เงินเป็นแสน เอ้ก็เก็บเงินทั้งปีจากทัวร์คอนเสิร์ต ทำเพลง ไม่ซื้อรถ รถเอ้ขับมา 10 ปียังไม่เปลี่ยนเลย เอ้ลงทุนกับอาชีพ
วันที่เอ้เฝ้ารอก็มาถึง ใช้เวลาตั้งแต่เริ่ม 7 ปี ไปอัมสเตอร์ดัมอีก 3 ปี วันที่เอ้ปล่อยเพลงกับค่าย Barong Family ซึ่งเป็นค่ายของ Yellow Claw เขาดังมาก มีชื่อเสียงในประเทศไทยด้วย มันทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าผมทำเพลงกับค่ายนี้จะได้รับการยอมรับในประเทศไทยส่วนนึง แต่สิ่งสำคัญค่ายนี้เป็นมาตรฐานเพลงแนวที่เอ้ชอบ มันเหมือนสแตมป์ว่างานเราถึงมาตรฐานของเขาแล้ว
และคนเอเชียที่อยู่ในนี้ไม่เยอะ ตอนที่เอ้เซ็นสัญญาและปล่อยเพลงนี้ กำลังเกิดการพูดคุยกับเอเจนซี่ที่จะพาเอ้ไปทัวร์ที่เมืองจีนอย่างต่ำ 15 ที่ และมูลค่าการไปทัวร์ที่จีนแต่ละครั้งมันค่อนข้างเยอะ ซึ่งการปล่อยเพลงเดียวที่เอ้สู้มาทั้งชีวิตเพื่อให้เกิดเพลงนี้ขึ้นมา มันเป็นเงินเก็บทั้งหมด พอได้ปล่อยเพลง เกิดการคุยปุ๊บ ฝันของผมกำลังจะถึงที่ที่ผมอยากวิ่งไป
แต่มันพังทันทีไม่เหลืออะไรเลย คอนเน็กชันทั้งหมดก็คือหยุด เอเจนซี่ที่เคยคุยด้วยตอนนี้ไม่ทำแล้วเพราะไปต่อไม่ไหว คลับที่เคยดีลไว้ให้เอ้ไปเล่นเอ็กซ์คลูซีฟ 1 ครั้ง ได้เงินเท่ากับเอ้ทัวร์คอนเสิร์ต 10 ที่ในประเทศไทย คลับนั้นก็เจ๊งไปแล้วเพราะสู้วิกฤติโควิดไม่ไหว เพลงนั้นที่ทำขึ้นมามันก็ผ่านมา 2 ปีแล้ว แปลว่าเพลงมันหมดอายุการทำงานไปแล้ว มันไม่ใช่กระแสอีกต่อไปแล้ว ต่อให้คอนเสิร์ตกลับมา ผมก็เอาเพลงนั้นมาเป็นจุดขายไม่ได้ ผมต้องเริ่มใหม่
พูดทีไรมันก็เฟล ทำทั้งชีวิตเพื่อได้มาทำเพลงกับเขา แต่พอโดนเบรกมันก็พัง มันเป็นความท้ออย่างนึง แต่สิ่งที่เอ้ทำทุกวันนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เอ้คาดหวังว่าจะได้เป็น สิ่งที่เอ้คาดหวังคือก่อนที่จะเกิดโควิด ตอนนั้นเอ้วิ่งไปตามทางที่เอ้ตั้งใจไว้ แต่ทางที่เกิดขึ้นวันนี้ดียิ่งกว่าทางที่ตั้งใจจะไป เพราะตอนนี้มีคนที่รักเราเยอะมากๆ และเป็นคนในประเทศไทยที่รักเรา ไม่ใช่ชาวต่างชาติ ผมยิ่งภูมิใจครับ”
เมื่อถามว่าถ้าหมดโควิดแล้ว ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ยังอยากกลับไปตรงนั้นอีกมั้ย เอ้ตอบชัดเจนว่า “อยากไปตลอดแหละครับ ถ้ากลับไปอัมสเตอร์ดัมได้ เอ้ไปแน่นอน ที่นั่นคือเอ้ไปปูทางของเอ้ไว้ตั้ง 3 ปี เอ้ได้ใช้สตูดิโอเดียวกับเดวิด เกตตา ตอนไปที่โน่น แต่รอบนี้ผมไปแบบมีคนซัพพอร์ต ผมไปครั้งนี้ผมมีพลังมากกว่าเดิมอีก ผมมีคนที่สนับสนุนและพร้อมเป็นกำลังใจให้อีกหลายคน ผมรู้สึกว่าตรงนี้มหัศจรรย์มากๆ ครับ”.
ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : Boom Boom Cash, Botcash
กราฟิก : Sathit Chuephanngam