พักบทบู๊สู่โหมดผ่อนคลายเบาๆแต่เร้าใจ สำหรับเจมส์ มาร์ พระเอกตี๋หล่อ พลิกคาแรกเตอร์รับบทเป็น “ตรีกาล” ชายหนุ่มผู้มีพลังวิเศษมองเห็นผี ในละครแนวโรแมนติก คอมเมดี้ ลี้ลับเรื่อง ดวงตาที่ 3” ทางช่อง 3 ผลิตโดยค่ายซิติเซ่น เคน ของมาดามหน่อย-บุษกร วงศ์พัวพันธ์ การันตีความสนุก ซึ่งหนุ่มเจมส์ยอมรับชีวิตจริงไม่แตกต่างจากละครเพราะกลัว “ผี” ขึ้นสมองไม่แพ้กัน แถมอัปเดตชีวิตช่วงสถานการณ์โควิด–19 อยู่บ้านนานเป็นเหตุ ลุคเลยแปลกตา หล่อละมุนสไตล์โอปป้าจนสาวๆกรี๊ดกระหน่ำ ส่วนสถานะหัวใจก็ยังโสดเสมอต้นเสมอปลายไม่เปลี่ยน ใน “คนดังนั่งคุย”

ตี๋เห็นผีละครเรื่องนี้ดวงตาที่สาม

“ผมรับบทเป็นตรีกาล เป็นคนซื่อๆ เค้าเห็นผีและก็กลัวผีด้วยเด็กที่โตจากต่างจังหวัด เข้าเมืองเพื่อตามหานางเอกคือปุ้ม คนที่เค้ารัก เพื่อมาบอกรัก ก่อนที่จะสายเกินไป ระหว่างทางต้องเจอผี เจอเดอะแก๊ง ความสนุกสนานคือได้เห็นตรีกาลแก้ไขปัญหาแต่ละคน และปัญหาชีวิตของผีแต่ละตน”

เปิดโลกบทบาทใหม่ของเจมส์? “ถูกต้องครับ เป็นละครคอมเมดี้และผีเต็มตัวเรื่องแรกของผม ที่ผ่านมาจะเป็นละครบู๊ละครดราม่าโรแมนติก เรื่องนี้มีทั้งเป็นพระ เป็นนักเรียน เป็นทหาร เป็นลุคที่ไม่เคยเห็น ได้เห็นผมในหลายๆลุคด้วย”

กับการพลิกคาแรกเตอร์ครั้งนี้ท้าทายยังไงบ้าง? “คาแรกเตอร์ของตรีกาลแตกต่าง ทั้งแบ็กกราวด์ การเติบโตแตกต่างจากตัวผม แต่ด้วยวัยและอายุเค้าเราผ่านมาแล้วไม่นานนี้เองเลยทำให้เราเชื่อมโยงกับวัยนี้ได้ ความยากก็คงเป็นเรื่องการเป็นเด็กโตต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพฯมาตามหาคนคนนึงแบบไม่รู้อะไรเลย เป็นสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ นิดหนึ่ง เช่น ฉากนั่งรถมาเยาวราช ชีวิตจริงเราเคยไป แต่ตรีกาลต้องไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นความซื่อของตรีกาล”

...

เม้าท์ชัด จัดทุกตอน ติดตามได้ที่ www.thairath.co.th/novel และ Facebook Fanpage : นิยายไทยรัฐ

ต้องเล่นเป็นคนเห็นผีมีดวงตา ที่สาม เราต้องทำการบ้านยังไง?

“มันจะมีทั้งผีที่เราเห็นคือมีคนมาเล่นเป็นผีอันนั้นไม่ยากครับ เพราะกลัวจริงๆ แล้วผมเป็นคนกลัวผีอยู่แล้ว ด้วยโลเกชัน การแต่งเอฟเฟกต์ของพี่ๆที่มาเป็นผีสมจริงมาก ส่วนผีที่เป็นซีจีที่เราไม่เห็นก็เป็นเรื่องของจินตนาการล้วนๆ โชคดีที่ตอนเด็กๆเคยมีประสบการณ์วิ่งหนีผีมาก่อน ไม่ได้เห็นนะครับ แต่มีคนใส่หน้ากากผีในห้องปิดไฟแล้วเราก็วิ่งหนี คือกลัวเบอร์นั้น วิ่งหนีร้องอ๊าก เรื่องนี้จะได้เห็นผมวิ่งหนีผี ส่วนการตีความว่าเห็นผี ผมก็บอกตัวเองมันเป็นความสามารถหนึ่ง มีแขนอีกข้างหนึ่งโผล่มาคิดว่าเป็นสิ่งที่ติดตัวมาเลย ยากตรงที่ต้องวิ่งหนีบ่อยๆนี่แหละครับ (ยิ้ม)”

พอเป็นละครคอมเมดี้ ในกองต้องสร้างเอนเนอร์จี้ยังไง?

“พอเป็นละครคอมเมดี้สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปก็คือเวลาเราเล่นแต่ละเทกแรกๆ ก็ไม่ชิน ซีนจบแล้วเค้าไม่คัตก็มี เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ได้เรียนรู้จังหวะใหม่ๆ ส่วนวิธีการรวมพลังน่าจะเป็นการเล่นติ๊กต่อกก่อนเข้าฉาก เป็นสิ่งที่ทำตลอด ส่งผลให้เกิดพลังงานมั้งครับ (หัวเราะ) นักแสดงท่านอื่นอย่างเช่น พี่อ้น-ศรีพรรณ พี่ฟรอยด์ เค้ามีอะไรใหม่ๆก็มาลองหยอดดู พอเค้าหยอดมาก็จะส่งผลกับเราโดยตรง ในซีนจริงๆตัวละครตรีกาลไม่ได้เป็นคนตลกแต่ด้วยสถานการณ์ที่เค้าเจอ มันเกิดความสนุกเพราะทุกอย่างพาไป มันก็มีฟีลตลกของเราเกิดขึ้นบ้าง มีบ้างครับที่หลุดขำ แต่ที่หลุดเยอะๆคือมิวมากกว่า เวลาหลุดก็ไปกันหมดทั้ง 7 คน เอาจริงๆที่จะทำให้หลุดก็มักจะเป็นพี่อ้นกับพี่ฟรอยด์ เค้าก็เป็นตัวละครในซีนนะแต่พูดอะไรออกมาที่คาดไม่ถึงจนไปต่อไม่ได้ บรรยากาศในกองถ่ายเรื่องนี้ก็เหมือนที่ทุกคนได้เห็นในติ๊กต่อกในสตอรีในไอจี เรื่องนี้อยู่กันเหมือนความรู้สึกเวลาไปโรงเรียน ไปเจอเพื่อน ทำกิจกรรมคือตอนพวกเราไปถ่ายทำเราก็เอนจอยสนุกกันมากผมว่าคนดูน่าจะได้รับพลัง-งานดีๆจากเรื่องนี้”

ทำงานกับมิว–นิษฐา เป็นอย่างไรบ้าง?

“ชอบการทำงาน กับมิวครับ เราเคยร่วมงานกันละครสุภาพ-บุรุษจุฑาเทพมาก่อน เจอกัน 5-6 ฉาก รู้ว่าคือพี่มิว พอมาเรื่องนี้เลยตกลงกันว่า ไม่ได้ละ อายุไล่เลี่ยกันจะมาเรียกพี่ไม่ได้ เรียกมิวก็ข้ามไป เลยเรียกเค้าว่า คุณมิว เหมือนที่พี่หน่อย พี่เคนเรียก ความเป็นพี่มิวน้องเจมส์มันก็ลดน้อยลงไป ด้วยความที่เค้าตัวเล็กและดูเด็ก มันก็ลืมว่าเค้าอายุมากกว่ากลายเป็นเหมือนเพื่อนเรา ในเรื่องนางเอกเค้ามีปมว่าตรีกาลไม่เห็นค่า แต่เรามีสเต็ปชีวิตของเค้าและมีความไม่ชัดเจน ปุ้มเลยไปเลย ไปเป็นคนอื่น ตรีกาลเลยต้องมาค้นหาว่าเค้าใช่ปุ้มหรือเปล่า ความรักของพระนางในเรื่องนี้เลยเป็นความผูกพัน ไม่ได้หวานโรแมนติกเร่าร้อน แต่เป็นความรู้สึกรัก ความผูกพันจริงๆ ทุกครั้งที่จะได้กอดกันจับมือกันมันมีเรื่องราวมากกว่าคนที่เพิ่งเจอกัน”

...

เป็นละครที่เหมาะให้คน ได้ผ่อนคลายช่วงเวลานี้?

“ผมมองว่า ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหนละครแบบนี้เป็นเรื่องดีให้กับทุกคนเสมอ ไม่ต้องเป็นช่วงนี้โดยตรง ไม่ว่าช่วงไหนทุกคนก็อยากเห็นละครที่ทำให้เรายิ้มได้”

สมมติถ้าชีวิตจริงวันหนึ่งเรามีดวงตาที่สามเหมือนตรีกาล เราจะเป็นยังไง “ก็คงคล้ายๆตรีกาล ก็คงวิ่งเหมือนกัน (ยิ้ม) ผมว่าถ้าเป็นผมจริงๆ คงไม่ได้ช่วยขนาดนั้น อาจจะช่วยด้วยวิธีอ้อมๆ ทำบุญ บอกต่อ แต่ถ้าให้ต้องช่วยแบบตรีกาลคงไม่ไหว เค้าบังเอิญตกอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ”

จากตอนถ่ายทำเรื่องนี้แฟนๆก็ฮือฮา ที่ได้เห็นเจมส์เต้นในติ๊กต่อก?

“ทุกครั้งที่มีการรวมตัวกันคนก็จะรอดูว่าจะมีอะไร เพราะมีทั้งถ่ายและหยุดไป รวมประมาณ 1 ปีกว่า ในติ๊กต่อก ถ้าทำก็อยากทำกับคนที่สนิทและในแบบของเรา ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนพูดถึงติ๊กต่อก แฟนคลับ ก็อยากให้เปิดติ๊กต่อกของตัวเอง แต่ผมว่าคงไม่เวิร์ก เพราะแค่ลงไอจียังลำบาก ให้ลุกขึ้นมาเต้นอาจจะยาก”

ยังไม่ใจอ่อน? “ยากตรงที่เดี๋ยวจะเหมือนในไอจี อัปเดือนละครั้ง อาจจะร้าง ถ้าติ๊กต่อกคงเป็นฟีลร่วมทำกับเพื่อน เป็นแขกรับเชิญมากกว่า ผมเป็นคนที่ไม่รู้จะแชร์อะไรในโซเชียลมากกว่า ไม่รู้จะพูดอะไร ลงอะไร ไม่รู้จะบอกอะไร พอไปสักพักนึงเริ่มโตเริ่มเข้าใจว่ามันมีมุมนี้นะ แต่จะให้ทำอะไรอีกสเต็ปอย่างเปิดติ๊กต่อกคงไม่ใช่แนวผมจริงๆ”

...

จากลุคเนี้ยบคุณชาย ชีวิตจริงเป็น คนรอบคอบถี่ถ้วนเวลาจะทำอะไรมั้ย?

“ก็แล้วแต่สถานการณ์ครับ ถ้าเป็นเรื่องงานหรืออะไรที่จะมีผลกระทบต่อคนอื่น หรือเป็นสิ่งที่เราจริงจังก็มักจะเนี้ยบถี่ถ้วนละเอียดในกระบวนการทำงานหรือความคิด แต่ถ้าเป็นเรื่องเที่ยว พักผ่อน เจอเพื่อน เล่นเกมก็ค่อนข้างชิล สบายๆมาก”

เรื่องอะไรที่ไม่ต้องเป๊ะในชีวิต? “การแต่งตัวครับ สบายๆ ทุกวันนี้พอออกไปซื้อของก็ใส่กางเกงขาสั้นรองเท้าแตะมัดผม เวลาอยู่บ้านเล่นเกมกับเพื่อนก็สนุกสนานเฮฮา”

จากวันแรกในวงการถึงวันนี้ก็ 9 ปี ประสบการณ์ทำให้เจมส์ เปิดโลกใหม่ๆ ยังไงบ้าง?

“ด้วยระยะเวลาของการทำงาน มันก็สอนเราอยู่แล้วครับว่าพอเรายิ่งโตขึ้น ความเป็นเด็กหรือความอยากที่จะทำอะไรมันก็น้อยลง ตอนเด็กๆ ตอนเข้าวงการอยากไปดูหนัง เที่ยว เล่นเกมตีกอล์ฟ มันมีความอยากทั้งๆที่งานก็เยอะ พอเราเริ่มโตแล้วเราก็ได้เห็นแล้วว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่จำเป็นเท่าไหร่หรอก อยู่บ้านก็ได้ มันมีอะไรตอบสนองเราในรูปแบบอื่น และตอนนี้สิ่งที่โฟกัสคือเรื่องของงานที่เราอยากทำให้มันดี อยากเต็มที่ ไม่ใช่ว่าตอนเด็กเราไม่เต็มที่นะแต่มันมีความอยากอย่างอื่นตามวัย”

...

ชีวิตช่วงนี้ทำผมลุคใหม่ฮือฮาเป็นโอปป้า?

“ผมจะยาวๆหน่อยมัดเป็นจุกข้างหลังได้ อาจจะไม่ค่อยมีคนอื่นทำ
รึเปล่าเลยเป็นสิ่งแปลกใหม่ จริงๆละครที่จะถ่ายเรื่องต่อไปต้องไว้ผมยาวคือเรื่องเพราะรัก กับค่ายชลลัมพี เล่นคู่กับน้องพาย-รินรดา เลยไว้ไปเรื่อยๆ วันก่อนไปถ่ายสกู๊ปช่อง คุยกับพี่ที่ทำผมว่าผมยาวพอที่จะมัดหรือยัง เค้าบอกว่าสบาย งั้นลองดูไม่ได้คิดอะไรเยอะ มัดเสร็จถ่ายรูปโพสต์ กลับกลายเป็นว่าคนให้ความสนใจกับลุคนี้ทรงนี้ ซึ่งเราก็ดีใจนะครับที่ได้เปลี่ยน ละครเรื่องใหม่ต้องเปลี่ยนลุคอยู่แล้ว”

สำหรับเจมส์เวลาเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆสักทีมันยากไหม? “ใช่ครับ เป็นคนมักจะทำอะไรก็ทำสิ่งเดิมๆ กินอะไรก็กินสิ่งเดิมๆไม่กี่อย่าง ช่วงนี้ทำกับข้าวก็ทำไม่กี่อย่างที่ตัวเองพอกินได้ จริงๆเป็นคนชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่เรามาทำต่อรึเปล่าก็อีกอย่าง เป็นสิ่งที่ผมอยากพัฒนาเหมือนกันนะครับ ในอนาคตอีกไม่กี่ปีก็จะ 30 แล้ว ถ้ามีอะไรใหม่ๆที่เราทำได้ เรียนรู้ได้ก็น่าคิด เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าจะมีหมาในชีวิต ตอนนี้ก็มีหมา 2 ตัว ไม่เคยดูซีรีส์เกาหลี ก่อนหน้านี้ก็ได้ดูเรื่องหนึ่งแล้วก็ติดมาก เลยคิดว่าถึงเวลาที่เราจะต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆบ้าง ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป”

จะสามสิบแล้ว เรื่องหัวใจล่ะ เจอใครคนนั้นรึยัง?

“ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ก่อนหน้านี้เราก็ทำงานตลอดเวลา ไม่ได้คิดว่าจะต้องรีบเจอใครคนนั้น พอเจอโควิดก็ยิ่งไม่ต้องเจอใคร ถ้าเจอใครคนนั้นจริงๆอาจจะเป็น
คนที่เราเคยทำงานด้วย เคยเจอเพื่อนเก่าหรือใครๆ เราไม่มีทางรู้เลยว่าเค้าเป็นใคร แต่ถ้าเป็นใครที่เข้ามาก็ขอให้อยู่กับเค้าแล้วอยู่ได้นานๆ ผมไม่ชอบความรู้สึกที่ต้องเจอใครแล้วเลิกราจากกัน ผมไม่ชอบ มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก เราเลยไม่รีบดีกว่า ถ้ามันไม่ใช่จังหวะของมัน ตอนเด็กๆเราคิดว่าทุกคนต้องมีคู่มีใคร แต่ตอนนี้มันก็โชว์ให้เห็นแล้วในสังคมว่าหลายๆ คนอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียวได้และก็ประสบความสำเร็จได้ ผมมองว่ามันเป็นช้อยส์ของคนคนนั้นว่าเลือกแบบไหน ตัวผมเองไม่ได้ปิดกั้นต้องมีหรือไม่มี ให้เป็นไปตามความรู้สึกของเรา”

คนแบบไหนที่จะโดนใจ? “เป็นคนที่อย่างน้อยเราต้องชื่นชอบเค้าในเรื่องเสน่ห์ของการทำงาน การใช้ชีวิต ยิ่งมีแพสชันในตัวยิ่งชอบ ยกตัวอย่างเช่น นักกีฬาทีมชาติ อาร์ติสต์ คนที่มีความมุ่งมั่นมากๆในงาน และที่สำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน เหมือนจะง่ายแต่ยากนะที่คนเราจะเข้าใจกัน เมื่อไหร่มาก็ค่อยดีใจ ไม่รีบครับ”.

เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย