- เปิดใจ ลี ฐานัฐพ์ หนุ่มผู้รักสันโดษ แค่เจอคนเยอะๆ ก็ไมเกรนขึ้นแล้ว
- พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอด เพื่อให้ได้ทำงานที่รักที่ชอบ
- ไม่ได้หวังอยากทำงานในวงการบันเทิง แต่ทำเพราะอยากได้เงินซื้อกีตาร์
ถ้าพูดถึงชื่อของ ลี ฐานัฐพ์ โล่ห์คุณสมบัติ แฟนๆ หลายคนต้องร้องอ๋อขึ้นมาทันที กับการเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่มีผลงานทางการแสดงมาแล้วหลายเรื่อง จากวันนั้นถึงวันนี้ ลี เข้าวงการบันเทิงมาได้ประมาณ 5 ปีแล้ว
ลีบอกกับ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ว่า ความจริงแล้วอยากเป็นนักดนตรีมากกว่านักแสดงซะอีก แต่สุดท้ายก็ได้ทำงานในวงการนี้แบบฟลุกๆ เริ่มต้นจากการไปประกวดเวที Finding U-Prince Project และผ่านเข้ารอบนั่นเอง
ขาดความเป็นตัวเอง แคสต์งานไม่ผ่าน
"ย้อนไป 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นมันมีการประกวด Finding U-Prince Project มันเป็นโปรเจกต์สุดท้ายของซีรีส์เรื่อง U-Prince น่ะครับ แล้วผมก็ได้มาประกวด ผมรู้สึกว่าตอนนั้นอายุผมน่าจะเป็นคนที่แก่ที่สุดในเพดานตอนนั้นแล้ว ตอนนั้นผมอายุ 23 ครับ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะได้หรอก แต่ก็ได้มา อันนี้คือจุดเริ่มต้นของการเข้าวงการครับ
...
ก่อนหน้าผมมีไปถ่าย MV มาตัวนึงครับ เป็นพี่ที่รู้จักพาไปแค่นั้นเองครับ จริงๆ ผมแคสต์งานตอนผมอายุ 13-14 แล้วครับ แล้วคือตอนที่ผมมาแคสต์ U-Prince ผมคิดว่าน่าจะเป็นงานสุดท้ายแล้วที่ผมจะแคสต์ ถ้าไม่ได้คือผมไม่เอาแล้ว ไปเส้นทางปกติของคนธรรมดาดีกว่า
ตลอดระยะเวลาที่ผมแคสต์งานมา ไม่เคยได้สักชิ้นเลยครับ ผมว่ามันเป็นเรื่องของความเป็นตัวของตัวเอง แล้วก็เสน่ห์ ที่เราจะแสดงออกมา คือตลอดเวลาที่แคสต์งาน มันจะเป็นเหมือนโมเดลหนึ่ง บางทีเขาอยากได้ความสดใส
ผมก็จะเป็นเหมือนแพตเทิร์นที่คนทุกคนมักจะทำ ซึ่งมันขาดความเป็นตัวของตัวเอง แล้วก็การพูดการจา ทุกอย่างในการแคสต์มันอาจจะขาดเสน่ห์ และน่าจะเป็นเรื่องของการไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ บางทีที่เราฝืนทำอะไรมากๆ มันไม่ใช่ตัวเองมากๆ มันก็จะไม่ธรรมชาตินิดนึงครับ"
รู้ตัวอีกทีก็หลงรักอาชีพดาราซะแล้ว
"จริงๆ ผมไม่ได้มีความฝันที่อยากจะเข้ามาในวงการบันเทิงครับ สิ่งเดียวที่ผมฝันคือการได้เล่นดนตรี ถ้าการได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิงก็คือเข้ามาในฐานะนักดนตรี
ตอนนั้นก็จะมีไอดอลแบบวง Bodyslam, Clash ที่แบบชอบมาตั้งแต่เด็ก อยากยืนบนเวที แล้วคนดูเยอะๆ ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองจะมาเป็นดาราครับ
การที่มาวิ่งแคสต์งานเพราะผมอยากได้รายได้ตรงนั้นไปซื้อกีตาร์เฉยๆ ครับ เพื่อสานฝันต่อการเป็นนักดนตรีของผมแค่นั้นเอง ไม่ได้แบบว่าอยากเป็นดารา นักแสดงเลย แค่อยากได้เงินไปซื้อกีตาร์ (หัวเราะ)"
"มันเกินสิ่งที่ผมคาดหวังไว้มากครับ สิ่งแรกที่ผมคาดหวังเลยคือการมีรายได้ไปซื้อกีตาร์ แล้วก็ทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ซึ่ง 2 อย่างนี้มันเกินมาตั้งนานแล้ว แต่ผมก็ไม่หยุดที่จะทำ ทำให้มันดีขึ้นไปเรื่อยๆ ผมว่าวันหนึ่งเรารู้สึกขึ้นมาเองเลยว่า เรารักงานนี้เฉยเลยอะ รักในอาชีพนี้ รักการเป็นนักแสดง รักการทำงาน เรารักทีมงาน เรารักคนดู รู้สึกอย่างนั้นครับ"
ลูกชายคนเล็ก ผู้รักสันโดษ
"ผมเป็นคนรักสันโดษมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ไม่ชอบพื้นที่ที่คนเยอะๆ ไม่ค่อยชอบพูดกับใครเท่าไหร่ คือถ้าจะพูดก็พูดกับเพื่อน พูดกับพ่อแม่ ถ้าคนที่ผมไม่ค่อยรู้จัก ก็จะไม่ค่อยพูดครับ พูดกับคนที่วางใจมากกว่า
มันจะมีความนิสัยเสียเวลาเพื่อนจะมาบ้าน ขนาดเพื่อนจะมาบ้าน ผมก็จะปิดบ้านใส่เลย แล้วบอก กูไม่อยู่ (หัวเราะ) คือไม่ชอบให้ใครมารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว หรือเรื่องส่วนตัวครับ"
...
"แต่พอเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ผมปรับตัวเยอะครับ แต่ก็ต้องขอบคุณทุกคน ขอบคุณพี่ๆ ทีมงานทุกคน ขอบคุณแฟนคลับทุกคน ที่ช่วยกันทำให้กำแพงตรงนั้น หรือว่าเรายอมลดพื้นที่ส่วนตัวของเราเพื่อจุดๆ นั้น ผมก็รู้สึกว่าการพูดหรือการทำให้คนอื่นมีความสุข
การคุยกับคนมันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เมื่อก่อนรู้สึกว่ายากมาก ตอนนี้ก็ไม่ขนาดนั้นแล้ว จำได้ตอนที่ออกอีเวนต์แรกๆ คือผมไม่ชอบพื้นที่ที่คนเยอะๆ อยู่แล้ว แล้วพอผมไปอยู่ในพื้นที่ที่คนเยอะๆ อยู่บนเวที มีคนมายืนเต็มไปหมด ผมไมเกรนขึ้นเลยอะ มันเหมือนแบบผมไม่คุ้นจริงๆ ผมไม่ชอบจริงๆ
แต่ในวันนี้ต้องยอมรับว่าจำนวนคนมันมากกว่าวันนั้น รู้สึกมันเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้เครียดเท่าเดิม แต่มันกลายเป็นว่า ถ้าเราพูดอะไร เราทำอะไรไปบางอย่าง แล้วคนเขามีความสุขกับเรา เอ็นจอยกับเรา มันทำให้เรารู้สึกใจฟูมากกว่าเดิมอีก"
"ที่บ้านเขาน่าจะรู้สึกผมเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นเนอะ เมื่อก่อนผมไม่ค่อยคุยกับคน คุยกับกีตาร์ซะมากกว่า วันๆ เอาแต่เล่นกีตาร์ บางทีเขาเห็นผมโทรศัพท์คุยงาน เขาก็บอก เออ มันดูเป็นผู้ใหญ่ ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเนอะ อะไรอย่างนี้ (ยิ้ม)"
...
"ผมเป็นลูกคนเล็กครับ มีพี่สาว 2 คนครับ ผมสนิทกับพี่สาวคนกลางมาก บางทีรู้สึกเขาเป็นทั้งแม่ ทั้งพี่ เป็นทั้งเพื่อน แต่ผมก็ยังเป็นน้องเล็กที่รักสันโดษ ด้วยวิถีชีวิตผู้ชายกับผู้หญิงมันไม่ค่อยเหมือนกันอยู่แล้ว มันก็จะแยกกันอยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่ผู้ชายจะแยกกับผู้หญิงซะมากกว่า"
จากงานที่ไม่ชอบก็กลายเป็นรัก
เมื่อเราถามต่อว่า ลี คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในจุดที่เรายืนแล้วหรือยัง เจ้าตัวก็ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า "ผมว่าประสบความสำเร็จในขั้นแรกมากกว่า ผมเพิ่งเริ่มต้นครับ ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นขั้นสุดอะ แต่ถ้าถามว่ามันเกินความคิดผมมั้ย มันเกินไปนานแล้ว ซึ่งผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าผมจะประสบความสำเร็จในสายอาชีพนี้แต่แรก"
"ในอนาคตผมมองว่า ผมอยากทำงานเบื้องหน้าให้ครบทุกด้านก่อน แล้ววันหนึ่งถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะไปทำเบื้องหลัง แต่ผมก็คิดแพลนเอาไว้เผื่อว่าผมจะทำธุรกิจส่วนตัวด้วย ซึ่งผมก็คุยกับที่บ้านอยู่ว่าผมจะทำอะไรดีนะ
แต่ว่างานในวงการบันเทิง ผมว่า ผมทิ้งไม่ลง เพราะมันเป็นงานที่ผมรัก ถ้าผมไม่ได้ทำเบื้องหน้าแล้ว ผมก็อยากทำเบื้องหลังอะ คือจากที่เมื่อก่อนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ไปๆ มาๆ อยู่มา 5 ปีแล้ว กลายเป็นสิ่งที่รักไปเลย
...
อีกอย่างงานสายนี้มันไปซัพพอร์ตกับสิ่งที่ผมเรียนมาตอนมหาวิทยาลัยด้วย ก็เลยรู้สึกเข้าใจได้ง่าย อินกับมันได้ง่าย แล้วก็วางแผนกับมันได้ในระดับหนึ่งครับ"
โควิดทำทุกอย่างหยุดชะงัก พยายามปรับตัว
เมื่อเราถาม ลี ต่อว่า สถานการณ์โควิด ทำให้เปลี่ยนไปยังไงบ้าง เพราะเมื่อก่อนเราทำงานทุกวัน เจ้าตัวบอกว่า "ก็ไม่ได้ทุกวันขนาดนั้นครับ ผมว่ามันแล้วแต่อาทิตย์มากกว่า บางอาทิตย์ก็ทั้งอาทิตย์เลย บางอาทิตย์ที่ว่างก็มีครับมันเป็นการคาดเดาไม่ได้อยู่แล้วครับ ผมว่ามันเป็นเรื่องดวง และโอกาสด้วยครับ แต่พอโอกาสนั้นเข้ามา ก็รีบคว้าไว้ครับ"
"แต่พอเจอโควิดปุ๊บ ต้องล็อกดาวน์ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่ได้พักผ่อน ปกติถ้ามีถ่ายละคร เขานัดกอง 6 โมงเช้า ปกติผมตื่นตี 4 เลิกกองส่วนใหญ่ก็จะ 4 ทุ่ม ผมกลับถึงบ้าน 5 ทุ่มกว่าๆ พอถึงบ้านก็อาบน้ำ อ่านบทฉากในวันต่อไป คือผมมองว่าการพักผ่อนของเราในตอนนั้นมันน้อย พอมันน้อย มันก็ไม่ได้คลายเครียดอะไร ทำได้แค่นอนแล้วตื่นไปทำงานต่อ
แต่ช่วงที่ได้หยุดก็ได้พักผ่อน สมมติว่า ตอนนี้สนใจเรื่องบ้าน กลางคืนเราได้มีเวลาท่องเว็บว่ามันมีอะไรน่าสนใจบ้างนะ ก็เลยได้เป็นการฮีลตัวเองในระดับหนึ่งครับ เอาจริงๆ มันก็มีความเครียด ความแพนิคครับ แต่เราพยายามหาสิ่งที่มันผ่อนคลายได้ครับ"
สุดท้ายนี้ ลี ได้ฝากถึงแฟนทุกคนว่า "ช่วงนี้สถานการณ์เรามันก็ไม่ค่อยดี มันไม่ดีเลยมากกว่า มันเยอะขึ้นเรื่อยๆ มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมอยากให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้า ที่คอยปกป้องประชาชน ดูแล คอยรักษาประชาชนให้ครับ
เป็นกำลังใจให้จริงๆ ครับ เพราะว่าเขาคือผู้เสี่ยงมากกว่าเราอีกแล้ว แล้วก็สำหรับคนที่ป่วย ก็เป็นกำลังใจให้ครับผม แล้วก็เป็นกำลังใจให้กับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบด้วยครับ
แล้วทุกคนที่ทำงานอยู่ อาจจะต้องหยุดงาน เรื่องนี้ผมเข้าใจมากๆ ผมว่ามันเป็นสิ่งที่หลายคนได้รับผลกระทบ ผมเองก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน ก็เป็นกำลังใจให้นะครับผม พยายามหาอะไรที่มันคลายเครียด
แล้วก็ดูแลคนรัก คนรอบตัว บางคนอาจจะมีพ่อแม่สูงอายุ ก็อยากจะให้ดูแลใกล้ชิดด้วย คอยปกป้องเขาด้วยครับ บางทีผู้ใหญ่ชอบดื้อ ถ้าเรารักเขา เราก็ต้องคอยดูแลเขาให้สุขภาพแข็งแรง
อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากให้กำลังใจ คือผมเห็นน้องๆ หลายคนที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย แล้วปีนี้เป็นปีที่ต้องเริ่มทำงาน ผมว่าน้องๆ หลายคนน่าจะเครียด แต่ก็ไม่เป็นไร ผมเป็นกำลังใจให้เหมือนกันครับ (ยิ้ม)"
"ขอบคุณทุกคนที่ติดตามผมตั้งแต่วันแรกเลยครับ หรือเพิ่งได้มาเจอะเจอกัน เพิ่งได้ติดตาม ก็ขอบคุณทุกคนมากเลยครับ มันทำให้คนๆ นึงมีกำลังใจในการทำงาน มีกำลังใจในการยิ้มให้ทุกคนเห็น มีกำลังใจในการทำให้ทุกคนมีความสุขครับ ขอบคุณมากครับ ขอให้ความสุขที่ผมได้รับ ย้อนไปหาทุกคนด้วยนะครับ (ยิ้ม)".
ผู้เขียน : โอ้ว...ซาร่า
กราฟิก : Sathit Chuephanngam
ภาพจากอินสตาแกรม lee_thanat