• เอส กันตพงศ์ ใช้ธรรมะรักษาอาการป่วยไฮเปอร์เวนติเลชัน 
  • ยอมรับแบบไม่อาย การทำงานในวงการบันเทิงไม่ง่ายอย่างที่คิด
  • ทุกวันนี้ค้นพบความสุขกับการได้เล่นละครบู๊

ถ้าให้นึกถึงพระเอกหนุ่มหน้าไทย คงต้องมีชื่อของพระเอกหนุ่ม เอส กันตพงศ์ บำรุงรักษ์ ติดโผพระเอกหน้าไทยในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน ซึ่งหนุ่มเอสก็ถือเป็นพระเอกแถวหน้าของช่อง 7 อีกคนที่มีฝีมือเฉียบ เล่นได้ทั้งบทบู๊และดราม่า 

และล่าสุด เอส กันตพงศ์ ได้กลับมาสร้างความฮือฮาผ่านทางหน้าจอแก้วอีกครั้งในละครเรื่อง แม่เบี้ย ที่ต้องบอกเลยว่าแม่เบี้ยเวอร์ชันนี้แซ่บซี้ดสุดๆ ถูกแฟนๆ พูดถึงตั้งแต่เริ่มฟิตติ้งตัวละคร และหลังจากที่ละคนออนแอร์ได้แค่สัปดาห์แรก ก็ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก 

แม่เบี้ย ละครรีเมก

ในวันนี้เราได้มีนัดสัมภาษณ์หนุ่มเอสแบบโซเชียล ดิสแทนซิง ผ่านทางวิดีโอคอล เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับผลงานละครเรื่องล่าสุด และเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจของพระเอกคนนี้กัน

ซึ่งเราเริ่มต้นจั่วหัวด้วยการพูดถึงละครที่ร้อนแรงและมีกระแสมากที่สุดในตอนนี้ ถึงความรู้สึกพอรู้ว่าจะต้องมาเล่นละครเรื่องแม่เบี้ยที่ทำมาแล้วหลายเวอร์ชัน รู้สึกกดดันหรือกังวลหรือไม่ ซึ่งพระเอกหนุ่มตอบคำถามนี้ว่า 

"ละครรีเมกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเปรียบเทียบ เป็นเรื่องปกติ แม้กระทั่งตัวผมเองที่ยังคิดว่าเรื่องนี้จะทำอย่างไรให้น่าดู เพราะทุกคนเคยดูมาก่อนแล้ว

แต่ถ้าใครเป็นแฟนของบทประพันธ์เรื่องนี้ จะต้องดู เพราะจะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของตัวละคร และอาจจะทำให้ความรู้สึกของคนดูเปลี่ยนไป เพราะเข้าใจตัวละครมากขึ้นได้ครบที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมา

ผมไม่กดดัน รู้สึกแค่ว่าจะทำอย่างไรให้เวอร์ชันนี้ออกมาต่างจากเวอร์ชันก่อนๆ เพราะผมเชื่อว่าถ้าช่องเลือกมาทำคงมีแผนที่จะทำให้มันต่าง พอได้มาเล่นก็มทำให้รู้ว่ามันต่างจริงๆ เพราะมีหลายมุมที่ถูกยกมาขยายเพื่อให้เข้าใจตัวละครในเรื่องนี้มากขึ้น 

...

ก่อนหน้านี้ผมได้ดูมาบ้างแต่เป็นเวอร์ชันภาพยนตร์ และสิ่งที่ทำก็คือเตรียมเรื่องหุ่น เพราะพี่เอให้ผมถอดเสื้อเกือบทั้งเรื่องเลย แทบจะไม่ได้ใส่เสื้อเลย แต่ช่วงถ่ายเป็นช่วงโควิด เลยทำให้บางตอนหุ่นผมไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าไหร่ (หัวเราะ) 

ส่วนความยากง่ายของบทที่ผมได้รับ คือการตีความตัวละคร และแสดงออกมาให้ทุกคนเข้าใจในความเป็นเขา ตัวผมเวลาอ่านบทก็เห็นว่าสิ่งที่พระเอกทำมันผิด แต่จะสื่อสารอย่างไรเวลาที่เล่นจะไม่ขัดใจตัวเอง เลยต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อให้เข้าใจตัวละคร

และเวอร์ชันนี้ได้อธิบายตัวละครในอดีตได้อย่างละเอียด เลยทำให้เข้าใจว่าเขาคือผลผลิตที่บิดเบี้ยวของสังคม มีปมในวัยเด็ก จนมันระเบิดออกมา

ถ้าใครที่เป็นแฟนละคร และอยากรู้เรื่องราวว่าจริงๆ มันเป็นอย่างไร ต้องดูเวอร์ชันนี้กันนะครับ เพราะเขามีการขยายความทุกตัวละครออกมาหมด ทุกคนจะได้รู้ว่าทำไมพระเอกและนางเอกถึงได้รักกันโดยไม่สนใจศีลธรรมอะไรเลย มันจะถูกเฉลยออกมา มันมีอดีต มีปมต่างๆ ทำให้เขาเลือกตัดสินใจ"

เลิฟซีนสุดเร่าร้อน

จากนั้น เอส กันตพงศ์ ได้เล่าถึงฉากเลิฟซีนของละครเรื่องแม่เบี้ย ในเวอร์ชันละคร และการถ่ายทำให้กับเราฟังว่า

"ในเส้นเรื่องของฉากเลิฟซีน ก็ถ่ายเหมือนภาพยนตร์เลย แต่จะได้ออนแบบนั้นมั้ย หรือว่าจะถูกตัดทอนอย่างไร ก็ต้องรอดู

แต่ในส่วนของฉากเลิฟซีน โชคดีที่ผมกับนาวนอกฉากเราสนุกสนานเฮฮากันดี เลยทำให้เวลาเข้าฉากไม่เกร็ง เลยทำให้เล่นออกมาได้เต็มที่ เลิฟซีนเทคเดียวผ่าน หรือบางทีผู้กำกับอยากได้อีกอารมณ์หนึ่ง มันไม่ใช่แค่เลิฟซีน แต่เป็นการถ่ายตัวอารมณ์ของตัวละครด้วย" 

แต่ใครจะรู้ว่า เอส กันตพงศ์ ก่อนที่หลายคนจะมีภาพจำของเอสคือการเป็นพระเอกนักบู๊ แต่จริงๆ แล้ว เอสนั้นเริ่มต้นการแสดงมาจากบทดราม่า ซึ่งเจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า 

"ผมเริ่มการแสดงจากละครดราม่าเป็นหลัก และช่วงหลังมาเริ่มเล่นบู๊ เพราะรักอยากจะเล่นก็เลยขอช่องเล่นละครบู๊ แล้วกลับมาเล่นเรื่องแม่เบี้ย แล้วต้องเล่นดราม่ากับอากาศ มีฉากที่ต้องคุยกับ CG เป็นสิ่งที่ท้าทายที่ต้องทำการบ้าน ถามว่าติดใจมั้ย ผมขอกลับไปเล่นบู๊ดีกว่า (หัวเราะ)

ไม่ใช่ว่าผมไม่สนุกนะ แต่มันเครียด บู๊เหนื่อยกาย แต่พอดราม่ามันเหนื่อยทั้งกายและใจ ร่างกายถูกดูดพลังและยิ่งมีฉากดราม่าทั้งวัน พลังมันยิ่งหาย และทำให้อารมณ์ของผมสวิง มันเป็นอะไรที่โหดร้ายกับสมองและจิตใจของนักแสดง ถ้าให้เล่นติดต่อกันหลายเรื่อง ไม่ไหว ถ้าเราไม่มีวิธีการจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง

แต่ด้วยความที่ผมเล่นดราม่าได้ เล่นบู๊ได้ ก็จะเจอบู๊สายดราม่า (หัวเราะ) มีเรื่องกุหลาบเกราะเพชรที่ผมบู๊ไปด้วยร้องไห้ไปด้วย เป็นอะไรที่ยากมากๆ ซึ่งถามว่าห่างดราม่าไปเลยมั้ย ก็ไม่ได้ห่าง ก็ยังมีดราม่ามาเรื่อยๆ แต่ก็เล่นดราม่าได้ แต่ถ้าเลือกได้ก็ขอเล่นบู๊ดีกว่าครับ (ยิ้ม)"

...

เรตติ้งละคร ตัวเลขที่ทำให้นักแสดงกดดัน

ละครจะเปรี้ยงหรือจะปังมันมีเรตติ้งเป็นตัวชี้วัด งานนี้เราเลยถามเอสตรงๆ ว่า มีความกดดันจากเรตติ้งละครหรือไม่ งานนี้พระเอกหนุ่มยิ้มให้กับเราก่อนตอบคำถามนี้ว่า 

"เอาตรงๆ ผมไม่กดดันเลยครับ เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ละครที่คิดว่าเรตติ้งจะดีก็ไม่ดี เรื่องที่ไม่คาดหวังเรตติ้งกลับกลายเป็นเรตติ้งดีที่สุด ไม่ใช่แค่ของช่องนะ แต่เป็นของประเทศเลย ทำให้ผมงงมาก

เพราะเหตุนี้มันจึงสอนผมให้รู้ว่าผลงานที่ออกสู้สายตาประชาชนนั่นคือผลงานที่ดีแล้ว ได้เห็นผลงานของตัวเอง มีคนดู และอินเรียกชื่อตามตัวละครที่เล่น อันนั้นคือรางวัล เรตติ้งเป็นแค่ผลพลอยได้"

แล้วเอสรู้สึกอย่างไร ที่ละครหลายๆ เรื่องถูกวัดความปังด้วยเรตติ้ง งานนี้เจ้าตัวก็ตอบด้วยท่าทีที่สบายๆ และอีกครั้งหนึ่งว่า 

"ผมไม่รู้สึกอะไรนะ อันนี้พูดตามความจริง อย่างเรื่องสารวัตรใหญ่ที่เรตติ้งดี เทรนด์ที่คนพูดถึงก็พอสมควร แต่เป็นละครน้ำดีที่มีเรตติ้งสูง อันนี้คือทำให้ผมดีใจแต่ตัวเลขก็เป็นเสียงสะท้อนว่าคนดูต้องการอะไรในช่วงนั้นก็เท่านั้นเอง

ถ้าเอาตัวเลขมาเป็นปัจจัยความสุขกำหนดตัวเราในการทำงาน เราจะไม่มีความสุขในการทำงานเลย ละครบู๊ที่ผมเล่นมาเรตติ้งปานกลาง แต่ผมมีความสุขทุกเรื่องที่ผมได้เล่นเลย

ทุกครั้งที่ไปกองมันรู้สึกสนุก แค่นี้ก็เหมือนได้รางวัลแล้ว รางวัลของงานคือผลของงาน ถ้าทำงานแล้วไม่มีความสุข ไปรอความสุขจากปลายทาง อันนั้นมันจะเป็นปัญหากับตัวเองที่เราเอาความสุขของตัวเองไปผูกไว้กับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ 

ผมเล่นละครบู๊ ผมมีความสุขมาก เหมือนมีคนมาจ่ายเงินให้ผมได้ไปเล่นสวนสนุก มันทำให้ผมแฮปปี้มากตั้งแต่วันที่ไปถ่าย เพราะฉะนั้นเรื่องเรตติ้งละครเลยไม่ได้สร้างความกดดันหรือความกังวลใจให้ผมเลย เรตติ้งไม่ได้ทำให้ผมทุกข์หรือสุขใจได้จริงๆ 

...

เอาจริงๆ ความรู้สึกนี้ผมเริ่มคิดได้เมื่อ 3-4 ปี หลังจากที่เข้าวงการมา พอเริ่มเห็นสัจธรรมของมัน เริ่มเข้าใจว่าตัวเองชอบเล่นละครแนวไหน พอได้เล่นแล้วมีความสุข หรือแม้กระทั่งเราคลิกและเข้าใจในตัวละครนั้นๆ เมื่อไหร่ มันก็จะแฮปปี้กับการทำงาน

เพราะรู้สึกว่าเราเข้าถึงตัวละคร สามารถที่จะถ่ายทอดเจตนารมณ์ของผู้เขียน ผู้กำกับ และผู้จัด ก็ถือว่าเราทำงานสำเร็จได้รางวัลแล้ว ไม่เก็บเอาเรื่องตัวเลขมาทำให้ตัวเองเครียด"

วงการบันเทิงไม่ง่ายอย่างที่คิด

จากนั้น เอส กันตพงศ์ ก็ได้เล่าให้ฟังถึงเส้นทางชีวิตของตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ด้วยความรู้สึกที่คิดว่าการแสดงละครไม่ได้ดูยากเท่าไหร่ แต่พอได้สัมผัสมันกลับไม่ใช่อย่างที่เอสคิดเอาไว้เลย

"ผมเริ่มต้นการทำงานในวงการบันเทิง ด้วยการที่มีพี่เอ ศุภชัย คอยให้การสนับสนุนตั้งแต่เข้าวงการบันเทิงมา หนทางในวงการบันเทิงที่ต้องต่อสู้เลยเป็นการที่ต้องต่อสู้กับตัวเองมากกว่า ต่อสู้กับการทำความเข้าใจในเรื่องของการแสดง

มันจะมีช่วง 2 ปีแรกที่ผมต่อสู้กับตัวเอง เพราะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ตัวเอง รู้สึกว่าไม่มีความสุขในการทำงาน เล่นละครแล้วไม่สนุก รู้สึกไม่ชอบ ไม่อินกับมัน มันขัดกับตัวเอง

...

จนทำงานมาถึงปีที่ 3-4 ที่เริ่มทำความเข้าใจ เริ่มเข้าใจและเริ่มสนุกกับมัน เริ่มทำงานแล้วมีความสุข เริ่มมีความสุขกับตัวเองมากขึ้น

เริ่มค้นพบว่าตัวเองชอบเล่นละครแนวไหน พอค้นพบก็ทำให้เริ่มสนุกกับการทำงานมากขึ้น สิ่งที่ผมทำคือปรับและจูนตัวเองให้เข้าใจงานที่ทำ"

เอสเล่าให้ฟังต่อว่า ตัวเขานั้นโชคดีที่เซ็นสัญญาปุ๊บก็ได้ละครในเย็นวันนั้นปั๊บ เพราะไม่มีพื้นฐานทางการแสดง เลยทำให้เขามาทำงานด้วยความทรมานไม่น้อยว่า 

"เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ผมต่อสู้กับตัวเองคือ ผมเล่นละครไม่ได้ ผมได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่เซ็นสัญญาเช้า เย็นได้เล่นละครเรื่องแรกเลยคือเรื่อง คุณชายตำระเบิด เล่นเป็นพระรอง แต่ว่าผมเรียนจบบริหารธุรกิจ ไม่เคยเรียนการแสดง ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย

หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ก็เปิดกล้องถ่ายทำ ผมไม่มีการไปเรียนการแสดงเลย พอไปทำงานมันเป็นอะไรที่ยากมากๆ แต่โชคดีที่มีคุณอาดวงดาวคอยสอนวิธีการแสดงให้กับผม ผมไม่รู้ศาสตร์และศิลป์ของการแสดงเลย ก็ใช้วิธีครูพักลักจำ

เล่นละครเรื่องแรกทรมานมาก ทรมานตัวเองมาก แล้วก็มาเรียนแอ็กติ้งตอนหลัง ได้ฟังสิ่งที่ครูสอนเลยทำให้ผมเข้าใจและปรับทัศนคติกับงาน และทำให้ผมก้าวผ่านความรู้สึกนั้นมาได้"

เพราะผมเป็นคนไม่ยอมแพ้

เราถาม เอส กันตพงศ์ ตรงๆ ว่า ชีวิตของเอสก็ดูมีทางเลือกมาก จะไปทำอะไรก็ได้ เพราะเป็นอีกคนที่มีต้นทุนชีวิตสูง ไม่เห็นจะต้องสู้ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รักหรือไม่ถนัดเลย แต่ทำไมถึงเลือกที่จะทำมันต่อ ทั้งๆ ที่ตอนแรกบอกว่าทรมาน งานนี้พระเอกหนุ่มยิ้มด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ และตอบคำถามนี้ว่า 

"เพราะผมเป็นคนไม่ชอบยอมแพ้ เป็นคนที่ตัดสินใจจะทำอะไรถ้ามันยังไม่ได้ดีก็จะไม่ยอมแพ้ และถ้าสมมติว่าเอาให้มันได้ดีและเต็มที่แล้ว แต่มันยังไม่ได้ดีก็ค่อยว่ากัน ซึ่งผมเคยคุยกับผู้ใหญ่เอาไว้ว่า ผมขอโอกาสอีกครั้งถ้ายังทำไม่ดี ผมจะพิจารณาตัวเอง

แต่ผมก็สามารถทำได้จนเป็นที่น่าพอใจของทุกฝ่าย และที่สำคัญคือตัวผมเอง เลยทำให้ตัดสินใจที่จะทำต่อ เพราะผมมีความฝันตอนเด็ก เป็นคนชอบดูหนังฮอลลีวูดมาก และมีคำถามว่าทำไมละครไทยไม่มีความหลากหลายประเภทมากกว่าที่มีอยู่ตอนนี้ ปัญหาคืออะไร

พอได้มีโอกาสก็อยากจะเข้ามาลอง เพื่อที่จะได้รู้ว่ามันมีมุมไหนที่เราจะพัฒนามันได้บ้าง และสิ่งที่ผมภูมิใจมากที่สุดคือละครเรื่องสารวัตรใหญ่ ที่หลายคนจะพูดกันว่าละครเอากล่องและละครเอาเงิน นั่นคือเรตติ้ง

ซึ่งละครแนวเอาเงินเอาเรตติ้งมันจะไม่ค่อยได้กล่อง แต่ถ้าเอากล่องจะเป็นละครแนวคุณภาพ สะท้อนสังคม สารวัตรใหญ่ เป็นละครเรื่องแรกที่ทำลายข้อจำกัดนั้น เป็นละครที่ได้ทั้งเงินและได้ทั้งกล่อง มันเลยทำให้ผมรู้ว่า จริงๆ เราทำได้ แค่ต้องทำการบ้านและมีวิสัยทัศน์มากขึ้น เลยเป็นสิ่งที่ผมพยายามทำต่อไป" 

มีธรรมะเป็นวัคซีนทางใจ

เพราะเป็นนักแสดงอยู่ในวงการบันเทิง งานนี้เหล่าดารานักแสดงจึงถูกหลายๆ คนวิจารณ์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น รูปร่าง หน้าตา การแสดง หรือแม้แต่เรื่องส่วนตัว งานนี้เอสโดนกระแสแบบนี้แล้วรับมือกับมันอย่างไร งานนี้เราได้รับคำตอบว่า 

"เรื่องนี้เป็นอารมณ์เดียวกันกับการจัดการทางความคิดเรื่องเรตติ้งครับ ผมใช้วิธีเดียวกันเลย เรื่องรูปร่างหน้าตา เรื่องการแสดง มันเป็นเรื่องมุมมองของแต่ละคน มันไม่สามารถบอกว่าได้ชัดเจนว่าคนนี้หล่อ คนนี้สวย

เราเป็นบุคคลสาธารณะ ถ้าเอาใจไปผูกกับคำคนเมื่อไหร่ จบเลย เพราะการจะเป็นคนสาธารณะก็ต้องยอมให้คนเขาวิจารณ์ได้ แต่ถ้าแบกเอาคำวิจารณ์เอาไว้ก็เหมือนกับไปยืนอยู่ในโคลนเลน

แต่คำติคำชม ติเพื่อก่อ กับติเพื่อทำลาย มันต่างกันนะ ถ้าติเพื่อก่อฟังแล้วเอามาปรับใช้ได้ ผมจะทำ แต่ถ้าติเพื่อทำลาย ติแล้วไม่สร้างสรรค์ให้เราได้พัฒนาไปต่อ ผมก็จะปล่อยผ่านไปทันที 

ช่วงแรกที่เจอ โชคดีที่ผมมีธรรมะเป็นวัคซีน เพราะพื้นฐานผมศึกษาธรรมะมา เพราะว่าผมเป็นไมเกรนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ และเป็นไฮเปอร์เวนติเลชัน ตอนอายุ 15 เลยทำให้ผมเข้าหาธรรมะแบบจริงจัง

อาการไมเกรนเกิดจากความเครียด ไปหาหมอ หมอบอกว่าโรคนี้ไม่มีทางรักษาหาย แต่ความเครียดเกิดจากจิตของเราเป็นคนเลือกว่าจะเครียดหรือไม่เครียด

เหมือนกับเราจะแบกเอาคำวิจารณ์นี้มาทำให้เราเครียดหรือไม่เครียด เก็บมาเป็นอารมณ์หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง และผมก็เลือกวิธีนี้ที่จะเอามาจัดการ 

โชคดีที่มีวัคซีนทางใจก่อนเข้าวงการ ถ้าไม่มีสิ่งนี้ก็คงจะแย่ หลายครั้งที่เราเห็นคนในวงการบันเทิงออกมาโพสต์ระบายความรู้สึกของตัวเอง หรือถึงขั้นฟ้องร้องกัน อันนี้ผมไม่โทษเขานะ

แต่อยากให้ทุกคนรู้ว่าความรู้สึกที่เจอมันหนักหนา โดยเฉพาะยุคโซเชียล ชมก็ชมสุด ด่าก็ด่าสุด ทำไมเราไม่มองให้เป็นกลาง ถ้าเราเอาตัวเองไปผูกกับคำพวกนั้น มันอาจจะเหมือนง่าย แต่จริงๆ มันทำยากนะ" 

ป่วยหนักจนดื้อยา ใช้ธรรมะรักษาจนดีขึ้น

จากนั้น เอส กันตพงศ์ เล่าให้เราฟังต่อถึงอาการป่วยไฮเปอร์เวนติเลชันว่าอาการหนักจนต้องเข้าห้องไอซียู และใช้เครื่องช่วยหายใจ เพราะเหตุนี้จึงทำให้เขาหันหน้าเข้าหาธรรมะอย่างจริงจัง เพื่อรักษาอาการป่วยของตัวเอง

"ช่วงอายุ 18 ชีวิตผมโลดโผนพอสมควร ตอนที่เป็นไฮเปอร์เวนติเลชัน ผมก็พยายามแสดงออกให้พ่อแม่เห็นว่าเรากำลังมีปัญหา ก็แสดงมันออกมาทุกทาง จนได้มาพบกับธรรมะ

ผมเป็นไมเกรน เป็นไฮเปอร์เวนติเลชัน จุดที่ต้องเข้าไอซียูเวลาที่ไฮเปอร์ขึ้น ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อให้คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดบาลานซ์กัน ที่เขาเรียกโรคมือจีบ

จะเป็นอัมพาตทั้งตัว ขยับตัวไม่ได้ ขยับได้แค่ลูกตา มือชาไปหมด รู้สึกว่าไม่ใช่ อายุ 25 เส้นเลือดในสมองต้องแตกตายแน่ๆ แล้วคุณหมอบอกว่าไม่มีทางหาย และบอกว่าถ้าเครียดก็เป็นอีก ก็เลยเป็นจุดที่ทำให้เข้ามาศึกษาธรรมะ

นั่นคือจุดเริ่มต้น เพราะแค่อยากจะรักษาโรคที่เป็นอยู่เท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการหาธรรมะเพื่อให้ถึงที่สุดของธรรมะ และพอเริ่มอาการดีขึ้น โดยไม่ต้องทานยาแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ผมทานยาจนดื้อยา"

แม้ตอนนี้อาการไฮเปอร์เวนติเลชันของ เอส กันตพงศ์ จะไม่กลับมานานแล้ว แต่มีครั้งหนึ่ง หลังจากที่เอสเข้าสู่วงการบันเทิง และเล่นละครแนวดราม่า อาการไฮเปอร์เวนติเลชันได้เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้งหนึ่ง

"หลังจากนั้นผมเคยมีอาการนั้นเกิดขึ้นอีกตอนเล่นละครเรื่อง เรือนล้อมรัก ถึงแม้จะเป็นการแสดง แต่พอต้องเล่นดราม่าเราก็ต้องทำให้มีอารมณ์นั้นเกิดขึ้น

และตอนนั้นเป็นละครเรื่องที่ 2 ของผม ผมยังแยกอารมณ์ไม่เก่ง พอเล่นแล้วอาการมันมา ก็รีบขอตัวเอาตัวเองออกมาก่อน

และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ชอบเล่นดราม่าด้วยครับ แต่นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมมีอาการหลังจากนั้นก็จะตัดออกจากตัวละครทันทีเมื่อได้ยินเสียงคัต

แต่ก่อนเริ่มมันจะมีอาการบอก ตัวเหมือนจะเป็นเหน็บชา พอมันเริ่มยิบๆ จะรู้ตัวว่าเราถลำลึกไปกับบทมากไปแล้ว ก็จะพยายามมากำหนดลมหายใจ" 

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun