- รักในการร้องเพลงแต่ไม่เคยคิดประกวด สุดท้ายได้เป็นนักร้องเพราะอัดคลิปลงโซเชียล
- อยู่ในวงการบันเทิงเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในความฝัน ได้รับโอกาสทั้งเป็นนักร้องนักแสดง
- สูงสุดคืนสู่สามัญ อนาคตขอกลับบ้านเกิด อยู่อย่างพอเพียง
เป็นอีกหนึ่งหนุ่มหล่อฮอตในวงการเพลงลูกทุ่ง สำหรับ เต๋า ภูศิลป์ วารินรักษ์ นักร้องลูกทุ่งหนุ่มจากค่ายแกรมมี่ โกลด์ ที่นอกจากจะมีผลงานเพลงลูกทุ่งมากมาย อาทิ ก้อนขี้ฟ้า, ความคึดฮอดบ่เคยพาไผกลับมา, อ้อมกอดเขมราฐ ฯลฯ เต๋ายังเป็นนักแสดงละครดังหลายเรื่อง และล่าสุดเป็นที่พูดถึงอีกครั้งกับบท “ไอ้ยอด” ในละครดัง “มนต์รักหนองผักกะแยง” ทางช่อง 3 รวมไปถึงอีกหนึ่งผลงานละคร “ผู้ใหญ่สันต์กำนันศรี” ทางช่องวัน ซึ่งเป็นละครที่เรตติ้งดีทั้ง 2 เรื่อง
บันเทิงไทยรัฐออนไลน์พาไปทำความรู้จักกับ เต๋า ภูศิลป์ กับเส้นทางชีวิตในวงการบันเทิงที่เขาบอกว่าเขาเป็นเพียงคนธรรมดา แต่เหมือนได้ใช้ชีวิตอยู่ในความฝันตัวเอง เพราะได้รับโอกาสดีๆ มากมาย กลายเป็นนักร้องนักแสดงชื่อดังของเมืองไทย แต่เขาตระหนักดีว่าเมื่อถึงจุดสูงสุดก็ต้องคืนสู่สามัญ และเลือกที่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายที่บ้านเกิดของตัวเองในอนาคต
...
อาชีพในฝัน
เมื่อถามเต๋า ภูศิลป์ ถึงชีวิตสมัยเด็ก ชอบร้องเพลงอยู่แล้วรึเปล่า เต๋าบอกว่านักร้องเป็นอาชีพที่ไกลตัวมาก เป็นอาชีพที่เป็นความฝัน “ผมเป็นคนที่ชอบร้องเพลงก็จริง แต่ในอดีตผมไม่เคยประกวดร้องเพลง เพราะผมไม่ใช่คนเสียงดี ผมกลัว แต่ในขณะเดียวกันเมื่อ 6-7 ปีที่ผ่านมา โซเชียลเริ่มบูมในเมืองไทย ผมก็อัดคลิปลงโซเชียลมีเดีย และมีผู้ใหญ่ทางแกรมมี่ โกลด์ มาเจอ ก็เลยได้มีโอกาสเข้าแกรมมี่ เหมือนจับพลัดจับผลูครับ
ดังนั้นผมก็เลยบอกว่าผมใช้ชีวิตทุกวันนี้เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในความฝันตัวเอง อยู่บนสวรรค์ที่มีเทวดานางฟ้าในวงการบันเทิงเยอะแยะมากมาย เป็นอาชีพที่ผมไม่คิดว่าจะได้มาใช้ชีวิต ก็ทำมาหาเลี้ยงตัวเองได้จนถึงทุกวันนี้ ผมเรียนครูมา ผมอยากเป็นครู อาจารย์ ถ้าไม่งั้นก็จะกลับไปอยู่บ้านทำไร่ไถนา ทำธุรกิจสูบส้วมของที่บ้าน และปล่อยให้การร้องเพลงเป็นอาชีพในฝันของเรา ผมเลยพูดว่าผมใช้ชีวิตบนความฝันที่เป็นจริงของผมครับ”
ส่วนความชอบในการร้องเพลงตั้งแต่เด็ก เต๋าเล่าว่าแม้จะไม่เคยไปประกวดร้องเพลงเป็นเรื่องเป็นราว ก็เคยไปร้องเพลงอย่างจริงจังทั้งในโรงเรียนและงานต่างๆ “ผมเป็นนักร้องตามวงของโรงเรียน เป็นวงดนตรีลูกทุ่ง วงโปงลาง เวลามีงานบุญงานบวชต่างๆ ก็ไปร้องเพลง ญาติพี่น้องจะรู้ว่าเป็นนักร้องตามงานเลี้ยง พอมัธยมปลายก็ได้มีโอกาสไปร้องเพลงที่ร้านหมูกระทะ ได้เงินวันละ 300 บาท ดีใจมากเพราะเราหาเงินได้ด้วยตัวเอง
แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยประกวด เพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องประกวดขนาดนั้น เพราะไม่ชอบการแข่งขัน เป็นคนกลัว คิดว่ายังไงก็คงไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นศิลปินหรอก ตอนนั้นยังเด็ก คิดว่าเป็นอาชีพที่เป็นรายได้เสริมมากกว่า ตอนที่อัดคลิปร้องเพลงลงโซเชียล ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 3 ที่กรุงเทพฯ แล้วคิดถึงอีสานมาก ตอนนั้น 3 ปีเราไม่ได้ร้องเพลงเลยเพราะเรามาเรียน ไม่ได้ทำงานตามร้านอาหารแล้ว ตั้งใจเรียนอย่างเดียว
เราคิดถึงบ้าน เลยร้องเพลงอีสานดีกว่า ก็กลายเป็นไวรัลในช่วงนั้น คนแชร์เยอะมาก เป็นสาเหตุที่ทำให้ได้เข้าวงการมาจนถึงปัจจุบันครับ ตอนที่แกรมมี่ โกลด์ ติดต่อมาก็งงมากครับ ไม่เชื่อด้วย เพราะคิดว่าเขาหลอก แต่พอพี่เขาบอกว่าลองมาสกรีนเทสต์ดูซิ เราก็ลองมาดู ก็อ้าว จริงๆ ด้วย คือมาที่ตึกแกรมมี่เลย ก็รู้สึกว่าอะไรมันจะง่ายขนาดนั้น”
วันที่ฝันเป็นจริง
จากนั้นเต๋ากลายเป็นศิลปินลูกทุ่งค่ายแกรมมี่ โกลด์ แบบเต็มตัว ซึ่งในช่วงแรก เต๋าได้ร้องเพลงคัฟเวอร์ “โฉมนาง” และ “ดอกจานบาน” ในอัลบั้ม “ฝากไว้ในแผ่นดิน พงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา หอมดอกผักกะแยง 1 และ 2” รวมไปถึงเพลง “นั่งเฝ้าเขาจีบ” ในอัลบั้ม “20 ปี แกรมมี่โกลด์ เพลงของฉัน เพลงของเธอ เพลงของเรา ชุดที่ 2” ซึ่งเป็นเพลงโปรเจกต์พิเศษ รวมอัลบั้มกับศิลปินรุ่นพี่ในค่ายแกรมมี่ โกลด์ อีกหลายคน
ซึ่งเต๋าบอกว่า “ดีใจและตื่นเต้นมาก เพราะว่าเราได้เจอกับซุปเปอร์สตาร์ที่เราชอบครับ ไม่ว่าจะเป็นพี่ต่าย อรทัย, พี่ไผ่ พงศธร, พี่ไมค์ ภิรมย์พร, พี่มนต์แคน แก่นคูณ และอีกหลายๆ คนที่เราเคยเห็นในทีวี เคยฟังเพลงทางวิทยุ ไม่คิดว่าจะได้มาร่วมงานในค่ายเดียวกัน รู้สึกว่าเหมือนฝันมากเลยครับ ตอนที่เจอผมเขียนไดอารี่ไว้ด้วยครับ เขียนไว้ตั้งแต่ปี 57 ทุกวันนี้พอเก็บบ้านช่วงโควิด พอย้อนกลับไปดูก็เฮ้ย สนุกดี รู้สึกว่าเป็นการบันทึกความทรงจำของเด็กบ้านๆ คนนึงที่มีโอกาสเข้ามาใช้ชีวิตที่ตึกแกรมมี่กับศิลปินที่เราชื่นชอบครับ ฟีดแบ็กตอนนั้นที่ปล่อยเพลงไปก็ดีนะครับ เราเป็นศิลปินใหม่ คนก็จะตื่นเต้นว่ามีศิลปินใหม่นะ”
...
เป็นนักร้องอย่างเดียวไม่พอ เพราะหลังจากนั้นในปี 2560 เต๋ามีโอกาสได้เล่นละครเรื่องแรก คือละคร “สงครามเพลง” ทางช่อง 3 SD คู่กับเปาวลี พรพิมล ซึ่งเต๋าเผยถึงความรู้สึกหลังได้โอกาสเล่นละครว่า “ก็งงครับ งงมาก มันเป็นชีวิตที่เหมือนฝันมาก เราก็งงแป๊บนึงแต่ก็เดินหน้าต่อไป ก็ต้องทำงานและใช้ชีวิตต่อไป ไปเรียนคิวบู๊ รู้สึกว่าท้าทายสำหรับเรามาก เราก็ไม่คิดว่าเราจะได้เล่นบทบาทต่างๆ บู๊ระเบิดภูเขาเผากระท่อม เรื่องแรกก็เล่นละครค่ายอาหลองเลย ซึ่งเป็นของพี่กอล์ฟ (กัญจน์ ภักดีวิจิตร) เป็นผู้จัด ก็ตื่นเต้นมากครับ”
เต๋าเล่าต่อว่าละครส่วนมากที่เขาได้เล่น ร้อยละ 90 จะเป็นละครเพลง แต่จะมีละครเรื่อง “อสรพิษ” ทางช่องวัน ที่ไม่ใช่ละครเพลง ไม่ได้ร้องเพลงเลย ถือเป็นการทดสอบบทบาทของการเป็นนักแสดงพอสมควร แต่ในขณะนั้นก็ทำงานเพลงควบคู่กันไปด้วย “ตอนนั้นงานเยอะมาก ไปต่างประเทศปีละ 2 ครั้ง ครั้งละเดือน เพื่อจะไปร้องเพลงตามยุโรปในช่วงนั้น และมีโอกาสออกอัลบั้มแรกในชีวิตด้วย ก็ดีใจครับที่เราใช้ชีวิตในความฝัน ได้เงินมาเยอะมาก เราก็ส่งให้แม่เลย คือผมเป็นคนเก็บเงินไม่อยู่เลย ดีใจที่มีโอกาสทำมาหากินในอาชีพที่เป็นความฝันของเราครับ”
...
เมื่อถามว่าชอบบทบาทไหนมากกว่ากัน ระหว่างเป็นนักร้องและนักแสดง เต๋าตอบว่าชอบทั้งสองบทบาท เพราะมีความเหมือนกันในเรื่องการถ่ายทอดอารมณ์ ถ้าเป็นนักแสดงก็ถ่ายทอดทางสีหน้าแววตา กิริยาท่าทาง ถ้าเป็นนักร้อง ถ้ามีคนได้ฟังเพลงของเราก็จะได้รับอารมณ์เพลงที่ถ่ายทอดผ่านทางน้ำเสียง รู้สึกว่าเป็นศาสตร์ที่สามารถลื่นไหลหากันได้ ทุกวันนี้ยังถ่ายละครและร้องเพลงด้วยตลอด
ใช้การเรียนเป็นประโยชน์กับอาชีพ
การเป็นทั้งนักร้องและนักแสดงในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังต้องเรียนต่อจนสามารถจบปริญญาโท หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สหสาขาวิชาการจัดการทางวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การแบ่งเวลาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งการบาลานซ์ทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เต๋าก็สามารถทำได้ดีทีเดียว
“ถามว่าแบ่งเวลายังไง คืออย่างน้อยเดือนนึงจะมี 8 วัน ให้ได้รับงานอีเวนต์ คอนเสิร์ต ถ่ายละคร 2 เรื่องก็ไม่ได้หนักเลย บางทีเราก็ขอคิวว่างไว้ บทเราบางทีไม่ได้ไปหลายโลเกชั่นเหมือนนักแสดงท่านอื่น เราก็เลยจะได้ไปร้องเพลงทุกวันศุกร์ เสาร์ แต่วันหยุด วันสำคัญ ปีใหม่ สงกรานต์ ลอยกระทง เป็นวันที่เราต้องไปร้องเพลงอยู่แล้ว ทางกองก็เข้าใจ งานร้องเพลงก็ไม่ได้หายไปซะทีเดียว
ส่วนเรื่องการเรียนปริญญาโทที่จุฬาฯ ผมจบมาปีกว่าแล้ว ตอนนั้นก็เหนื่อยมากจริงๆ ช่วงนั้นอายุ 24-25 ก็ฟิตครับ เรารู้สึกว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกวันนี้อยากจะเรียนต่อ การเรียนได้วุฒิก็จริง แต่การเรียนนอกระบบก็ทำให้เราได้ความรู้เหมือนกัน ตอนนั้นก็หนักมากครับ เพราะไหนจะละคร ไหนจะเรียนปริญญาโท ไหนจะร้องเพลง แต่มันก็ผ่านมาได้ ช่วงนั้นก็รากเลือดเหมือนกันครับ”
...
เหตุผลที่เลือกเรียนด้านนี้ เต๋าบอกว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานได้ ก็คืองานร้องเพลง หรือในอนาคตถ้าจะกลับบ้านเกิด ก็จะสามารถจับหลักได้ว่าที่บ้านมีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่จะดึงขึ้นมาเป็นจุดเด่นในชุมชน “ผมก็อยากจะศึกษามานานมากแล้วในเรื่องการจัดการวัฒนธรรมที่เป็นระบบ พอเราได้เรียนโท เราก็ได้เรียนวิชาการตลาด บัญชี การจัดการ ซึ่งสามารถจัดการตัวเองได้ในพาร์ตของศิลปิน ซึ่งผมไม่มีผู้จัดการ ผมก็ดูแลตัวเอง รับงานเอง ดูแลภาษีของตัวเอง ไปงานก็จะจ้างน้องคนนึงช่วยดูเอกสารให้
แต่เรื่องงานต่างๆ ผมใช้ความรู้ที่ได้รับจากการเรียนนี่แหละครับ ดูว่าเราอยู่จุดไหนในวงการ สามารถไปต่อได้ที่งานแบบไหน ทุกวันนี้โอทอปบูมมาก มันคือโจทย์ที่เราจะต้องเติมเต็มตรงนั้นในฐานะการเป็นศิลปิน ผมก็เลยได้รับฉายาจากแฟนๆ ในโซเชียลว่าเป็นศิลปินโอทอปในตอนนั้น เพราะส่วนใหญ่จะได้งานโอทอปซะมากกว่า ซึ่งมันเกี่ยวเนื่องจากการจัดการตัวเอง ทำให้รู้สึกว่าเราเจาะตลาดผู้บริโภคงานเราได้ เราเหนื่อยน้อยลง เท่านี้ก็โอเคแล้ว”
โอปป้าวงการลูกทุ่ง
กับการแซวของแฟนๆ ที่มองว่าเต๋าเป็นโอปป้าวงการลูกทุ่งหมอลำ เต๋าหัวเราะเขินก่อนตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน แล้วแต่คนจะมอง บางคนมองว่าเราเป็นไทบ้าน แล้วแต่บทบาทที่ได้รับมากกว่า บางบทบาทก็มีความขี้เล่น บางบทบาทก็เป็นไทบ้าน แต่พอเราเข้ามาในพาร์ตคอนเสิร์ต ร้องเพลง ออกรายการทีวี ก็มีการแต่งหน้าทำผมที่ดูมีความโอปป้ามากขึ้นรึเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ถามว่ารู้สึกยังไงที่มีคนชื่นชม ก็ดีใจมากๆ ที่เราได้มีโอกาสใช้ชีวิตตรงนี้ ผมคิดเสมอว่าเราเป็นแค่คนธรรมดาที่ได้มาทำอาชีพศิลปิน การมีคนรักคนเมตตาคือกำลังใจ เป็นกำไรของเรา เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตถ้ามีศิลปินเบอร์ใหม่ๆ มา เขาก็อาจจะไปนิยมชมชอบศิลปินเบอร์ใหม่ๆ ตามกระแส ซึ่งเราไม่สามารถบังคับจิตใจใครได้ ผมก็พยายามให้สัจธรรมกับตัวเองว่าเก่าไปใหม่มาตลอด ก็เลยไม่ยึดติด
แฟนคลับรักเราก็ดีใจมากๆ แต่ถ้าในวันนึงเขาไม่ได้รักเราแล้ว ไปอยู่กับคนอื่น ชื่นชมคนอื่น เราก็ดีใจและยินดี เพราะสุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนครับ ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาทครับ ขอบคุณที่ได้ประกอบอาชีพนักร้อง มีคนนิยมชมชอบถือว่าเป็นกำไร เป็นความสุขใจในการทำงาน เติมพลังในการทำงานต่อไปครับ”
ถึงจะเป็นหนุ่มหล่อฮอตในวงการลูกทุ่ง แต่ในเรื่องความรัก แม้ก่อนหน้านี้จะมีเข้ามาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน แต่ปัจจุบันนี้หนุ่มคนนี้ยังโสดสนิท เพราะโฟกัสเรื่องงานมากกว่า “จริงๆ มีอยู่ตลอดนะครับ เพราะเราอายุ 29 จะ 30 แล้ว ก็ผ่านการมีความรักมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ วัยรุ่น จนถึงตอนนี้ที่เป็นวัยทำมาหากิน แต่ปัจจุบันไม่ได้มีใครมานานแล้ว อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้ทำงาน 7 วันติด เราเคยโฟกัสกับงานแล้วมีความสุขในการทำงาน ตื่นตี 5 เพื่อไปกอง 6 โมงครึ่ง 4 ทุ่มเลิกกอง 5 ทุ่มถึงบ้าน
ดังนั้นเวลาให้ตัวเองผมยังไม่มีเลย ผมเลยรู้สึกว่าถ้ายังดูแลใครดีไม่พอ เราก็อย่าเพิ่งดูแลดีกว่า แต่ไม่ได้ปิดโอกาสให้ตัวเองครับ เราก็พร้อมที่จะมี แต่ถ้ามีแล้วไม่ใช่ เราจะใช้ชีวิตบนความทุกข์ทำไม อันนั้นผมไม่เรียกว่าความสุข ความรักต้องมาพร้อมกับความสุขครับ ขอแค่เจอคนที่ใช่ แล้วเราจะมีความสุขกับมัน แต่ถ้าเราเจอคนที่เราหลง มันจะหลงแค่แป๊บนึง พอหลังจากนั้นก็ไม่มีความสุขแล้ว ผมเคยเจอมาแล้วไง ผมเลยรู้สึกว่าไม่อยากกลับไปเจ็บแล้วครับ”
ผลงานละครแน่น
เต๋าเผยถึงผลงานปัจจุบันกับละครเรื่องล่าสุด ทั้ง “มนต์รักหนองผักกะแยง” ทางช่อง 3 และ “ผู้ใหญ่สันต์กำนันศรี” ทางช่องวัน 31 ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่ผลงานละครออนแอร์ในช่วงเวลาใกล้กัน เรียกว่าผลงานแน่นเลยทีเดียว โดยเต๋าพูดถึงเบื้องหลังการถ่ายละครมนต์รักหนองผักกะแยงให้ฟังว่า “เรื่องนี้ผมแสดงเป็นไอ้ยอด เป็นคนชาวหนองกะแยง ดีใจที่ได้มีโอกาสแสดงละครเรื่องนี้ ได้ร่วมงานกับค่ายแอ๊กอาร์ตฯ พอได้ร่วมงานกับพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ รวมถึงพี่แบร์ (ณเดชน์ คูกิมิยะ) น้องโบว์ (เมลดา สุศรี) และนักแสดงอีกหลายท่าน ก็ดีใจ ไม่กดดัน
เราคิดว่าเขาเป็นนักแสดงเบอร์หนึ่ง แต่พอเราอยู่ในกอง ใช้ชีวิตในกอง พี่แบร์เป็นพี่ชายคนนึงที่น่ารักมากๆ รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ พี่อ๊อฟก็ใจดีมาก พอได้อยู่ด้วยกันในเวลาสั้นๆ ก็รู้สึกสนิทและผูกพันกันครับ ตอนรู้ว่าจะได้ร่วมงานกับพี่แบร์ โห...ตื่นเต้นมากครับ ได้แสดงกับพี่แบร์เลยนะ เราได้ยินชื่อเสียงเขา ดูผลงาน แต่ไม่ได้กดดันอะไรมาก เจอพี่แบร์ครั้งแรกเขาก็มากอดเลย เป็นการละลายพฤติกรรม ทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นยอด และพี่แบร์เป็นไอ้เขียว เพื่อนของเรา ทำให้การถ่ายทำไม่กดดันเลย
กับน้องโบว์ก็น่ารักมากครับ เป็นนักแสดงที่มากความสามารถ นอกจากเป็นนางเอกแสดงได้ดีมากสมบทบาทแล้ว ยังเป็นนางแบบ นักร้องด้วย แล้วเสียงเพราะมาก เป็นนางเอกที่มีความสามารถรอบด้าน พอได้ร่วมงานน้องน่ารักมาก เป็นกันเอง ขี้เล่น มีความสามารถรอบด้าน พอละครจบก็ยังส่งคลิปตลกให้กันตลอด สัมผัสได้ว่าเราเหมือนเป็นเพื่อนกันครับ”
ส่วนละคร “ผู้ใหญ่สันต์กำนันศรี” เต๋าเล่าว่า “เรื่องนี้เล่นเป็นเพื่อนพี่กัน (นภัทร อินทร์ใจเอื้อ) เป็นเพื่อนพระเอก 2 เรื่องเลย (ยิ้ม) เรื่องนี้ก็น่ารักครับ เป็นการทำงานที่สนุกสนาน ในกองก็จะเล่น Tik Tok ตลอด โดยมีพี่นุ้ย สุจิรา จะเล่นติ๊กต๊อกเยอะมาก เป็นอีกเรื่องที่ผ่อนคลายครับ เราได้พูดภาษาอีสานด้วย บทบาทเรื่องนี้ต่างจากเรื่องมนต์รักฯ เรื่องนี้รับบทเป็นตำรวจในดอนแจ่ม เป็นที่เกิดเหตุในเรื่อง ต้องใส่เครื่องแบบ มีความคีพลุคสูงกว่าเรื่องมนต์รักหนองผักกะแยงเยอะเลยครับ มีความทะมัดทะแมง มีปมในเรื่องความรักกับแฟนเรา เราไปคบกับลูกสาวผู้บังคับบัญชา ก็ค่อนข้างจะดราม่า
ก็ท้าทายความสามารถ เพราะว่าผมเป็นนักร้อง ไม่คิดว่าจะเล่นละคร พอได้มาเล่นก็ทำความเข้าใจในงานที่เราได้รับมอบหมาย พยายามเปิดใจ ปกติผมเป็นคนปลง ไม่ร้องไห้กับเรื่องอะไรต่างๆ เพราะมองว่าเป็นสัจธรรม พอมาเล่นละครมันคิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะตัวละครเป็นมนุษย์คนนึง มีรักโลภโกรธหลง เราก็พยายามคิดไปตามตัวละคร ก็เล่นไปตามธรรมชาติของมันเองครับ ส่วนฟีดแบ็กดีนะครับ ไปไหนคนก็เรียกหมู่เต้ตลอด เรตติ้งก็ดีครับ ได้ 4-5 ถือว่าน่าพอใจครับ”
ไม่ทิ้งงานเพลง
มีผลงานละครออกมาต่อเนื่อง แต่ในเรื่องงานเพลงเต๋าก็ยังไม่ทิ้ง เพราะแม้จะเป็นนักแสดง แต่ก็ยังได้ร้องเพลงประกอบละครด้วย ซึ่งเต๋าบอกว่ารู้สึกผ่อนคลาย ถ้าเป็นนักแสดง 100% ไม่มีร้องเพลง จะทำให้รู้สึกตะขิตตะขวงใจ เพราะไม่ได้เป็นนักแสดงเต็มร้อย แต่พอได้ร้องเพลงด้วยก็ได้แสดงความเป็นนักร้องออกมา ทำให้รู้สึกมีความสุขในการทำงาน ร้องเพลงให้คนดูได้ชม ทำให้เขารู้ว่าเต๋ายังร้องเพลงได้
นอกจากนี้ เต๋ายังมีผลงานเพลงล่าสุดมาฝากกันด้วย โดยเป็นการทำเพลงโปรเจกต์พิเศษ “รักสามเศร้า” โดยเต๋าได้มาร้องคัฟเวอร์เพลงรักเศร้าๆ ร่วมกับ 2 ศิลปินลูกทุ่งสาว ทั้งเปาวลี พรพิมล และเอิ้นขวัญ วรัญญา ซึ่งเต๋าเผยถึงโปรเจกต์นี้ว่าเพิ่งปล่อยเพลง “ชู้ในใจ” และมีเพลงคัฟเวอร์อีก 5 เพลงที่จะปล่อยในปีนี้ นอกจากนี้ยังมี 1 ซิงเกิลหลัก คือเพลง “บ่ไปกรุงเทพได้บ่” ซึ่งเพลงนี้ยังไม่ได้ถ่ายมิวสิกวิดีโอเพราะถ่ายไม่ได้ แต่อัดเสียงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แฟนๆ น่าจะหายคิดถึงแน่นอนระหว่างรอชมละครเรื่องใหม่ที่ตอนนี้ถ่ายค้างไว้ คือ “โนราห์สะออน” ทางช่องวัน
จากนั้นเต๋าเล่าถึงการร่วมงานกับเปาวลีและเอิ้นขวัญว่า “ก็เป็นโปรเจกต์พิเศษ ซึ่งก็ได้มีโอกาสร่วมงานกับเพื่อนเพราะอายุเท่ากันทั้ง 3 คนเลย ได้มีโอกาสร้องในบทบาทรักสามเศร้าตามแบบฉบับของศิลปินแต่ละคน ซึ่งก็มีเพลงรวม 1 เพลง คือ “ชู้ในใจ” ที่ร้องพร้อมกัน 3 คน จะมีเพลงแยกอีกครับ คนละ 3 เพลง การทำงานค่อนข้างราบรื่นครับ เพราะด้วยความที่ทำงานกับเพื่อน มีแต่ความสนุก ส่วนเพลงอื่นๆ เดี๋ยวจะทยอยปล่อยครับ ก็ขอแค่ได้ทำเพื่อมีอะไรให้แฟนเพลงได้รับชมในช่วงโควิด เพราะเราก็ทำไว้ตั้งแต่ก่อนมีโควิดระบาดหนัก ถือว่าโชคดีครับ”
ส่วนผลกระทบจากโควิดในฐานะนักร้องนักแสดง เต๋าบอกว่าได้รับผลกระทบ 100% เพราะอาชีพนี้เหมือนเป็นฟรีแลนซ์ มีรายได้จากการว่าจ้าง แต่เตรียมตัวเตรียมใจตั้งแต่โควิดระบาดรอบแรก ถือเป็นบทเรียนให้ตัวเองและใครหลายคนในการใช้ชีวิต “ผมมีแผนสำรองตั้งแต่ช่วงแรก พยายามเก็บเงิน ตอนนี้ก็ใช้เงินตัวเอง ก็ภาวนาขอให้กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมในเร็ววันครับ แล้วก็มีธุรกิจสูบส้วมของที่บ้านครับ ผมเกิดและเติบโต เรียนจบมาได้ก็เพราะเงินจากธุรกิจสูบส้วมนี่แหละครับ ถ้าอนาคตมันจะแย่ลงจริงๆ ก็คงได้กลับไปทำธุรกิจของที่บ้าน ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ทำให้เกิดและเติบโตมาบนโลกใบนี้ครับ”
อนาคตกลับบ้านเกิด
แม้การทำงานในวงการบันเทิงสำหรับเต๋าเป็นเหมือนการใช้ชีวิตอยู่ในความฝันของตัวเอง แต่ในอนาคตข้างหน้า เต๋าบอกว่าไม่ได้คิดที่จะอยู่กรุงเทพฯ ไปตลอด เพราะเขาวางแพลนแล้วว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเรียบง่าย “อย่างที่บอกว่าเราใช้ชีวิตในความฝันที่เป็นจริง ผมก็จะทำมาหาเลี้ยงชีพเป็นศิลปินนักร้องไปเรื่อยๆ ตราบใดที่พี่น้องแฟนคลับแฟนเพลงแฟนละคร รวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่ยังให้โอกาสอยู่ ผมก็จะทำหน้าที่นี้ไปเรื่อยๆ
แต่สุดท้ายสูงสุดก็คืนสู่สามัญ ไม่รู้ว่าจะช้าหรือเร็ว ผมก็เตรียมตัวที่จะกลับบ้านที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อจะทำการเกษตรพอเพียง ก็จะทำผักปลอดสารพิษ หรือมีร้านกาแฟ ขายของที่ระลึกในชุมชน อยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่เป็นหนี้สิน อันนั้นเหมือนเป็นการเกษียณอายุในวงการของผม น่าจะอายุประมาณ 35-40 ปี ถ้าไม่มีคนจ้างแล้วนะ แต่ถ้ายังมีพี่น้องแฟนเพลงให้การตอบรับ ผมก็ยังจะไปต่อ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็วางแพลนไว้แล้วครับในการถมที่ เนื่องจากในสถานการณ์โควิดด้วย มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าสุดท้ายเราต้องอยู่กับธรรมชาติพอเพียงดีที่สุดครับ"
เมื่อถามว่าศึกษามานานรึยัง เต๋าบอกว่าศึกษามาจากการเล่นละคร เพราะในช่วงหลังๆ ได้เล่นละครที่เกี่ยวกับการเกษตรมากขึ้น ทำให้รู้สึกอิน เราได้ไปถ่ายจากสถานที่จริง บทก็สอนในการรักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อยู่อย่างพอเพียง "ถามว่าจะเริ่มทำควบคู่กับงานไปเลยมั้ย น่าจะเร็วๆ นี้นะครับ มีการวางแพลนแล้ว น่าจะปีหน้าครับ ตอนนี้เริ่มถมที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ลงดีเทลลึกอะไร"
จากนั้นเผยอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ตัดสินใจวางแพลนเรื่องกลับบ้านไว้ว่า "โดยส่วนตัวแล้วผมใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ คนเดียว ที่บ้านอยู่ต่างจังหวัดหมดเลย ไม่มีใครอยู่กับผม ผมเลยรู้สึกว่าในอนาคตจะต้องขายบ้านขายคอนโดทิ้ง และกลับไปอยู่ที่อุบลฯ อยู่แล้ว ที่ซื้อบ้านตอนนั้นเพราะว่าอยากให้ครอบครัวมาอยู่ด้วย แต่ครอบครัวไม่มาอยู่ด้วยสักคน
สุดท้ายก็คงต้องกลับบ้าน จะช้าหรือเร็วก็ต้องกลับครับ ก็ไม่เสียดายหากจะต้องขายจริงๆ เพราะเราใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ คุ้มมากแล้วครับ ส่วนแฟนคงต้องไปหาแถวบ้านเอา เพราะตอนนี้ยังรู้สึกว่ายังได้อยู่ แต่สุดท้ายก็คงต้องหาคนที่รักเราและเข้ากับครอบครัวของเราได้ด้วย พร้อมไปกับเราทุกที่ครับ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้รีบครับ ขอสนุกกับการใช้ชีวิตโดยที่ยังไม่ต้องรายงานใครในช่วงระยะเวลานึง มันก็มีความสุขดีครับ”.
ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : Grammy Gold
กราฟิก :