• ย้อนวันวานเมื่อเป็นศิลปินอินดี้ พร้อมที่มาของชื่อ MUZU
  • จุดเริ่มต้นทำเพลงที่แกรมมี่ เพราะเพลงที่ทำเองถูกเลือกเป็นเพลงของเบิร์ด ธงไชย
  • วันที่ตัดสินใจเป็นอิสระ กลับมาเป็นตัวเอง หันมาทำค่ายเพลงเล็กๆ 

เอ่ยชื่อ หมู บัณฑิต แซ่โง้ว หลายคนอาจจะงงว่าเขาคือใคร แต่หากพูดชื่อ หมู MUZU เชื่อว่าคอเพลงหลายคนจะต้องรู้จักแน่นอน เพราะเขาเป็นเจ้าของเพลงดัง “เข้ากันไม่ได้” และ “ไม่เคย” เมื่อครั้งร่วมงานกับวง Synkornize อีกทั้งยังเป็นคนแต่งเพลงดังๆ ให้กับศิลปินแกรมมี่ อาทิ “อยู่คนเดียว” เบิร์ด ธงไชย, “เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย” อ๊อฟ ปองศักดิ์, “นิยาย” โตโน่ ภาคิน ฯลฯ ส่วนผลงานเพลงเมื่อครั้งอยู่แกรมมี่ก็มีหลายเพลง อาทิ คนถูกทิ้ง, รักแท้ไม่มีจริง, In My Room ฯลฯ รวมถึงเพลงประกอบละครดังอีกหลายเพลง

แต่ล่าสุด หมูตัดสินใจลาออกจากแกรมมี่ ทำค่ายเพลงเล็กๆ MOJITONE RECORDS และเป็น Executive Producer ให้กับค่ายของเขาเอง มาพร้อมกับซิงเกิลล่าสุด “สองใจไม่ผิด” ซึ่งเป็นเพลงที่เขาให้นิยามว่า "เพลงแนวยุค 90 ในปี 2021" บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวนเขาพูดคุยถึงชีวิตของการเป็นคนทำเพลงตั้งแต่ยังเป็นศิลปินอินดี้ จนได้รับโอกาสมาอยู่ในจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ รวมไปถึงวันที่ตัดสินใจเป็นอิสระ

...

MUZU ที่เกิดจากอินดี้

ก่อนที่จะมาเป็นนักร้องเจ้าของเพลงดังซึ้งๆ หมูเล่าถึงวันวานว่าเข้ามาร่วมงานกับ Synkornize ว่าเป็นความบังเอิญจริงๆ “ถ้ามองย้อนกลับไป พี่เกิดจากอินดี้แท้ๆ เลย เพลง “เข้ากันไม่ได้” เป็นเพลงแรกที่ทุกคนรู้จัก ทำมาจากอัลบั้มนักเรียนของโรงเรียน Gen-X Academy พี่ไม่ใช่นักเรียนที่นี่โดยตรง แต่พี่เป็นลูกศิษย์พี่ปุ้ม (พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) ที่เข้าไปหาโดยตรงและช่วยงานนั้น

จริงๆ เพลงนี้เกิดขึ้นจากการที่พี่ต้องไปซ่อมเพลงของ Synkornize ซึ่งตอนแรกมีเนื้อร้องและทำนองเป็นอีกแบบนึง แล้วคนเก่าเขาถอดไปไม่ร่วมงานกับ Synkornize พี่ก็ซ่อมเพลงนี้ด้วยการเอาดนตรีเปล่าๆ มาแต่งใหม่ อีก 2 วันก็ได้เป็นเพลงเข้ากันไม่ได้ คือวิธีทำงานก็เป็นวิธีอินดี้แล้ว พอทำเพลงนี้เสร็จ แม้แต่การตั้งชื่อ ตอนพิมพ์ปก เขาถามว่าพี่หมูน่าจะชื่ออะไร คนอื่นเขามีชื่อ Synkornize พี่ปุ้มก็บอกว่าให้ชื่อ MUZU แล้วกัน” ก่อนจะหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดีและเล่าต่ออีกว่า “จนกระทั่งเพลงมันไปดังใน Fat Radio ติดอันดับหนึ่ง 4 สัปดาห์ต่อกัน มันก็มาจากเทคนิคแบบนี้ มันก็อินดี้จริงๆ”

หมูบอกว่า ณ วันแรกที่มาร่วมงานกับ Synkornize ก็ไม่คาดคิดว่าจะเป็นแบบนี้ “ก็ไม่คิดจริงๆ ตื่นเต้นมากกว่า ทุกอย่างจับพลัดจับผลู ตอนนั้นที่ไปซ่อมเพลงนั้นให้ เขาไม่ได้วางให้เราเป็นนักร้อง เราแค่แต่งเพลงให้ แต่เราร้องเดโมไป สมัยนั้นอาร์แอนด์บียังไม่มีใครร้องแบบนี้ เราใฝ่ฝัน เราชอบด้วย แต่พอร้องเดโมไปทุกคนก็บอกว่าให้ร้องเองเลย (หัวเราะ) คือมันเป็นความบังเอิญตั้งแต่ต้นเลย แม้กระทั่งไปช่วยทำอัลบั้มก็เป็นความบังเอิญที่ไปเจอพี่ปุ้มที่นึง แล้วเขาบอกเฮ้ย มาช่วยงานที่โรงเรียนหน่อย กำลังจะมีอัลบั้มที่มี Synkornize นี่แหละ

เขาก็บอกว่าทำ Lyric Producer นะ คือคุมเนื้อเพลงทั้งหมด พอเจอเพลงเข้ากันไม่ได้ก็ใส่เนื้อเพลงลงไป ใส่ทำนอง ร้องไป แล้วบังเอิญก็ให้เราเป็นนักร้องเลย เราไม่เคยมีเพลงของตัวเองอย่างเป็นทางการที่จะส่งไปตามสถานีวิทยุต่างๆ โดยเฉพาะ Fat Radio เป็นอะไรที่เท่ๆ ลุ้นตั้งแต่วันแรก ฟังทุกวัน จนได้อันดับ 1 มา 4 สัปดาห์เต็มๆ ก็มีความสุขและตื่นเต้นมาก ภูมิใจมาก

แต่เอาจริงๆ ไม่ได้ตังค์จากตรงนั้นเลยนะ ลิขสิทธิ์เป็นของเรา แต่คอนเสิร์ตไม่มี ไม่ได้เล่นเลย ก็ถือว่าเป็นวิชาไป คือพอเข้ามาใน Gen-X ตอนออกอัลบั้มไปแล้ว พี่ปุ๋ย (โชคชัย เจี่ยเจริญ) เป็นผู้บริหารกับพี่ปุ้ม พงศ์พรหม ปรากฏว่าเขาไม่ได้มีนโยบายที่จะให้เป็นค่ายเพลง เขาเป็นโรงเรียนดนตรี เพียงแต่อัลบั้มนั้นเป็นอัลบั้มที่เขาอยากให้นักเรียนได้ลองทำงานจริงเหมือนค่ายเพลงที่เขาทำแบบนี้ คือได้ตังค์ค่าทำเพลง ค่าร้องเพลง ลิขสิทธิ์ยังเป็นของเรา”

...

เข้าแกรมมี่เพราะทำเพลงให้เบิร์ด ธงไชย

จากนั้นหมูเล่าให้ฟังที่มาของเพลง “ไม่เคย” ว่า “กร (นิติกร วโรภาษ) วง Synkornize ออกมาทำอัลบั้มส่วนตัว ลงทุนเอง พี่ก็ไปช่วยร้องต่อ เขาก็ไปจิ้มเพลงพี่คือเพลง “ไม่เคย” จากในเดโมมาทำ ตอนนั้นก็เป็นนักดนตรีกลางคืนไปด้วย ก็เริ่มมีเพลงดังติดตัวแล้ว แต่ไม่มีใครรู้จักหน้าตา ไม่มีใครรู้ว่าเราร้องเพลงนี้ เราก็ยังดิ้นรนไปทำเพลงในห้องอัดบ้านพี่บางคน ไปช่วยงานเขา ไปร้องคอรัสให้เดอะสตาร์ ช่วยแต่งเนื้อเพลง ดิ้นรนเพื่อจะได้ออกเพลงอีกสักครั้ง”

หลังจากนั้นก็เป็นความบังเอิญอีกครั้งที่อยู่ดีๆ ได้รับโอกาสเข้ามาทำงานที่จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ แบบไม่คาดฝัน หมูเล่าให้ฟังว่า “จนกระทั่งมีพี่ที่แกรมมี่มาเจอนี่แหละ ก็คือพี่อาร์ม เขาก็เรียกไป บอกว่าเราจำนายได้นะ เราก็ดีใจ เขาก็ถามว่านายมีผลงานอะไรน่าสนใจบ้าง เราอยากฟัง เราก็เอาเพลงเข้าไปให้ จนเขาเลือกเพลง “อยู่คนเดียว” มาให้พี่เบิร์ดร้อง นั่นแหละเป็นจุดกำเนิดที่ทำให้พี่ได้เข้าแกรมมี่

...

จริงๆ เพลง “อยู่คนเดียว” เราเล็งไว้ว่าจะทำเอง แล้วโจทย์มันสนุกมากเลยนะ คือตอนนั้นพี่ดูหนังเพลงแร็ป เพลงอยู่คนเดียวมันถูกคิดมาจากว่าเราเคยมีเพลงอาร์แอนด์บีมาแล้ว คือ “เข้ากันไม่ได้” กับ “ไม่เคย” ถ้าเราจะทำเพลงที่ 3 แบบไม่มีค่าย ทำยังไงก็ได้ให้เพลงนี้เป็นอาร์แอนด์บีเหมือนกัน แต่ต้องไม่เหมือนเพลงเข้ากันไม่ได้และเพลงไม่เคย ต้องพัฒนาไปอีก อยากได้เพลงเท่ๆ แต่สรุปแนวคิดพี่คือทำยังไงก็ได้ให้เพลงนี้ไปเด้งบนหน้าปัดวิทยุ โดยที่เขาต้องสนใจเราว่าเป็นเพลงอะไรวะให้ได้ มันเลยออกมาเป็นเพลงแบบนี้

พอทำเสร็จและถือไว้ในมือแล้ว พอให้หลายๆ คนฟัง เขาบอกว่ายากอะ ตอนนั้นไม่มีเพลงแบบนี้ไง ตกลงเป็นแนวอะไรกันแน่ จะแร็ปหรือจะฉ่อยหรือจะเกาหลี ทุกคนบอกว่ายากหมด แต่พอพี่อาร์มไปเจอในลิสต์ พอเขาฟังก็ผ่านเพลงนี้เพลงเดียว ฟังหลายรอบมาก เขาบอกว่าเพลงนี้พี่ขอให้พี่เบิร์ดดีกว่า พี่ก็ตอบไปว่าเอาเลยครับ แต่ในใจคิดว่าไม่ได้หรอก (หัวเราะ) ไม่ใช่ไม่ให้นะ แต่คิดว่ายังไงเพลงก็ไม่ผ่านแกรมมี่หรอก

แล้วเวอร์ชั่นเดโมเป็นกีตาร์โปร่งด้วย อะคูสติกกับกลองนี่แหละ แต่ไม่ได้มีเสียงอิเล็กทรอนิกส์เยอะเหมือนตอนทำให้พี่เบิร์ด คือมันแปลก เขาไม่น่าเอาอะไรประหลาดแบบนี้หรอก แต่วันรุ่งขึ้นเขามาบอกว่าอากู๋ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) พี่เล็ก (บุษบา ดาวเรือง) ชอบนะ ทุกคนตื่นเต้นมาก ชอบเพลงนี้มากๆ พี่ตกใจงงเลย รับปากเขาไปแล้ว (หัวเราะ) ก็คิดในใจว่านี่เพลงกูนี่หว่า แต่พอพี่เบิร์ดออกเพลงนี้แล้วก็โอ้โห...เออดีนะที่กูไม่ร้องเอง” ถึงตรงนี้หมูหัวเราะเสียงดังลั่นเลยทีเดียว

...

แต่งเพลงตามเซ้นส์

ถึงตรงนี้หลายคนคงอยากรู้ว่าหมู มูซู มีเคล็ดลับการแต่งเพลงอย่างไรบ้าง ซึ่งหมูตอบตรงๆ แบบไม่มีแอ๊บว่า “นักแต่งเพลงบางคนทำด้วยแพชชั่นตั้งแต่เด็ก แต่รู้มั้ยว่าพี่เป็นนักแต่งเพลงที่ไม่รู้หรอกว่าเนื้อเพลงความหมายลึกซึ้งกินใจ คือพี่แต่งตามเซ้นส์ของศิลปินจริงๆ สอดประสานเรียงร้อยถ้อยคำเป็นกลอน คำคล้องจอง พี่ชอบและรู้สึกสละสลวยแค่นั้นเอง ส่วนความหมายมันใช้เซ้นส์อีกเช่นกันว่าไม่ขัดกัน ไม่แย้งกันมาก ไปด้วยกันได้ แต่ความลึกซึ้งแบบที่นักแต่งเพลงเขามีที่เขาเรียกว่าด้านของสมอง ความคิด พี่ไม่มีสมอง (หัวเราะ) พูดเล่นๆ นะ

คืออย่างเพลง “เข้ากันไม่ได้” ตอนพี่แต่ง พี่ก็แค่จินตนาการ แล้วตอนนั้นเรารีบส่งมะรืนนี้แล้ว พี่ก็แต่งให้เป็นแบบแกรมมี่ อาร์เอส แต่งให้มันป๊อปๆ แล้วกัน แต่ออกมาก็เป็นตัวพี่อยู่ดี แล้วเนื้อเพลงพี่ไม่ได้ซึ้งกินใจไปกับมันมาก แค่คิดว่าคนมันน่าจะเป็นยังไง คงเศร้าแบบนี้มั้ง ตอนนั้นยังไม่มีแฟนเลย จนมาถึงตอนทำเพลง “อยู่คนเดียว” พี่เบิร์ดก็เอาไป ก็ดีที่พี่เบิร์ดร้องเพราะมันเหมาะกับพี่เบิร์ด มันไม่ใช่เรา คนไม่รู้จักเราในแง่อยู่คนเดียวขนาดนั้น แต่พอพูดถึงพี่เบิร์ดกลายเป็นว่าถูกต้องแล้ว

เราก็ค่อยๆ เรียนรู้จากเหตุการณ์พวกนี้ทีละเรื่องว่าอ๋อ...เนื้อเพลงเป็นแบบนี้นี่เอง ว่าอาจจะเหมาะกับใครสักคน ความหมายลึกซึ้งที่คนจะฟัง พี่ก็เรียนรู้จากงานตรงนี้ของพี่ไปด้วย จนปัจจุบันก็เริ่มดีขึ้น เพิ่งจะมีสมองจากการเขียนเพลงบ้าง เพิ่งจะใส่ใจว่าคำๆ นี้เขาต้องรู้สึกอย่างนี้นะ แล้วพอเพลงดัง (อยู่คนเดียว) เขาก็ให้พี่ขึ้นไปคอนเสิร์ตและเล่นกีตาร์ด้วยอยู่เพลงนึง แล้วค่อยเฉลยว่าเราเป็นคนแต่งเพลงอยู่คนเดียว จากนั้นเราก็ขอเขาว่าขอออกเพลงตัวเองบ้าง คือหลังจากเพลงอยู่คนเดียวเราก็รอคอยมานานเหมือนกัน จนความฝันเป็นจริงที่แกรมมี่ด้วย แทนที่จะออกเอง”

ส่วนเพลง “คนถูกทิ้ง” ที่ทำตอนอยู่ในสังกัดแกรมมี่ และกลายเป็นเพลงดังอีกเพลง หมูบอกว่าเป็นครั้งแรกที่เพลงมาจากเหตุการณ์จริงของตัวเอง “พี่กะว่าจะไม่ได้ร้องเพลง ตอนแต่งคือถูกทิ้งจริงๆ น่ะ มันเป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์จริงกับตัวเอง เราถูกแฟนคนที่ 2 ทิ้ง เป็นเพลงแนวจิ๊กโก๋อกหัก แต่พอร้องไปก็กลายเป็นอีกเพลงที่เรารักอีกเพลง พอออกไปก็ดัง ก็ตื่นเต้นเหมือนเดิมแหละ แต่อาจจะไม่มากเท่าตอนแรก พอทำรอบนี้เรามีการเตรียมตัว ลุ้นในแบบที่รู้ว่าจะลุ้นอะไร แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้เล่นคอนเสิร์ตอยู่ดี เราเรียนรู้ระบบข้างในว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น มันไม่ใช่ว่าออกเพลงแล้ว เพลงดังปุ๊บ ก็ใช่ว่าจะมีคนซื้องานคอนเสิร์ตเราเยอะ มันมีระบบเยอะแยะมากมายครับ”

ตัดสินใจออกจากแกรมมี่

แม้จะได้มีโอกาสมาทำงานเพลงในค่ายไวท์ มิวสิค ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มีทั้งผลงานเพลงซิงเกิล รวมถึงเพลงประกอบละครหลายเพลง แต่ในที่สุดหมู MUZU ก็ตัดสินใจเซ็นใบลาออกจากแกรมมี่เมื่อช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมา และหันมาทำค่ายเพลง MOJITONE RECORDS เพื่อทำงานเพลงที่เป็นตัวเองตามความต้องการต่อไป

ซึ่งหมูก็ได้เล่าถึงวันที่ตัดสินใจออกจากแกรมมี่ไว้ว่า “คิดมาประมาณปีกว่าๆ จริงๆ คิดมาตลอดเป็นช่วงๆ แต่ช่วงหลังๆ คิดเยอะขึ้นว่าจะต้องออก ที่ผ่านมาเรายึดติดกับคอมฟอร์ตโซน ทั้งที่จริงๆ ในคอมฟอร์ตโซนอาจจะไม่เหมาะกับเรา ซึ่งแล้วแต่ศิลปินนะ แต่ตัวพี่เองเกิดมาจากอินดี้ แล้วการอยู่กับคอมฟอร์ตโซนหลายๆ อย่างมีข้อจำกัด ซึ่งส่วนที่ดีต่างๆ เราได้รับความเมตตาจากในแกรมมี่เยอะ แต่พอปลายทางเราไม่สามารถถ่ายทอดในสิ่งที่เราเป็นเรามีได้เต็มที่ ท้ายสุดมันก็มีความตันอยู่ดี มันเหมือนผ่านการคิดมาประมาณนึง

ก่อนหน้านั้นในช่วงเวลาที่คิด มันก็ฝึกและเตรียมตัวประมาณนึงอยู่แล้ว ก็มีความตื่นเต้นเช่นกันในวันที่ตัดสินใจบอกพี่อาร์ม พี่ที่ดูแลค่ายไวท์ มิวสิค เราคุยกันถึง 3-4 ครั้ง เขาก็ถามว่าจะออกมาทำอะไร พยายามถามเราให้แน่ใจว่าคิดดีแล้วใช่มั้ย แต่เราคิดว่าอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำอะไร ออกปีละเพลงคือน้อยมาก พอเพลงไม่ดังก็ไม่ได้ออกอีก ก็ยากที่จะคุยเรื่องงบเพลงต่อไป รวมถึงความไม่มั่นใจในแนวเพลง แนวคิด ว่าตกลงคิดยังไงกันแน่ เราทำถูกมั้ย เพลงนี้มันใช่มั้ย จนเราสะเปะสะปะ มีโปรดิวเซอร์คนอื่นมาช่วยแล้ว ซึ่งไม่ใช่ไม่ดีนะ มันก็ดีไปอีกแบบนึง

ที่ค่ายเริ่มเอาพี่บอล อพาร์ตเม้นต์คุณป้า มาโปรดิวซ์หลายๆ เพลง ซึ่งเราก็ยินดีมาก ชอบมาก แต่พอทบทวนก่อนจะออก มันยิ่งเห็นมากขึ้นว่าจริงๆ มันห่างตัวเราไปเยอะแล้วนะ แล้วมันจะห่างไปเรื่อยๆ ก็เลยคิดว่ากลับมาเป็นตัวเองดีมั้ย มันอาจจะดีกว่าตอนนั้น เพราะเรายังไม่อิ่มในการทำเพลงแบบตัวเองเลย มีเพลงอีกหลายแบบที่พี่ทำได้ดีแต่ทุกคนไม่รู้อยู่ในคลังเพลง ซึ่งเราไม่ได้แสดงตรงนั้นแน่ๆ ถ้ายังอยู่ไปเรื่อยๆ มัวแต่คิดและกลัว

นอกจากนี้ยังมีเรื่องลิขสิทธิ์เพลงด้วย การที่มีลิขสิทธิ์เป็นของตัวเองมีค่ามาก อย่างช่วงโควิดมีรายได้จากเพลงไม่กี่เพลง เป็นเจ้าของเพลง เข้ากันไม่ได้, ไม่เคย และก็ “ฉันขอโทษ” ของเอก สุระเชษฐ์ และก็มีเพลงที่แต่งให้อ๊อฟ ปองศักดิ์ คือเพลง “เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย” และก็พี่เบิร์ด ธงไชย เพลง “อยู่คนเดียว” และก็แต่งเพลงให้โตโน่ (ภาคิน คำวิลัยศักดิ์) ฯลฯ จริงๆ พี่แต่งเพลงไม่เยอะ คือรายได้จากแกรมมี่ไม่เยอะเท่าไรหรอก เขาให้ตามระบบที่ควรจะเป็น ส่วนเพลงที่อยู่นอกแกรมมี่ไม่กี่เพลง มันอาจจะมากกว่านี้หน่อย

ตอนโควิดรอบแรก เราฝึกเตรียมตัวมาพอสมควร ไม่ค่อยหวั่นอะไรมาก เพราะเราวางแผนไว้ แต่ตอนนั้นก็มีรายได้จากลิขสิทธิ์ไม่กี่เพลงมา 6 หมื่นกว่าบาท ซึ่งเยอะนะสำหรับไม่กี่เพลง หลายคนอาจจะคิดว่า 6 หมื่นมันน้อย แต่ถ้าเทียบกับไม่กี่เพลง เลยทำให้รู้สึกว่าการมีลิขสิทธิ์เพลงมันดีอย่างนี้นะ แต่หลังจากนั้นพี่ก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นนะ (หัวเราะ) แล้วมีวันนึงรายการเดอะวอยซ์โทรมาอยากขอใช้เพลง “ฉันขอโทษ” ของเอก สุระเชษฐ์ ก็ยังได้มา 2 หมื่น มันเป็นสิ่งสำคัญที่บอกเราว่าเฮ้ย ออกมาเป็นตัวเอง และมีลิขสิทธิ์ของตัวเองดีกว่า กับแกรมมี่ไม่มีเรื่องอะไรเลย มีแต่ความยินดี กับไวท์ มิวสิค รักกันดีมาก แต่ความเป็นจริงถึงจะรักกันยังไง แต่มันทำอะไรต่อไม่ได้แล้วไง เพราะมันก็จะกลับไปอีหรอบเดิม”

เพลงใหม่หลังเป็นอิสระ

จากนั้น หมู มูซู เล่าถึงการทำเพลงใหม่ล่าสุด “สองใจไม่ผิด” ซึ่งถูกปล่อยผ่านทางยูทูบแชนแนล MU MUZU เป็นซิงเกิลแรกหลังจากเป็นศิลปินอิสระว่า เป็นเพลงแนวยุค 90 ในปี 2021 และเพลงแรกที่ร้องเพลงของเพื่อนที่ชื่อ “ติก” แต่งให้ “เพื่อนคนนี้เคยแต่งเพลงดังให้อาร์เอสสมัยก่อน คือเพลง “ใจเธอกอดใคร” ศิลปิน Neo-X แต่ตอนนี้เขาเป็นนักธุรกิจ แต่ยังมีความฝันอยู่ เขาก็ถามว่าเมื่อไรจะร้องเพลงที่เขาแต่ง ก็เป็นจังหวะที่ออกจากแกรมมี่พอดี เราก็คิดว่าเราจะได้ร้องเพลงของเพื่อนเมื่อไรถ้าเราผลัดไปเรื่อยๆ ก็เลยเอามาทำครับ”

หมูเล่าต่อว่า ตอนนั้นก็ตั้งโจทย์ไว้ว่าจะทำยังไงให้ตัวเองชอบเพลงนี้ให้ได้ ก็เลยจัดแจงเปลี่ยนให้เวลานำมาร้องจะได้ไม่กระดากปาก เอาไปทำให้ดูคลาสสิก มีชั้นเชิงขึ้น แต่คงความป๊อปอยู่ ก็มีทั้งกีตาร์ Solo ไลน์ไทย ส่วนไลน์กลองแบบ 808 เหมือนกลองอิเล็กทรอนิกส์ที่เขาใช้กัน มีการมิกซ์ออกมาแล้วให้มีโทนเสียงคล้ายเครื่อง Casio โทน ที่เด็กยุค 80 เคยเล่นกัน กับเสียงร้องที่แปลกไปจากที่เคยร้อง เพิ่มความเบา ใสซื่อ เว้าวอนในน้ำเสียง มากกว่าจะกระแทกเสียงเฉียบคม เหมือนที่เคยทำมา

ส่วนมิวสิกวิดีโอที่มีความเป็นภาพยนตร์สูง เล่าเรื่องได้แยบยลและผ่านการคิดมามากทีเดียว ยิ่งดูหลายรอบยิ่งพบจุดที่หนังแอบซ่อนไว้เป็นปริศนา จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือเอ็มวีเพลงนุ่มๆ เพลงนึง หมูเล่าให้ฟังว่า “เอ็มวีทำเพื่อแพชชั่น อาร์ตไดเร็กเตอร์ได้รางวัลสุพรรณหงส์ด้วย เขาทำภาพยนตร์เรื่องแสงกระสือ แต่ผู้กำกับไปดึงตัวเขามา ผู้กำกับออกปากว่าอยากทำเพลงนี้ทั้งที่มีทุนแค่ 7 หมื่นบาท พี่ให้ตังค์เขาไปทำไลน์ซิงค์ถ่ายพี่คนเดียวและผู้หญิงอีกคน แต่เขาคิดเรื่องได้ อยากทำมาก ทุกอย่างออกมาสวยหรูเลย แต่เพลงนี้ทุกคนไม่ได้ตังค์ นักแสดงได้คนละสองพันบาท แต่เล่นเก่งมาก”

และวิธีการโปรโมต นักร้องหนุ่มเผยว่า “ตอนโปรโมตนี่เป็นวิธีโบราณ คือเขียนจดหมายหาทุกคน ทั้งพี่ติ๊ก ชิโร่, พี่ป๋อง กพล, น้าเน็ก, วงซีล, อีทีซี ฯลฯ เพื่อช่วยโปรโมตให้ แต่เป็นจดหมายส่วนตัวที่เนื้อความไม่เหมือนกันเลย อาจจะดูโง่ๆ แต่มันมีความจริงใจ พอหลังจากนั้น 2-3 วัน ทุกคนตอบกลับมาหมดเลย แม้กระทั่งบางคนที่ไม่มีเวลาอ่านแล้วมาอ่านทีหลัง เขาก็ไปเขียนที่หน้าเพจเขา ซึ่งถ้าผลทางธุรกิจ มันไม่มีค่าอะไรมากสำหรับคนที่มีหัวทางธุรกิจ แต่สำหรับเราที่เป็นศิลปินก็รู้สึกว่าแจ๋วดีนะ”

ปิดท้ายด้วยคำถามว่าจะอยู่รอดยังไงกับการเป็นศิลปินอิสระในยุคโควิด หมูตอบว่า “พี่ว่าในวงการเพลงมันก็ดีอยู่ในแบบของมันในทุกยุคตามความคิดของพี่ มันอาจจะแย่ในสายตาใครหลายคน ช่วงแรกตัวพี่เองก็คิดตามแบบนั้นเช่นกัน แต่พอพี่มาคิดอะไรที่เบสิกมากๆ เราโชคดีมากแล้ว วงการเพลงมันดีอยู่ของมันเพราะว่ามันไม่เหมือนยุคก่อน คนที่ได้โอกาสจะเป็นแค่บางคน คนฟังเพลงก็จะได้ฟังเพลงจำนวนนึง ซึ่งไม่ได้ครอบคลุม แต่ปัจจุบันข้อดีก็คือมันเป็นโอกาสของทุกคนที่มีของดี มีความขยัน มีของ มันเป็นโอกาสของคนที่เป็นตัวจริง และเป็นตัวจริงยิ่งกว่าตัวจริง เพราะการแข่งขันมันสูง และเป็นโอกาสของคนฟังที่ได้ฟังอะไรหลากหลายและจริงที่สุดมากด้วย คือไม่ต้องฟังอะไรที่ประดิดประดอยอย่างเดียวแล้ว

หลายคนอาจจะมองว่าออกเพลงอะไรแล้วไม่ดัง แต่มันเป็นข้อพิสูจน์ไงว่าแล้วคุณตัวจริงหรือเปล่า ท้ายที่สุดเราก็อย่าสับสน อย่างศิลปินด้วยกัน คนทำงานเพลงมีประสบการณ์รู้อยู่แล้วเพลงไหนดีไม่ดี ไม่ต้องไปหวั่นไหวว่า โห...เพลงคุณไม่แปลก หรือเพลงต้องหยาบ ต้องตลก ไม่จำเป็น คุณดูให้ดีว่าเพลงคุณเป็นแบบไหน คุณมุ่งมั่นที่จะเอาเพลงไปให้แฟนเพลงที่ตรงประเด็นให้ฟังให้ได้ ซึ่งไอเดียการฟังเพลง รสนิยมคน พี่ว่ามันเปลี่ยนไปด้วย เอาเป็นว่าทำความเป็นศิลปินที่ฝึกมาจนเข้มข้นให้มันดีที่สุดในชีวิต มันไม่แย่ มันไม่ตายหรอก ศักดิ์ศรีมันเกิดอยู่แล้วถ้าคุณทำทุกอย่างเต็มที่ เท่าที่ศักยภาพและหัวใจของคุณทำได้ครับ”

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : MU MUZU, GMM Grammy
กราฟิก : Sathit Chuephanngam