• ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ เข้าประกวดนางงามเพราะอยากเป็นดารา 
  • เคยอายที่จะบอกใครว่าอยากเป็นนักแสดง เพราะคนมองอาชีพนี้ต้องเป็นคนที่วัลลาบี
  • ถูกบูลลี่เรื่องหน้าตา ผิวพรรณ และความอ้วน จนคิดจะออกจากวงการบันเทิง 

ห่างหายไปจากหน้าจอทีวีไปนานไม่น้อย สำหรับนางเอกสาว ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ วัชรตระกูล นางเอกสาวที่มีมงกุฎมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2553 การันตีความสวยของเธอ จากวันที่ได้รับตำแหน่งจนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลากว่า 11 ปีแล้ว ที่สาวปุ๊กลุกโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง เส้นทางที่เธอนั้นใฝ่ฝันและอยากจะเข้ามาตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เพราะกลัวคนจะมองว่าเธอนั้น วัลลาบี เธอจึงต้องเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองเอาไว้

เข้ามาประกวดนางงามเพราะอยากเป็นดารา 

ซึ่งวันนี้ เราได้มีโอกาสนัดสัมภาษณ์ ปุ๊กลุก อีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้พูดคุยกันมานาน เพื่ออัปเดตชีวิตของเธอหลังจากที่ได้กลับมารับงานแสดงละครอีกครั้ง หลังจากที่หยุดไปพักใหญ่ ซึ่งการได้เจอกันคราวนี้ บอกได้เลยว่า ปุ๊กลุก ดูสวยขึ้นเยอะมาก สมกับที่เป็นนางเอกที่มีมงกุฎการันตีความสวย 

เจอกัน พูดคุยสัพเพเหระกันสักพัก เราก็เริ่มทำงานกันเลยจะดีกว่า เพราะเราเชื่อว่า วันนี้ ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ มีเรื่องเล่าในชีวิตของเธอมาเล่าให้เราฟังอย่างมากมาย และต้องน่าสนใจอย่างแน่นอน ซึ่งคำถามแรกที่เราถามคือ เคยคิดมั้ยจากประกวดนางงามในวันนั้นจะมาเป็นนักแสดงที่มีฝีมือในวันนี้ ในตอนนั้นมองตัวเองว่าจะมาไกลขนาดนี้มั้ย ซึ่งเจ้าตัวหัวเราะก่อนตอบคำถามนี้ว่า 

"ตอนนั้นมองไว้ไกลกว่านี้อีก (หัวเราะ) เหมือนเป็นคนที่ชอบการแสดงตั้งแต่เด็กๆ การประกวดนางงามบอกคนตลอดว่าจะมาเอาตำแหน่งงามอย่างไทย ไม่ได้อยากได้ที่ 1

...

แต่วันที่เข้าไปแล้วก็อยากได้ แต่ว่าจุดเริ่มต้นคือการที่เราอยากได้งามอย่างไทย ซึ่งตำแหน่งนี้จะมีผลกับการเป็นนักแสดง เราก็รู้สึกว่านี่แหละตำแหน่งที่ฉันอยากได้"

ทำไมตอนนั้นถึงไม่ไปแคสต์งาน น่าจะง่ายกว่าการมาประกวดตามเวทีต่างๆ เพราะสมัยนั้น แมวมองตามสยามก็เยอะแยะ โมเดลลิ่งก็มีเยอะมาก ทำไมถึงเลือกที่จะมาประกวดนางงาม 

"ตอนนั้นไม่ได้รู้จักใคร แล้วก็รู้สึกว่ามันไปตรงไหน ก็ไปประกวดมิสทีน เพราะคิดว่าการประกวดต่างๆ มันจะเป็นสะพานที่จะทำให้เราไปเป็นนักแสดง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าอยากเป็นดารา แต่ตอนเด็กๆ ชอบเล่นละครในห้อง พอได้ทำกิจกรรมก็รู้สึกชอบ

ตอนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยก็อยากเลือกเรียนนิเทศฯ แต่เพราะว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่อนุญาต เราชอบทางนี้มาตลอด แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งที่เราไม่รู้ว่าจะไปแคสต์งานที่ไหน และโครงหน้าที่ไม่ใช่สเปกที่พอไปเดินสยามแล้วจะมีแมวมอง มีโมเดลลิ่งมาติดต่อ

คือตอนไปเดินสยาม เราเดินหลายรอบมากกับพี่ ไม่เห็นมีใครมาทักเลย (หัวเราะ) ไปเดินผ่านตากล้องนะ แต่งตัวเปรี้ยวนะ แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาขอถ่ายรูปเราไว้บ้างเลย (ยิ้ม)"

ตอนที่พยายามไปเดินสยาม แต่งตัวให้แฟชั่นในยุคนั้น แต่กลับไม่มีแมวมองหรือโมเดลลิ่งมาติดต่อเราเพื่อไปทำงานในวงการบ้าง หรือชวนไปแคสต์งานบ้าง ตอนนั้นมีคำถามกับตัวเองมั้ยว่าทำไมไม่มีใครสนใจเรา

"ตอนนั้นยังเป็นเด็ก ก็ไม่ได้รู้สึกท้อใจ (ยิ้ม) มีเวทีประกวดอะไรก็ไป คิดว่าวันหนึ่งเดี๋ยวก็เป็นวันของเรา จนวันหนึ่งกับการประกวดที่เฟลที่สุด คือ เราไม่ได้ตำแหน่งงามอย่างไทย เป็นคนอื่นที่ได้ ตอนนั้นหน้าเสียเลย

ตอนนั้นคิดว่าตัวเองต้องได้ตำแหน่งนี้แน่ๆ เพราะคนที่สัมภาษณ์เป็นอาดวงดาว จารุจินดา เราก็รู้สึกว่าอาต้องเลือกเราแน่ เพราะบอกไปตรงๆ ว่าอยากเป็นนักแสดง วันนี้ที่ตัดสินใจมาเวทีนี้เพราะห้องนี้ ไม่ได้อยากได้มงกุฎ อันนี้เป็นรางวัลที่อยากได้

อาก็บอกให้ไปเรียนการแสดงกับพี่กบ สุวนันท์ เราก็สนใจกระตือรือร้นมาก วันนั้นที่เข้าห้อง ยังรู้สึกว่ายังไงตำแหน่งนี้ก็จะต้องเป็นของเรา ณ วันนั้น แต่หวยไปลงที่คนอื่นก็รู้สึกเสียใจ แต่ก็ดีใจกับเพื่อนนะ (ยิ้ม) เพราะคนที่ได้คือเพื่อนสนิทเราเหมือนกัน ก็รู้สึกไม่เป็นไร

แต่วันหนึ่งได้คุยกับคุณแดง สุรางค์ คุณแดงก็บอกผู้ใหญ่เลือก ผู้ใหญ่อยากให้คนอื่นได้รางวัลบ้าง เพราะว่าเราได้ตำแหน่งใหญ่แล้ว เลยให้คนอื่นเขามีอนาคต มีตำแหน่งบ้าง เราเลย อ๋อ เข้าใจแล้ว

...

อาชีพดาราไม่เหมือนอย่างที่คิด

แต่วันนั้นเฟลมากเลยนะ อยู่ห้องมี 3 คน 2 คนคือได้รางวัลไปแล้ว ยกเว้นเราคนเดียว แล้วเขาก็คุยกันเรื่องเงินรางวัล ตัดมาที่เรานอนเตียงข้างๆ นอนฟังเพื่อนคุยกัน แล้วคิดคงไม่ใช่วันของเรา"

หลังจากนั้นที่เฟล ที่นอยด์ เพราะไม่ได้ตำแหน่งงามอย่างไทย ตำแหน่งที่จะทำให้เราได้เล่นละครแล้ว ปุ๊กลุกจัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไงให้กลับมาสู้ในการประกวดอีกครั้ง ซึ่งปุ๊กลุกเล่าอดีตในวันวานไป พร้อมกับเสียงหัวเราะที่สดใสของตัวเองว่า 

"ก็บอกกับตัวเองว่า บ่อหน้าก็คือตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สเท่านั้น (หัวเราะ) เพราะตำแหน่งนี้จะทำให้เราได้เป็นนักแสดง พอเพื่อนขโมยตำแหน่งงามอย่างไทยไป มงต้องเป็นของฉัน (ยิ้ม) ไปหมายหัวที่มงไทยแลนด์

จากที่ตอนแรกจะไม่ชิงมงกับใคร ตอนนี้ฉันจะชิงละนะ (หัวเราะ) เพื่อนก็แบบ อ้าว เพราะตอนแรกบอกเพื่อนทุกคนว่า แกๆ เราไม่ได้มาแย่งมงนะ แต่พอไม่ได้ตำแหน่งงามอย่างไทย วันนี้ฉันต้องเอาละนะ (หัวเราะ)

พอวันที่ได้ตำแหน่งเสร็จ ก็บอกกับคุณแดงว่าไม่ได้อยากเป็นนางงามแต่อยากเป็นนักแสดงมากกว่า คุณแดงก็บอกไม่ต้องห่วงเตรียมละครไว้ให้แล้ว เรื่องแรกที่คุณแดงให้เล่นก็คือ ทวิภพ เล่นกับพี่แพนเค้ก เขมนิจ

วันที่เข้ามาอยู่ในพาร์ตนักแสดงจริงๆ กลายเป็นเรามีความรู้สึกว่าแบบมันไม่ใช่แบบที่เราคิด มันยากกว่านั้น เราชอบเห็นฉากในละครมีคนถือร่มสบายๆ แต่ถึงเวลาได้ทำงานจริงๆ นอน 3-4 ชั่วโมง ไม่มีคนขับรถ ไม่มีคนถือร่มให้ เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

การเล่นละครคือคุณต้องไปต่อสู้กับคน 60 ล้านคน ในวันที่ละครออนแอร์ว่าเขาจะชอบมั้ย ถึงแม้คุณจะตั้งใจ 100% แต่หัวหน้างานบอกคุณไม่ตั้งใจก็เท่านั้น

วันที่ละครออนไป สมมติมีคนบอก ไม่ชอบนางเอกคนนี้เลย ดำก็ดำ รู้สึกเหมือนถูกทำลายความตั้งใจทุกอย่าง เพราะเราตั้งใจมากเลย ทำไมคนถึงด่าตั้งแต่ภาพลักษณ์ ไม่ชอบ ไม่มีเหตุผล กลับไปเป็นนางงามเถอะต่างๆ นานา 

...

วันที่ได้รับฟีดแบ็กเราไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะเจออะไรแบบนี้ เพราะวันที่เล่นละครกับเพื่อนทุกคนชอบ เพราะทุกคนรู้จักเราเป็นต้นทุน แต่เรามาเล่นให้คน 60 ล้านคนดูที่เขาไม่รู้จักเรา บางทีเขาก็บูลลี่ ไม่ชอบ

และในวันนั้นก็กลับมาถามตัวเองว่ายังรักอาชีพนี้มั้ย ถ้ารักก็ต้องไปต่อ หาช่องทางต่างๆ ไม่ให้เสียใจ ไม่ต้องเข้าไปดู ไปเรียนการแสดง จนมันมีจุดพลิกวันที่เราเล่นละครเรื่องเรือนกาหลง

เรื่องนี้เล่นเป็นผี คนก็มีความรู้สึกว่า เออ ไม่ต้องสวยหรอก ซึ่งเราต้องยอมรับว่า เราไม่ใช่คนที่คนไทยจะมองว่าสวย คนไทยจะชอบคนผิวขาว น่ารักๆ คาแรกเตอร์แบ๊วๆ ไม่ต้องพูดจริงจังไปหมด แต่ที่พูดมามันไม่ใช่เราเลย

แต่เรื่องเรือนกาหลงเป็นเรื่องที่ผีต้องร้าย ต้องน่ากลัว จะอวบนิดนึงก็ไม่เป็นไร เรื่องนั้นก็ไม่ลดน้ำหนัก (หัวเราะ) วันที่คนอินในความเป็นผี ทำให้คนมองเราจากที่ตัดสินแค่ว่าไม่สวย อวบ ผิวเข้ม เปลี่ยนไป คนไม่โฟกัสความสวย คนมองว่าผีน่าสงสาร ใส่คอนแทคเลนส์ แล้วยังร้องไห้ได้ คนเลยเห็นความสามารถ

...

แต่จริงๆ แล้ว เรามีตั้งแต่เรื่องแรกที่เล่นแล้วแต่ว่าคนไม่เห็น ต่อให้ทำแทบตาย คนก็ไม่สนใจด้วย แต่วันที่ละครดังแล้ว นี่แหละคือสิ่งที่ควรค่ากับเรา แล้วก็บอกกับตัวเองว่าจะไม่กลับไปอยู่ในจุดที่คนว่าไม่ดีอีก 

จากนั้นก็มาวิเคราะห์ที่คนจะเลือกดูตัวเรา ก็ค่อยๆ ปรับในสิ่งที่คนไม่ชอบมาเรื่อยๆ การพูดเร็ว จังหวะที่ต้องเน้น จนเป็นเราในวันนี้ ไม่ใช่ฟลุกดังขึ้นมา แต่เราทุ่มเทและต่อสู้มาตลอด เราไม่ได้สนใจใครที่มาว่าเราวัลลาบี อยากเป็นนักแสดง เราก็บอกใช่ เราอยากเป็น

แต่ตอนเรียนอนุบาลครูให้เขียนว่าอยากเป็นอะไร เรากลับอายมากที่ต้องเขียนว่าอยากเป็นนักแสดง เลยเขียนว่าเป็นทนายความก็ได้ (หัวเราะ) คือในตอนนั้น การเป็นอาชีพนักแสดงมันเหมือนที่คนอยากจะดัง มันเหมือนดูไม่สวยงาม กลัวเพื่อนจะล้อ แต่ว่าเรากลับอยากเป็นมันมาตลอด เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้แค่ว่าเราอยากเป็นนักแสดงอยากเล่นละคร"

เราย้อนถาม ปุ๊กลุก ไปว่า ตอนที่ได้รู้ความจริงแล้วว่า การเป็นนักแสดง ไม่ได้เหมือนกับความฝันที่เราคิดไว้ เพราะตอนที่คิดไว้มันดูสวยงาม ไม่ได้ดูเหนื่อยและหนักแบบนี้ แถมยังโดนคนด่าเยอะมากขนาดนี้ ยังอยากจะเป็นนักแสดงอยู่มั้ย นางเอกสาวตอบกับเราด้วยน้ำเสียงที่ยังสดใสและฟังดูเบิกบานว่า 

"อยากจะออกจากวงการบันเทิงเลยค่ะ (หัวเราะ) ตอนนั้นรู้สึกว่าไม่ใช่แล้วแหละ แต่พอไปเรียนการแสดงกับครูเงาะ ก็บอกครูเงาะว่าถ้าเล่นเรื่องเรือนกาหลงแล้วไม่ดัง ทั้งที่เราตั้งใจแล้ว แต่ไม่ถูกใจคนดูก็คิดว่าออกจากวงการตอนนี้ยังทัน เพราะตอนนั้นอายุ 20 ต้นๆ กลับไปเป็นทนายความดีกว่า แต่ปรากฏว่ามันดีเลยได้ไปได้ต่อในวงการบันเทิง"

ปุ๊กลุกนางงามสาวมั่นมาก

จากนั้น เราถาม ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ ต่อว่า จริงๆ แล้ว ปุ๊กลุกนั้นดังตั้งแต่ตอนที่ประกวดนางงามแล้วนะ มีภาพจำ ยิ่งตอนไปประกวดนางงามจักรวาล มีภาพนางงามไทยถ่ายรูปสุดแซ่บจนกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เรื่องนี้ในอดีตทำเอาปุ๊กลุกหัวเราะร่วน ก่อนจะตอบเราว่า 

"มันดังในแบบกอสซิปไง (หัวเราะ) ตอนนั้นเราเปรี้ยวมากเลยนะ เถียงเป็นเถียง เด็กๆ หนูทำกิจกรรมเต้น การยกขาเป็นท่าเบสิก ถ้าใครฉีกขาได้ คนนั้นจะฉีกขา ซึ่งเราพยายามตลอดแต่ทำไม่ได้

ถ้าไปประกวดต่างประเทศทุกคนจะเห็นนางงามไทยฉีกขา คือเราเกิดในยุคที่เด็กเป็นตัวเองได้ แต่ผู้ใหญ่ก็ยังมีความหัวโบราณอยู่ เด็กยังไม่ได้ฟรีดอมแบบวันนี้ ถ้าครึ่งหนึ่งของชาวสีม่วงเขาก็จะบอกเป็นตัวเองไปเลยลูก มงสามต้องมา

แต่ก็มีอีกกลุ่มที่บอกว่า คุณต้องดูภูมิฐาน เป็นตัวอย่างของเยาวชน ซึ่งตอนนั้นเป็นยุคที่โซเชียลเริ่มเข้ามา แล้วเราได้เป็นตัวเอง 100% ก็ไม่คิดว่าจะโดนด่า เพราะทำอะไรคือตั้งใจมาก ตอนนั้นก็คิดว่า ถ้าตั้งใจขนาดนี้ยังมาด่า เดี๋ยวให้ไปประกวดเองเลย เราจะมีความเป็นตัวเองสูง (หัวเราะ)

และวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นนะ แต่จะไม่ได้พูดเหมือนเมื่อก่อน (หัวเราะ) เราทำงานกับ 60 ล้านคน จะทำให้ถูกใจหมดมันไม่ได้ แต่ตอนนั้นไม่เข้าใจไง ใครด่ามาด่ากลับ ตั้งใจขนาดนี้ยังมาด่า เดี๋ยวหนีกลับบ้านเลยนะ ไม่อยากประกวดแล้ว ตังค์ก็ไม่ได้เยอะ

เพราะอย่างนี้เลยเป็นคาแรกเตอร์ภาพจำ คนก็มองว่าเราดูแรง ถ้าบอกว่าแรงแต่เอาจริงๆ หนูไม่เคยมีปัญหาตบกับเพื่อนนะคะ (ยิ้ม) เป็นคนไม่สู้คน ไม่ชอบทะเลาะกับคน เป็นคนที่มีเส้นของตัวเอง จะไม่ให้ใครก้าวเข้ามาเหยียบเลย ถ้าใครอยากจะด่า ด่าได้นะ แต่ต้องซอฟต์ๆ หน่อย

ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาด่าแบบไม่มีเหตุผลไม่ได้ ตอนนั้นที่ถูกถามว่าทำไมเราถึงยกขา ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไม่เลือกตอบแบบนั้น แต่ว่าตอนนั้นเราคิดว่าเต็มที่แล้ว พยายามให้คนไทยได้สายสะพายกลับมา ตอนนั้นคิดแค่ว่าต้องได้ ต้องเอามงกุฎกลับมาให้คนไทย"

ไม่เอาคอมเมนต์ด่ามาสร้างให้ชีวิตทุกข์

และ ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ ก็เป็นอีกคนที่ผ่านดราม่ามาไม่น้อย เราก็เลยถามไปตรงๆ อีกแล้วว่า อยู่ในวงการมานาน วงการบันเทิงสร้างภูมิอะไรให้ปุ๊กลุกบ้าง จากเด็กใสๆ ไม่ได้เตรียมรับมือจากคำวิจารณ์ของคน จนมาวันนี้ แกร่งเบอร์ไหนแล้ว ซึ่งพอถึงตรงนี้ ปุ๊กลุกบอกกับเราด้วยเสียงจริงจังว่า

"ภูมิตอนนี้คือ เหมือนเรารู้ว่าอะไรทำให้เรามีความสุข อะไรที่ทำให้มีความทุกข์ ทุกครั้งที่มันจะทุกข์มันจะมาจากการที่เราเลือกเอง ว่าเราจะเสพอะไร เมื่อไหร่ก็ตามที่อ่านคอมเมนต์คนที่ด่าเรา นั่นแหละคือคุณเลือกที่จะเสพความทุกข์ เราเลือกดูในสิ่งที่เราเลือกได้

ความทุกข์มันเข้ามาง่ายมาก แค่เปิดอินสตาแกรมมา เห็นคนเข้ามาด่าในช่องทางของเรา ก็ทุกข์แล้ว แต่ว่าตอนนี้เราโตขึ้น เราเลือกได้แล้ว ซึ่งปุ๊กลุกเลือกบล็อกค่ะ คนในไอจีที่เข้ามาด่าแบบไม่มีเหตุผลโดนบล็อกเยอะมาก (ยิ้ม)

คือต้องบอกว่า เราเป็นคนให้ความสำคัญกับทุกคนที่เข้ามาในชีวิตแม้กระทั่งคอมเมนต์ที่เข้ามาในพื้นที่ของเรา หรือแม้กระทั่งคอมเมนต์ในไทยรัฐออนไลน์ ที่ลงข่าวแล้วคนเข้ามาด่า เรายังไปบล็อกเลย (หัวเราะ) เพราะจะไม่ให้คนกลุ่มนี้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเรา จะบล็อกคนที่ไม่มีเหตุผล

สมมติว่าด่าทำไมปุ๊กลุกรอบนี้พูดจาจริงจังจังเลย เราก็นั่งดู เออ จริง เราจริงจัง อันนี้จะไม่บล็อก ต่อให้คำพูดแรงก็ไม่บล็อก แต่ถ้าด่าแบบไร้สาระเราก็จะบล็อก เพราะมันไม่ควรมีพื้นที่ในความรู้สึกของเรา (ยิ้ม)"

ความรู้สึก แม้จะแกร่ง จะได้รับภูมิจากวงการมานานเป็นสิบปีแล้ว แต่ถามจริงๆ รู้สึกยังไงกับการโดนวิจารณ์ในทางที่ไม่ดี เสียใจมากมั้ย ร้องไห้หรือเปล่า ซึ่ง ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ เล่าความรู้สึกจากใจจริงของเธอให้เราฟังว่า  

"สำหรับเรา มองเป็นเรื่องปกติธรรมดา คือคุณไม่ใช่คนแรกที่โดนด่า ถ้าด่ามาแล้วเราปรับได้ก็จะปรับ แต่ถ้าเรื่องที่ปรับไม่ได้จะบอกกับตัวเองตลอดว่าจะเป็นเวอร์ชันตัวเองที่ดีที่สุด เท่าที่คนหนึ่งจะดีได้ มีบางคนบอกอย่ากระโตกกระตากมาก เราก็จะมองว่า ถ้าอยู่กองถ่ายก็กระโตกกระตากได้ แต่ถ้าอยู่ในสถานที่ที่ต้องนอบน้อม ควรค่าแล้วกับการโดนดุ

เราจะดูว่าควรปรับมั้ย ถ้าปรับได้ต้องปรับ บางคนบอกหน้าดุมาก มองแวบแรกไม่ชอบเรา เราก็บอกเรื่องของเธอ เพราะเราทำอะไรไม่ได้จริงๆ เราจะศัลยกรรมตาให้หมวยเหรอ ให้น่าเอ็นดูเหรอ มันก็ไม่ใช่ เราโอเคเรื่องบางเรื่องก็ต้องยอมรับ กายภาพที่เราเป็น ในสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาให้

ไม่ต้องให้ทุกคนรักเราก็ได้ บางทีสิ่งที่เราเป็นอาจจะสแกนคนในระดับหนึ่งได้ คนที่จะเจอเราแล้วรักคือเขาชอบที่ผลงาน ชอบที่เรามีความเป็นตัวเอง กล้าลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อตัวเอง เพราะฉะนั้นแฟนคลับก็จะถูกสแกน

เราไม่ได้เป็นคนที่เพอร์เฟกต์ ถามว่ารู้สึกยังไงกับการโดนด่า ก็รู้สึกเฉยๆ แต่ว่าขอความร่วมมือนะคะ อย่าด่าแรงมาก (ยิ้ม) บางทีด่าว่าเป็นแฟนกับคนนี้หน้าแก่มากเลย เราก็กลับมานั่งคิดว่าทำยังไงให้หน้าเด็ก เรานอนน้อยไปรึเปล่า (หัวเราะ)

ถ้าเราเอาคำคน 60 ล้านคนมาใส่เราไปมันจะไม่มีความสุข อย่าไปสนใจกับคนที่เขาไม่รู้จักเราจริงๆ เป็นเราในแบบเราดีที่สุด เพราะสุดท้ายก็อยู่บนพื้นฐานที่ทำแล้วมีความสุข"

เส้นทางที่เลือกกับการเป็นนักแสดงอิสระ 

จากการเป็นนักแสดงมีสังกัด วันนี้ก้าวออกมาเป็นนักแสดงอิสระแล้ว ชีวิตหลังจากที่เลือกเดินทางนี้ เป็นยังไงบ้าง รู้สึกโตขึ้นมากมั้ย ซึ่งคำถามนี้ ปุ๊กลุก ยอมรับกับเราแบบตรงๆ ว่า 

"มันก็มีความรู้สึกไม่มั่นคงนะ เพราะว่าก้าวแรกที่เดินออกมา ไม่รู้จะไปไหน โลกมันกว้าง งานอะไรที่เราทำแล้วไม่เสียความมั่นคง งานที่ไหนที่ทำแล้วมันจะดีกับเรา

ตอนที่อยู่บ้านเดิมรู้จักกันหมด อยู่เป็นครอบครัว ใครผู้ใหญ่ยื่นอะไรมาให้คุยกันได้ทุกเรื่อง แต่พอมาเป็นอิสระมันก็มีการปรับหลายๆ อย่าง อิสระมา 2 ปีแล้ว ก็รู้สึกว่าอิสระนะ ได้ทำงานในแบบที่อยากทำ

อย่างล่าสุดก็คุยกับพี่ป้อน นิพนธ์ บอกอยากเล่นละครแนวโรแมนติกคอเมดี้ เขาก็บอกเดี๋ยวหาแบบฟอร์มมาก่อนอันไหนที่มันเข้ากับเรา หรือไม่ก็ดราม่าหนักๆ สักเรื่องเพื่อรับรางวัลเท่านั้น เข้าชิงเท่านั้น (ยิ้ม) ก็เลยกลายเป็นสนุก บางทีอาจจะดูเหนื่อย เพราะต้องคิดอะไรด้วยตัวเอง แต่มันก็ได้ทำอะไรที่คนอายุ 30 ควรจะได้ทำ (ยิ้ม)"

เพราะถูกยกให้เป็นไอดอลในความเป็นสาวมั่น และกล้าที่จะบอกความต้องการของตัวเองว่าอยากจะเป็นอะไร และเดินตามหาฝันของตัวเองหลังจากที่เคยถูกความคิดของคนรอบข้างครอบเอาไว้ว่า อาชีพนักแสดง เป็นอาชีพของคนที่วัลลาบี อยากดังอยากเด่น เราจึงอยากให้ปุ๊กลุกฝากถึงคนที่อยากมีความมั่นใจ มีความฝัน ให้กล้าที่จะก้าวออกมาเหมือนกับปุ๊กลุก ซึ่งเจ้าตัวได้บอกว่า 

"ชีวิตทั้งชีวิตเฉลี่ยตายสักอายุ 80 เราจะอยู่ในอาชีพไหน ต้องหาตัวเองให้เจอว่าอาชีพไหนที่ทำแล้วคิดว่ามีความสุขกับมันจริงๆ ไม่ใช่ทำเพราะว่าแม่บังคับให้เรียน ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรให้ทำแล้วเลยต้องทำอาชีพนี้ อย่าท้อ

เพราะปุ๊กลุ๊กยังไม่ท้อจนมีวันนี้ เป็นร้อยเวทีแล้วที่ไปประกวด แคสต์งานอะไรต่างๆ แถมยังต้องผ่านคำพูดคนว่าถ้าไม่โป๊ไม่มีทางดัง คือถ้าวันนั้นยอมแก้ผ้า ก็ไม่มีวันนี้ ต้องใจแข็งเพราะเรารู้ว่าเรารักอะไร ชอบอะไรแล้วเดินหาสิ่งที่ชอบ อาจจะเจอสิ่งใหม่ที่ชอบมากกว่าก็ได้

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เดินผิดทางที่คิดว่าไม่มีทางเลือก ก็ไม่มีทางทำอาชีพนั้นจนเกษียณอายุหรอก เพราะมันจะเหนื่อยก่อน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องหาคือความชอบ และอย่าท้อ" 

ละครเรื่องแรกหลังจากรับเป็นนักแสดงอิสระ

หลังจากที่ออกมาเป็นนักแสดงอิสระ ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ ก็ได้เลือกมาร่วมงานกับช่อง ONE เพราะอะไรถึงตัดสินใจรับเล่นละครเรื่องเล่ห์ลวง ซึ่งปุ๊กลุกเล่าเหตุผลในการรับละครเรื่องนี้ว่า 

"เอาจริงๆ ตอนแรกมาคุยงานกับพี่ป้อนก่อน บอกว่าอยากทำงานที่ท้าทายความสามารถ เหมือนคุยในเรื่องของแพชชั่นในการทำงาน แนวทางที่ทำให้เราทำงานแบบสนุก คุยนานเหมือนกัน พอมาเจอพี่ป้อนอีกรอบ ก็บอกว่ามีละครอยากให้ลองเล่น

ตอนเห็นพอร์ตเรื่อง ก็รู้สึกว่าอะไรนะ เป็นแม่ค้าออนไลน์ ก็ถามพี่ป้อนว่าความสนุกของละครเรื่องนี้มันอยู่ตรงไหน ซึ่งก็ได้คำตอบว่าเป็นละครที่คนปัจจุบันอยู่ในภาวะแบบนี้กันเยอะ คือการเป็นแม่ค้าออนไลน์ เขาพยายามจะหาสิ่งที่ทำให้รวยขึ้น หรือว่าเจริญเติบโตมากขึ้น

ซึ่งอาชีพแม่ค้าออนไลน์จะเป็นอันดับ 1 ของยุคโควิดเลยก็ว่าได้ คือไม่มีค่าเช่าที่ ค่าร้านค้า แล้วความสนุกคือคนพยายามหาไกด์ไลน์ในชีวิต คือการหาไลฟ์โค้ช อย่างที่เราทราบกันดีว่ามีทั้งไลฟ์โค้ชดีและไม่ดี ถ้าเราเลือกไกด์ไลน์ในชีวิต ก็ต้องเลือกคนที่ดีก่อน เลยรู้สึกว่าความสนุกคือการที่ทำให้คนในปัจจุบันได้เลือก ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ภายนอก มันต้องดีในทุกมุม

ฟังพี่ป้อนอธิบายเยอะเลย เราเกรงใจไม่กล้าถาม มีความรู้สึกไว้วางใจในตัวพี่ป้อน เพราะวันที่เข้ามาคุยเกี่ยวกับเรื่องงานในสิ่งที่เราอยากทำ พอเหมือนเขายื่นเรื่องนี้มา ก็ไม่ได้ถามว่ามันจะสนุกเหรอ เพราะไว้ใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่มองเห็นว่าเราน่าจะทำได้ แล้วดีที่เป็นเรา ก็คิดว่าด้วยอายุการทำงานถ้ามันเป็นอะไรที่ธรรมดา เขาคงไม่อยากได้เรา (ยิ้ม)

หลังจากรับมา ก็มีการศึกษาชีวิตแม่ค้าขายของในไลฟ์สด แม่ค้าเขาก็จะมีคำพูด ภาษาที่คนติดตามจะรู้ เริ่มดูหลายๆ คนที่อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงมาก แต่เขามีคาแรกเตอร์ และคนที่มีชื่อเสียงแล้ว

พอตอนถ่าย เราต้องสลัดทุกอย่างที่ไม่ใช่เรา แล้วใส่ความเป็นตัวละครที่สนุกกับการไลฟ์สด และความรู้สึกของคนที่ไม่มีจะกิน ในวันที่เงินในกระเป๋ามีแค่หลักร้อย หลักพัน ต่อหน้ากล้องต้องสนุก แต่ลึกๆ ต้องการเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้าน

พอได้เล่นก็รู้สึกว่าสนุกดี ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง รู้สึกว่ามันยาก เราไม่น่าจะทำได้ แต่เมื่อเราตัดสินใจว่าเราจะเป็นเขา เราก็ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ

ความยากอีกอย่างของเรื่องนี้คือ คือการเล่นเป็นมนุษย์จริงๆ เรื่องนี้จะทำให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ ความเป็นธรรมชาติ จังหวะการพูดที่ดึงความเป็นธรรมชาติของเราออกมาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้

ส่วนการทำงาน บอกเลยว่าเป็นทีมที่น่ารัก อย่างเรื่องนี้จะเข้ากับเจษและน้องอ๋อลี่เยอะ เราเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีมากๆ ในพาร์ตละครกับพี่เชียร์ ครั้งแรกที่เปิดกล้องก็จะบอกพี่เชียร์ว่าอาจจะไม่ได้คุยกับพี่เยอะมากนะ ช่วงที่จะเข้าฉาก ตัวละครเราต้องเกลียดเขามาก กลัวมันไม่อิน บอกกับพี่เชียร์ว่าให้มันผ่านฉากยากๆ แล้วเราค่อยคุยเล่นกัน เป็นการทำงานที่ช่วยเหลือกัน 

แต่เพราะห่างจากหน้าจอไปพักหนึ่ง ถามว่ากดดันมั้ย เราเป็นคนที่ไม่กดดันในตัวเอง มีความมั่นใจในงานที่ทำ เพราะมีความรู้สึกที่ว่าตั้งใจกว่านี้อีกนิดหนึ่งก็เป็นบ้าแล้ว รู้สึกว่ามาตรฐานที่เราตั้งให้กับตัวเองมากพอแล้ว

เพราะฉะนั้นจะไม่เอาสิ่งที่คนอื่นคาดหวังมากดดันตัวเอง เราเป็นคนแคร์คนอื่น ถ้าเอาคาดหวังของคนอื่นมาใส่ในงานเรา จะกลายเป็นสิ่งไม่เป็นธรรมชาติ ละครจะต้องเป็นอะไรที่มีความเป็นธรรมชาติอยู่ในนั้น รู้สึกว่าเราเต็มที่

แต่วันที่ละครจะออน จะสนุกมั้ย ตัดต่อเป็นยังไง เรตติ้งจะดีมั้ย อันนี้เป็นหน้าที่ของคนดูที่ดูแล้วจะเป็นคนตัดสินว่าละครเรื่องนี้เป็นยังไงในสายตาของคนดู เราไปกำหนดไม่ได้ แต่เรารู้แค่ว่าตอนที่เราทำงาน เราเต็มที่ที่สุดแล้ว

เพราะอะไรคนต้องดูละครเรื่องนี้ เพราะนอกจากจะได้ความบันเทิงแล้ว ยังได้ความรู้สึกเดือดเผ็ดมัน ที่เป็นการเชือดเฉือนกันในแต่ละคู่ สิ่งที่คิดว่าคุณควรจะต้องดูคือ สิ่งที่มันจะสอนคนว่า

ณ วันหนึ่งเราจะต้องลุกมาทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วเราอาจจะต้องล้ม ต้นทุนไม่มี ครอบครัวไม่สนับสนุน เจอแฟนไม่ดี นอกใจ มีคนตามทำร้ายอีก ท่ามกลางพายุที่อยู่ในชีวิต จะคิดจะเดินไปต่อยังไง

ตัวละครไอรดาเป็นตัวที่เสียใจได้แต่ไม่ยอมแพ้ ซึ่งมองว่ามันจำเป็นกับคนยุคนี้ ถ้าคุณแพ้ ก็คือแพ้ไปเลย เพราะว่าอุปสรรคเยอะมากๆ ตัวละครตัวนี้เป็นตัวที่ล้มได้แต่ไม่เคยแพ้ ล้มได้แต่ลุกขึ้นมาต่อสู้ค่ะ”

หลังจากที่พูดคุยอัปเดตชีวิตของ ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ ไปเกือบชั่วโมง วันนี้เราได้เห็นปุ๊กลุกโตขึ้นกว่าเดิม มีความคิดที่โตขึ้น เพราะเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้หล่อหลอมให้ผู้หญิงคนนี้แกร่งขึ้นทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ และเราก็เป็นกำลังใจให้กับนางเอกสาวได้ทำความฝันให้สำเร็จด้วยการคว้ารางวัลทางการแสดงมาเป็นเกียรติประวัติในการทำงานบนถนนสายมายาเส้นนี้ 

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun

ช่างภาพ : ชุติมน เมืองสุวรรณ