ครั้งแรกเจ้าหญิงวงการบันเทิง แหม่ม คัทลียา มาเปิดใจเรื่องราวความรักที่ไม่เคยพูดที่ไหนในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 ว่าเรื่องความดุของคุณแม่ก็ดุเหลือเกิน เพื่อนยังโทรมาไม่ได้เลย และได้เล่าที่มาของฉายา "เจ้าหญิงในวงการ" ที่ได้มาพร้อมความกดดันเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนธรรมดา
อีกทั้งเปิดความจริงที่ทุกคนอยากรู้ถึงสถานะที่แท้จริงกับคู่จิ้นในตำนาน แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง พร้อมเล่าเรื่องราวความรักกับสามีสุดที่รัก บีบี๋ สงกรานต์ กระจ่างเนตร์ แบบหมดเปลือกคบกันแบบไม่ได้ปิด แต่ก็ไม่ได้เปิดและสิ่งที่ทำให้แน่ใจว่าคนนี้คือคู่ชีวิต งานนี้สาวแหม่มยังได้หลั่งน้ำตาเมื่อเปิดความในใจถึงลูกรักทั้งสามคน
เมื่อถูกชมว่าสวยตลอดรู้สึกยังไง?
แหม่ม : ต้องรู้สึกดีอยู่แล้วค่ะ แต่ว่าเราก็รู้ตัวเองเสมอว่าเวลาตอนเช้ามาหน้าของเราก็ธรรมดาเพราะยังมีคนอีกมากมายที่สวยมากในประเทศเรา เราเลยไม่ได้รู้สึกว่าพิเศษไปกว่าคนอื่นๆ เลยค่ะ ไม่รู้ว่าเกี่ยวด้วยไหม ที่บ้านคุณแม่จะไม่เคยชมเลย ไม่เคยอวยเราเลย แถมยังบอกว่านี่สะโพกใหญ่มากต้องออกกำลังกายแล้วนะ ตายแล้วแหม่มทำไมคิ้วรกอย่างนี้ คุณแม่จะเป็นแบบนี้ตลอดเลย ไม่เคยบอกเราเลยว่าสวย
...
และเป็นน้องสาวที่มีพี่ชายหล่อมากในประเทศนี้ในยุคหนึ่งเขาดังมาก ตอนนั้นเรารู้สึกยังไงบ้าง?
แหม่ม : สิ่งที่เรารู้สึกมากกว่าว่าเขาหล่อหรือไม่หล่อเพราะเราเห็นกันตั้งแต่เกิดมันเลยชินตา แต่สิ่งที่เราเห็นคือ สาวๆ มาชอบพี่ชายเราเยอะมาก ฉันต้องทำตัวเป็นแม่มดเพราะห่วงพี่
แล้วที่มาของการเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิงคนแรก?
แหม่ม : จริงๆ เราเป็นคนธรรมดา แต่ต้องขอบคุณหลายๆ สื่อที่ตั้งฉายาให้ และอาจจะเป็นเพราะเราเล่นละครเรื่องที่สองหลังจากเล่นเรื่อง "เพื่อเธอ" ไปแล้ว พอเรื่องที่สอง "อยากหยุดตะวันไว้ที่ปลายฟ้า" ของพี่บอย เราเล่นรับบทเป็นเจ้าหญิง แล้วตอนนั้นยังไม่ค่อยมีละครเกี่ยวกับเจ้าหญิงมากก็เลยเรียกกันว่าเจ้าหญิงๆ ด้วยหรือเปล่า เพราะว่าสื่อเป็นคนตั้งขึ้นมาให้รู้สึกเป็นเกียรติมาก แต่เราก็รู้สึกว่าเราก็แค่คนธรรมดา แต่ก็กดดันนะคะ แต่พอสักพักใหญ่ๆ จนมีเรื่องราวต่างๆ เข้ามา เราก็กดดันนะเพราะในชีวิตจริงๆ เราไม่ใช่เจ้าหญิง เราเป็นคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งที่มีรัก โลภ โกรธ หลง ผิดถูกต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้
มีหนุ่มๆ มาจีบเยอะไหม?
แหม่ม : ต้องบอกเลยนะคะพี่ฉอด คือน้อยมากๆ เพราะในหนึ่งสัปดาห์เราเรียน 5-6 วัน เราต้องลงหน่วยกิตให้มันอัดแน่น ให้อยู่ 3 วันนี้เพื่อที่อีก 4 วันจะไปถ่ายละคร เพราะฉะนั้นเรียนกับทำงานเราค่อนข้างหนักแล้ว เราเลยไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ค่อยเห็นมีใครเข้ามา หรือหน้าเราคว่ำก็ไม่รู้ ผู้ชายเข้าหาเราน้อยมาก อย่าง ABAC แหม่มก็เจอกับหนุ่ม ศรราม ตอนนั้นเขาก็ดังกว่าเรามาก
ช่วงนั้นเป็นแฟนกับพี่แท่งหรือเปล่า?
แหม่ม : อุ๊ย !!!! เป็นคำถามที่หลายๆ คนถามเนอะ สนิทกันมากค่ะ เพราะเล่นละครด้วยกัน อย่างที่บอกค่ะ ชีวิตเราอยู่ที่กองถ่ายกับมหาวิทยาลัยเท่านั้นแล้วก็อยู่กับแม่ พี่แท่งเป็นเหมือนรุ่นพี่ที่เราไปร่วมเล่นกับเขาและเขาดังกว่าเรามาก แล้วด้วยความที่เราใหม่มา เขาก็เลยพยายามที่จะทำลายกำแพง (แต่ที่คนอินกันเยอะมาก เพราะเราเป็นคู่ขวัญคนเลยอินทั้งนอกจอในจอเลย?) สมมติมายืนคู่กันถ่ายรูปปุ๊บ ก็จะมีเสียงกรี๊ดดังเข้าไปอีก ที่เขาเรียกว่าคู่จิ้นๆ ที่ทุกคนยังคงมองเราตลอดเวลาว่าเคมีของเราคงเข้ากันได้ดี ล่าสุดก็เพิ่งกลับมาเจอกันมีเล่นเรื่องหนึ่ง ทุกวันนี้ก็ยังเจอกันสวัสดี ทักทายกันเหมือนเดิมค่ะ
คนก็ยังมองว่าเพราะพี่แท่งอกหักจากเรา จนทุกวันนี้ยังไม่ยอมมีใครสักคนเลย ในขณะที่แหม่มเป็นคุณแม่ลูกสามไปแล้ว?
แหม่ม : ไม่ อันนั้นเจ้าชายกลัวฝน ตัวจริง จนกระทั่งเจอพี่กบ กับ มอส แล้วก็คุยกันไปกันมาเขาก็บอกมาว่าตาคนนั้นหาคนอยู่ด้วยยาก เป็นเจ้าชายที่กลัวฝนค่ะ
ครั้งแรกที่เจอกับคุณสงกรานต์ เจอกันยังไงที่ไหน?
แหม่ม : เป็นการนัดให้เราเจอกันของเพื่อนๆ ค่ะ เพื่อนเป็นคนนัดให้ ซึ่งวันนั้นเพื่อนๆ ก็อยู่ด้วย พอเราไปถึงร้านที่เพื่อนๆ นัดไว้เปิดประตูเข้าไป เขาก็ลุกขึ้นยืนให้เรา เราก็แอบคิดเหมือนที่พ่อทำให้แม่เลย ก็รู้สึกประทับใจเบาๆ แต่ยังไม่ได้ชอบหรือปิ๊งเลยนะคะ
ในตอนนั้นเพื่อนๆ ก็คงพยายามที่จะเซตให้เขานั่งตรงที่ พอเวลาเราเดินมาถึงเขาต้องลุกขึ้นมาแล้วก็นั่งใกล้กัน แต่มีเคสที่เราเจอเขาก่อนหน้านั้นอีกค่ะ แต่เราจำเขาไม่ได้ คือตอนนั้นไปเจอกันที่โปโล ที่ออกกำลัง แล้วแหม่มก็นั่งอยู่กับพี่ไก่ แล้วบีบี๋เดินมาสวัสดีครับพี่ไก่ คือตอนนั้นเรากำลังคุยเรื่องทริปไปดำน้ำกันอยู่แล้วพี่ไก่เขาก็แนะนำว่านี่แหม่มนะ แหม่มนี่บีบี๋นะ
...
ช่วงนั้นเราก็มนุษยสัมพันธ์ดีเราก็ชวนเขาไปดำน้ำไหมคะ ซึ่งเรื่องนี้คุณบีบี๋เขามาเล่าให้เราฟังทีหลัง เขาเจอเราก่อนแล้ว เรายังชวนเขาไปดำน้ำเลย ตอนที่มาเจอเขาอีกครั้งหนึ่งตอนนั้นคือถามว่าเขาสเปกไหม คือตอนนั้นเราก็อายุ 32 แล้ว ไม่ใช่แบบ 22 เพิ่งเรียนจบ เราก็ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาประมาณหนึ่งแล้ว ความรู้สึกไม่ได้เหมือนแบบหนุ่มๆ สาวๆ เพิ่งเจอกัน
แต่เห็นว่าบีบี๋เขาประทับใจตั้งแต่ตอนที่เจอกันที่โปโลคลับแล้ว?
แหม่ม : เราไม่รู้เลยค่ะ เพราะเมื่อก่อนเราหน้าคว่ำมาก ไม่รู้ว่าหน้าเป็นอาวุธหรือเปล่า คนเลยไม่ค่อยเข้ามาหาเรามาก พูดตรงนี้เลยมีคนพูดด้วยว่าเราหยิ่ง ตอนนั้นบีบี๋เขาเหมือนคุ้นๆ ว่าเราเป็นคนในวงการ แต่ด้วยความที่เขาเป็นเด็กเรียนเมืองนอกมาตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยได้ดูทีวีดูละครไทยเท่าไร
เพราะมุมนี้หรือเปล่าที่ทำให้แหม่มรู้สึกดี เพราะเขาไม่ได้เข้ามาหาเราเพราะว่าเราเป็นคนในวงการ?
แหม่ม : จริงค่ะพี่ฉอด คือเขาก็เข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ใจแบบว่าสนใจผู้หญิงคนนี้ แต่ไม่ได้สนใจว่ามีชื่อเสียงหรือว่าอะไร แล้วเราชอบที่เขาค่อยๆ เข้ามาแบบเรียบร้อย ไม่ได้จู่โจมเราเข้ามา ความสัมพันธ์ก็เริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เพราะแลกเบอร์ แล้วก็ส่งข้อความหากันประมาณหนึ่งก่อนแล้วก็ค่อยนัดออกมาเจอกันแล้วก็คุย
ถามว่านานไหมที่กว่าจะเป็นแฟน พี่ฉอดเชื่อไหมว่าไม่เคยนัดแนะสรุปวันนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะ ไม่มีวันครบรอบ เพราะเราเป็นคนไม่ชอบเซอร์ไพรส์ แต่ในตัวของเขาคือมีความโรแมนติกอยู่แล้ว ในความเป็นสุภาพบุรุษของเขาแบบวันเกิดเราเขาก็จะทำกับข้าวให้ทาน ลูกๆ ก็จะแซวว่าวันเกิดแม่ๆ ไม่พาไปไหนเหรอ เขาก็บอกว่านี่ไงวันเกิดทำกับข้าวอร่อยๆ ให้กิน
แล้วที่บอกว่าไม่มีการขอเป็นแฟน แล้วมาคบกันตอนไหนยังไง?
แหม่ม : เรามาคบกันตอนโตด้วย หมายความว่าอายุ 32 มีอะไรเราก็พูดกันตรงๆ เราไม่ได้มีการแอบซ่อนว่าเราคบกันนะ ถามว่าพูดกันตรงๆ ตอนนั้นเราก็เป็นห่วงเขามากกว่า เนื่องจากเขาไม่ใช่คนในวงการ แล้วเขาไม่ค่อยเป็นคนสาธารณะอยู่แล้ว บวกกับเป็นคนเรียบๆ เงียบๆ เวลาไปไหนเขาค่อนข้างอึดอัด
...
เราก็เลยไม่ได้หวือหวาไปในที่ที่มีคนเยอะๆ ไม่ได้ปิด แต่ก็ไม่ได้เปิด มันเป็นช่วงแรกๆ ของยุคการมีปาปารัซซี่ การมีหนังสือบันเทิงหลากหลายมากมาย จากคนที่เก็บตัวเงียบๆ แล้วมาบวกกับสภาพสังคมที่เกิดขึ้นแบบนี้ตอนนั้นเป็นปัญหาเลยค่ะ เราค่อนข้างคุยกันเยอะเพราะเราทั้งคู่ต่างไม่เข้าใจกันแต่แล้วสุดท้ายก็ก้าวข้ามมันได้
มีอาการหึงหวงกันบ้างไหม?
แหม่ม : ไม่เชิงว่าหวงค่ะ แต่เขาจะห่วงมากกว่า กลับบ้านกลับกี่โมง ถึงบ้านหรือยัง เรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขามาก เราไปถ่ายละครกลับมาก็เหนื่อยแล้ว เรารายงานแม่ พอเราอาบน้ำเสร็จเราก็นอนแล้ว เขาก็คงรอว่าเรากลับบ้านมาหรือยัง พอตื่นเช้ามาข้อความมหาศาลเลย เขาก็บอกว่าเราอาจจะไม่รู้สึกอะไร เราแค่ห่วง
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขาคนนี้คือคนที่เราจะใช้ชีวิตจากนี้ด้วยตลอดไป?
แหม่ม : ข้อที่หนึ่งที่บอกไปแล้วนะคะ คือความเป็นสุภาพบุรุษอันนี้สำคัญมาก มันค่อนข้างครอบคลุมหมดเลย เขาให้เกียรติเรา เขาให้เกียรติครอบครัวเรา เขาไม่เอาเราไปพูดที่ไหนแม้แต่ในกลุ่มเพื่อน เสมอต้นเสมอปลายตลอด และเรามีข้อตกลงกันว่าถ้าเราทะเลาะกันจะทะเลาะกันไม่เกิน 1 วัน
...
พื้นฐานคือเราทั้งคู่รักกัน และยิ่งพอเรามีลูกคืออารมณ์ของเราเย็นลงมาก แต่เขากลับกลายเป็นคนที่โมโหเร็วกว่าเพราะว่าเขาทำงาน เป็นคนคิดเร็ว คิดไปข้างหน้า แต่พอมีลูกดีขึ้นเยอะค่ะ และเป็นคนที่ไม่เจ้าชู้เลย เป็นคนรักครอบครัวมาก ซึ่งอันนี้เรารู้สึกว่าเราโชคดีที่ได้ผู้ชายคนนี้มาเป็นคู่ชีวิต
เป็นครอบครัวที่มีความรักที่แข็งแรง ภาพในอินสตาแกรมเป็นครอบครัวที่ดูรักและมีกิจกรรมที่ทำร่วมกันเยอะแยะมากมาย?
แหม่ม : ชอบทำอะไรด้วยกัน เพราะเรารู้สึกว่าไม่รู้วันหนึ่งวันใดที่ลูกโตเป็นหนุ่มแล้ว เขาจะไปเล่นกับเพื่อน ไปอยู่กับเพื่อน เราเลยพยายามกอบโกยเวลาที่มีอยู่ให้ได้มากที่สุด
ตอนนี้เป็นคุณแม่ลูกสามแล้ว ลูกคนโตเป็นหนุ่มแล้วด้วย?
แหม่ม : น้องแมคตอนนี้อายุ 15 แล้วค่ะ น้องคิน น้องเนซซี่ พอเขาโตขึ้นตอนนี้เราก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะมีสาวๆ เข้ามาชอบ เราถูกใจไม่ถูกใจนะคะ
มีใครที่มีทีท่าจะเข้าวงการบ้างไหม?
แหม่ม : ดูท่าทางคือยังไม่มีนะคะพี่ฉอด แต่ว่าดูแล้วแมคน่าจะเป็นคนที่มีแววที่สุดค่ะ เพราะเขาเป็นคนขี้เล่นแบบพี่วิลลี่ เขาก็จะบอกว่าแม่ๆ หล่อไหม ทรงผมนี้เป็นยังไงบ้าง แต่พอเขาเจอคนเยอะๆ เขาก็จะเป็นอีกแบบเลยนะคะ
แต่ลูกๆ ห่วงคุณแม่มาก?
แหม่ม : แมคมีหวงแม่แบบว่า ถ้าเขาเห็นว่าค่ำแล้วแม่ยังไม่กลับก็จะโทรหา ทักหาเรา แต่ตอนนี้แมคได้ส่งต่อสิ่งนี้ไปสู่น้องคินที่จะเป็นคนมาตามเรา เขาโทรหาเราเยอะมาก บางทีเราทำงานอยู่ เราก็จะบอกเขาว่าคินๆ แค่นี้ก่อนนะ เพราะทุกคนในกองรออยู่
เขาก็จะบอกว่าไม่ได้ๆ คุณแม่จะเสร็จกี่โมง เราก็ไม่สามารถบอกเขาได้เป๊ะๆ ว่าจะเสร็จกี่โมงเพราะเวลาคนทำงานในวงการบันเทิง เราก็บอกไปว่าประมาณเขาก็จะถามว่าประมาณเท่าไรกี่นาที แล้วก็มีถึงขั้นว่าเราไปถ่ายในป่า เขาก็หวงเราว่าเราเปลี่ยนเสื้อตรงไหน เราก็บอกว่าเขามีเต็นท์ให้เปลี่ยน มีใครเห็นแม่ ๆไหม แล้วบางครั้งคือต้องถ่ายรูปแล้วส่งไปให้คินดูว่าวันนั้นใส่แบบไหนที่ถ่ายละคร แต่ก็ชื่นใจอีกแบบ
แต่ลูกสาวคนเล็กเท่าที่เราสังเกตคือเขามีความเหมือนเรามาก สำหรับเนซซี่จะเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้นักเลงๆ นิดนึง เพราะคุณยายจะเรียกเขาว่าดาวเรือง เพราะเมื่อก่อนจะมีละครเรื่องดาวเรือง แล้วนางเอกจะแก่นๆ เถียงคน สู้คน คุณย่าจะเวียนหัวกับเนซซี่มาก จนคุณยายพูดว่าแม่เธอตอนเด็กๆ เขาเรียบร้อยมากเลยนะ เขาไม่เป็นแก่นเหมือนเราหรอก
แต่ลูกๆ ดูเหมือนไม่เข้าใจความดังของคุณแม่เท่าไร?
แหม่ม : เขาก็งงค่ะ พี่ฉอด อย่างตอนแมค 7-8 ขวบ มีคนเจอแล้วยิ้มให้เข้ามาขอถ่ายรูป เขาก็จะแบบแม่ๆ ทำไมเขารู้จักแม่ๆ เราก็อธิบายให้เขาฟังว่าเขาคงรู้จักจากที่แม่ออกทีวี ออกรายการบ้าง
ที่มีลูกเยอะเพราะกลัวลูกเหงาเพราะตัวเองมีแค่พี่ชายคนเดียว?
แหม่ม : ใช่ค่ะ เพราะเราชอบอยากมีลูกเยอะๆ ความที่เรามีพี่น้องแค่สองคน พอพี่วิลลี่ไม่อยู่เหงามาก พอแม่ดุไม่มีพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะหันไปหาใคร แต่ตอนนี้เรามีลูกสามคน เราทำความเข้าใจเลยว่าถึงเราเลี้ยงเหมือนกัน แต่นิสัยที่โดยกำเนิดไม่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันอะไรเยอะนะคะ เพราะบางคนอาจจะได้เราไป แต่อีกคนก็ได้จากคุณพ่อเขาไป
วันนี้คุณแม่คนสวยมานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว อยากจะบอกอะไรกับลูกๆ ทั้งสามคนที่เป็นหัวใจของคุณแม่บ้าง เพราะถึงวันนี้ คุณแม่กล้าที่จะพูดว่าแม่มีชีวิตอยู่เพื่อลูก?
แหม่ม : ก็จริงอย่างที่พี่ฉอด พี่อ้อย พี่อั๋น พูดนะคะ ว่าแน่นอนคนเป็นแม่ทำทุกอย่างเพื่อลูกอยู่แล้วอยากจะให้ลูกทั้งสามคนที่ดูอยู่นะคะ อย่าลืมสิ่งที่พ่อและแม่สอนเราจะต้องเป็นคนดีอย่างไร ดูแลระมัดระวังอะไร เป็นพี่น้องต้องรักกัน พี่ต้องดูแลน้อง น้องต้องเชื่อฟังพี่ เกิดวันใดวันหนึ่งแม่ๆ กับพ่อไม่อยู่แล้วเราก็ต้องดูแลกันเอง แล้วก็รักกันมากๆ และที่สำคัญที่สุดเราต้องเป็นคนดีค่ะ (น้ำตาคลอ) แม่ๆ รักแมค คิน เนซซี่ ที่สุด จะร้องไห้
ทุกวันนี้พูดได้เลยว่าชีวิตของแหม่ม คัทลียา อยู่เพื่อลูก?
แหม่ม : แหม่มว่าแม่ทุกคนนะคะ ลูกต้องมาที่หนึ่งโดยอัตโนมัติ โดยสัญชาตญาณ แต่เชื่อไหมว่าเราไม่เคยเห็นเวอร์ชั่นตัวเองนี้เลย แต่ว่าถามว่าชอบเด็กไหมชอบเด็กมาก ชอบเล่นกับเด็ก แต่เราไม่ได้นึกว่าจะแต่งงานเป็นคุณแม่แต่ภาพที่ไกลมาก แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าเราไม่อยากแต่งงาน แต่เป็นเจ้าสาวที่กลัวฝนไหมก็มีเหมือนกัน
ในความเป็นแม่ที่ทำทุกอย่างเพื่อลูก แล้วในความภรรยาเป็นภรรยาสไตล์ไหน?
แหม่ม : เราก็ไม่ได้มีภาพว่าเรามีสามีเราต้องเป็นสไตล์นั้นสไตล์นี้อยู่ในหัว แต่พอมีสามีเราก็ค่อนข้างปรับเข้าหากันค่อนข้างมากโดยอัตโนมัติน่าจะเป็นทุกบ้าน ซึ่งแหม่มรู้สึกว่าอะไรยอมได้เราก็ยอม เราก็ให้เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวจริงๆ เราก็ไม่ไปข่ม ไม่ไปทับไลน์ หรือมีอะไรที่ต้องตัดสินใจเราก็ให้เขาเป็นคนตัดสินเพราะเราไว้ใจในการตัดสินใจของเขา
อะไรคือสิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้เราปรับตัวเป็นภรรยา จากความโสดในวันนั้นเปลี่ยนมาเป็นภรรยา เป็น แหม่ม คัทลียา กระจ่างเนตร์?
แหม่ม : มีลูกค่ะ พอเรามีลูกเราก็ต้องปรับ ทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวนี้ไปได้ดีที่สุด ทุกข์ให้น้อยที่สุด ปัญหาให้น้อยที่สุดเพราะว่าเราทำเพื่อลูก แต่ถ้าถามว่าทำไมเป็นผู้ชายคนนี้เพราะเขามีความใกล้เคียงคุณพ่อเราที่สุด เราเป็นคนที่ช่างจู้จี้เหมือนกัน เรื่องเยอะ ยอมรับเลย ที่ต้องเป็นผู้ชายคนนี้เพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษ อันนี้สำคัญมาก
เรามักเรียนรู้วิธีคิดจากชีวิตของหลายๆ คน อะไรในชีวิตที่ผ่านมาแล้วอยากจะแบ่งปัน แล้วรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นวิธีคิดและเป็นกำลังใจให้กับคนอื่นบ้างในการรับมือสิ่งที่เกิดขึ้น?
แหม่ม : สำคัญที่สุดเลยนะคะ แหม่มว่าคือการมีครอบครัวที่อบอุ่นสำคัญมากสำหรับแหม่ม ไม่ว่าจะไปเจออะไรมาหนักหนาสาหัส ขาดความรัก ขาดความเข้าใจตรงไหน พอเราหันมาหาครอบครัวจะซัพพอร์ตเราเสมอ ไม่ว่าจะเป็นก่อนที่เราจะมีครอบครัวก็คือคุณพ่อคุณแม่หรือพี่วิลลี่ แหม่มโชคดีที่มีครอบครัวที่ดีและเข้าใจ
สำคัญคือเราต้องพูดกันให้มากขึ้น ความรัก ความผูกพัน จิตใจที่ใสสะอาดและการมองโลกในแง่ดี ในแง่บวก การมีความหวังมีกำลังใจ มันจะเป็นพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้ชีวิตเราก้าวไปได้อย่างมั่นคงและแข็งแรง ต่อให้จะมีอุปสรรคอะไรก็แล้วแต่นะคะ อยากจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนว่าทุกคนเกิดมาเท่ากัน เพียงแต่ว่าตั้งสติให้ดี หากำลังใจจากคนรอบข้าง จากคนที่เขารักเรา เพราะฉะนั้นมองโลกในแง่ดี คิดบวกเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงค่ะ เป็นกำลังใจให้
และอีกอย่างสำหรับตัวแหม่มเลยคือต้องขอบคุณ ครม. ที่รักและซัพพอร์ตให้กำลังใจแหม่มมาตลอด ขอบคุณแฟนๆ ทุกคนที่ติดตามผลงานแหม่มมาตลอด แล้วก็ที่... (น้ำตาไหล) พูดมาเสมอว่าถ้าไม่มีคนเหล่านี้ก็คงไม่มีแหม่มวันนี้ ก็ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้มาโดยตลอด และดูแลหัวใจแหม่ม พูดเสมอ คนเหล่านี้คือลมใต้ปีกแหม่มมาตลอด ขอบคุณค่ะ (ยกมือไหว้ขอบคุณพร้อมน้ำตา).