• ธงชัย เล่าชีวิตเกือบพลิกเป็นลูกคุณหนูเมื่อพ่อเกือบถูกรางวัลที่ 1 
  • สุดสู้ชีวิตจากนักแสดงตัวประกอบ จนกลายเป็นผู้กำกับฝีมือฉกาจ
  • การจากไปของ ตั้ว ศรัณยู ให้สติทำให้คิดถึงตัวเองมากขึ้น 


ธงชัย ประสงค์สันติ ที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับชื่อของผู้ชายคนนี้ เพราะธงชัยอยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายสิบปีแล้ว เริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นนักแสดงฝึกหัดของช่อง 3 จนตอนนี้กลายเป็นผู้กำกับละครชื่อดังที่นักแสดงหลายคนอยากจะร่วมงานละครที่ผู้ชายคนนี้กำกับสักครั้งในชีวิตของการเป็นนักแสดง

วันนี้เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้กำกับละครชื่อดังคนนี้อีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เราเคยได้สัมภาษณ์พูดคุยกับพี่ธงตามงานบวงสรวงละครอยู่บ่อยๆ พูดแล้วก็น้ำลายสอ คิดถึงอาหารที่กองของพี่ธงที่ชอบเลี้ยงข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ทอด เอ้า นอกเรื่องไปอีก กลับมาที่ประเด็นที่เราจะไปคุยกับพี่ธงกันดีกว่า 

ซึ่งในช่วงต้นปี ธงชัย ประสงค์สันติ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตการทำงานของตัวเองอีกครั้ง ซึ่งการย้ายจากช่อง 7 ไปอยู่ช่องวันนั้นเป็นข่าวใหญ่ไม่น้อย พร้อมกับกระแสที่ถาโถมเข้ามา จากวันนั้น จนถึงวันนี้ เราเพิ่งจะได้มีโอกาสคุยกับพี่ธงอีกครั้ง ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดคุยเรื่องราวชีวิตของผู้กำกับคนนี้ในอีกบางมุมที่หลายคนอาจจะไม่เคยได้รู้ แต่ก่อนจะเริ่มต้นคำถามแรก เราขอหายใจให้ทั่วท้องก่อน เพราะต้องเดินขึ้นมาตั้ง 4 ชั้น พอเริ่มทำงาน เราก็ลุยกันเลย

นักแสดงตัวประกอบประจำกองหนองแขม

คำถามแรก เราขอย้อนชีวิตของพี่ธงไปสมัยเริ่มเข้าวงการ งานนี้ทำเอาผู้กำกับคนเก่งถึงกับร้องเสียงดัง เพราะถ้าย้อนไปไกลขนาดนั้น เล่า 3 วันก็คงไม่จบ แต่พี่ธงก็ใจดี เล่าให้เราฟังว่า ชีวิตของพี่ธงนั้นเริ่มต้นจากการเป็นเด็กกิจกรรม ชอบทำกิจกรรม ชอบดูหนัง ดูวงดนตรี จนเพื่อนๆ และคนรอบข้างเห็นแววการชอบแสดงออก

และวันหนึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐประกาศรับสมัครนักแสดงช่อง 3 เลยจะไปสมัคร แต่ตอนนั้นไม่มีเงิน เพื่อนๆ ก็พากันลงขันคนละ 5 บาท 10 บาท จนรวบรวมเงินมาได้จำนวนหนึ่ง จึงหนีแม่ไปออดิชั่นที่กรุงเทพฯ แม้ตอนนั้นจะรู้ว่าคนที่จะเป็นดาราต้องหน้าตาหล่อเหลา แต่ตัวเองนั้นหัวหยิก ขี้เหร่ แต่เพื่อความฝัน ยังไงก็ต้องมาตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ 

พี่ธงเล่าให้เราฟังต่อว่า ตอนที่มาออดิชั่นก็ไม่มีบ้านอยู่ แต่ไปบอกอาจารย์ว่ามีญาติเป็นคนอีสานเยอะ แต่จริงๆ ไม่มีสักคน ก่อนจะหัวเราะเสียงดังกับเรื่องราวชีวิตของตัวเองในอดีต และพูดต่อว่า "ชีวิตพี่มันมีสตอรี่มาก" แล้วพี่ธงก็ย้อนวันวานของตัวเองให้เราฟังต่อว่า ตัวเองนั้นเป็นนักแสดงฝึกหัดอยู่ช่อง 3 อยู่ที่นั้นถึง 6 ปี

เรียนทุกแขนงวิชา เขียนบท ร้องเพลง การแสดง เรียนแต่งหน้า และเรียนเต้น ตอนนั้นก็อาศัยอยู่ที่หนองแขม ได้เล่นเป็นตัวประกอบอยู่หลายเรื่อง ได้เงินจากการเล่นเป็นตัวประกอบหลักพัน หลักร้อย หรือไม่ก็หยิบยืมพี่ๆ ที่หนองแขมบ้าง เรียกว่าชีวิตค่อนข้างสู้สุดๆ 

ซึ่งพี่ธงเล่าถึงชีวิตตอนนี้ด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเป็นสุขถึงชีวิตในช่วงนั้นที่ผ่านมาหลายสิบปีว่า "ตอนนั้นพี่อดทนมากนะ จนเขียนเพลงหนึ่งขึ้นมาในชีวิต คือเพลงตัวประกอบอดทน (หัวเราะ) พี่เอาเพลงของพี่แอ๊ด คาราบาว ชื่อเพลง ท.ทหารอดทน มาแปลงเป็นตัวประกอบอดทน

แต่เอาตรงๆ นะ ตอนนั้นพี่เห็นแสงอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นความเชื่อ ความศรัทธาที่เราเห็นว่ามันสำเร็จแน่ แต่ระหว่างทางมันสุดๆ จริงๆ ได้เงินจากการเป็นตัวประกอบบ้าง ขอเงินจากพี่ๆ ที่อยู่ช่อง 3 หนองแขมบ้าง (หัวเราะ) ยืมเพื่อนบ้าง ช่วงชีวิตตอนนั้นแหละที่ทำให้ได้วิชามาเยอะเลย"

ไม่แปลกใจว่าทำไม ชีวิตของผู้ชายคนนี้ ธงชัย ประสงค์สันติ ถึงมีวันนี้ได้ วันที่เป็นแค่ตัวประกอบค่าตัวหลักร้อย จนกลายมาเป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียงทำเรตติ้งละครได้สูงลิบ แต่การที่จะมาอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องพิสูจน์ฝีมือและได้รับโอกาสนั้นมา ซึ่งพี่ธงเล่าให้เราฟังถึงช่วงชีวิตที่เริ่มได้รับโอกาสดีๆ ว่า 

โอกาสมาต้องคว้าไว้

"พี่ก็เรียนรู้เก็บประสบการณ์มาเรื่อยๆ แต่เอาจริงๆ ไม่คิดจะเป็นผู้กำกับหรือนักแสดง แต่พอเราได้มาอยู่ในวงการ ได้เห็นครูวิจิตร คุณาวุฒิ คนทำงาน รู้สึกว่านี่คือไอดอลของเรา เก็บประสบการณ์มาเรื่อย

จนวันหนึ่งก็ได้ทำฝันจนสำเร็จ เมื่อคุณประภาส ชลศรานนท์ จะสร้างวงดนตรี ก็เลยมาชวน พี่ก็เอาเพลงน้ำตาฟ้าที่เพื่อนแต่งมาร้องให้ฟัง จนสุดท้ายได้เป็นวงสามโทน นอกจากนี้ก็ยังได้มาเป็นพิธีกรรายการ

และจนวันหนึ่งช่องเวิร์คพ้อยท์จะทำละคร พี่ก็หาผู้กำกับให้เขา ไม่คิดทำเองเพราะเราเป็นพวกสุขนิยม มีความพอเพียง เห็นคนทำงานแล้วเครียดเพราะมันเป็นเรื่องเงิน

และอีกอย่างเราเป็นคนต้นทุนน้อย ไม่มีเงินลงทุน ใครจะทำบริษัทสมัยนั้นต้องใช้เงินหลายล้าน เราเป็นพวกใครรวยก็ไปแห่ยินดีกับเขา ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องทำ

จนวันหนึ่งได้ทำละครที่เวิร์คพอยท์เพราะไม่มีคนกำกับ ลองทำดูแล้วชอบเพราะเป็นละครสั้น จะบอกให้นะ ถ้ามีคนให้โอกาส และคิดว่าเราทำได้จงกระโดดเข้าใส่เลยนั่นคือการสอบมหาลัยชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

มันจะพาชีวิตคุณไปข้างหน้าเยอะแยะมากมาย ซึ่งตอนนั้นพี่ไม่กลัวอะไรแล้ว เพราะความชอบในด้านนี้มันมีอยู่ตั้งแต่เด็กพอได้เริ่มลงมือทำ มันกลับมาเหมือนเดิมเลย

ซึ่งสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างมันคือการเปิดใจที่จะเรียนรู้ เราไม่ฉลาด แต่เราก็ไม่โง่ เรามีความเรียนรู้และใฝ่ดี มุ่งมั่นให้งานมันเสร็จ เราอยู่กับงาน เราไม่ได้อยู่กับตัวเอง เราทุ่มทั้งหมดไปที่งานมันก็เลยสนุกมาก" พี่ธงพูดถึงเรื่องนี้ไปและยิ้มไปด้วยกับโอกาสที่ได้รับมาเมื่อหลายปีก่อน

เราถามพี่ธงต่อว่า แต่จากการเป็นนักแสดงตัวประกอบ นักร้อง ทำพิธีกร และวันหนึ่งมาทำผู้กำกับ มีคนเชื่อในฝีมือเหรอ ในตอนนั้นต้องพิสูจน์ตัวเองมากมั้ย ผู้กำกับคนเก่งบอกกับเราด้วยท่าทีที่สบายๆ ว่า 

"ละครออนแอร์ไปหลายตอนแล้ว แต่ยังมีคนไม่เชื่อว่าพี่ทำ แต่พี่รู้สึกเฉยๆ นะแม้จะไม่มีคนเชื่อว่าเราทำละคร ปัจจุบันก็ไม่อยากให้ทุกคนมองที่ตัวเอง อยากให้ติที่งานมากกว่า มันจะยิ่งทำให้เราแข็งแรงขึ้น พัฒนาขึ้น ตรงไหนที่ไม่ดีก็ปรับ อันไหนที่ดีก็เป็นกำลังใจให้เดินต่อไป"

ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอด

จากผลงานและเรตติ้งละครที่สะสมมา ตอนนี้ ทำให้ชื่อของ ธงชัย ประสงค์สันติ ขายได้ แแค่ได้ยินชื่อคนทำก็รู้แล้วว่า ละครเรื่องนี้ต้องเรตติ้งสูงมาก เจอคำถามนี้ พี่ธงรีบบอกกับเราเลยว่า 

"ละครของพี่ก็จะเป็นแบบบ้านๆ พอลูกเรียนจบนอกมาดีใจมากเลย บอกลูกช่วยทำอะไรก็ได้ให้มันใหม่ๆ หน่อย เมื่อก่อนเราคิดอะไรก็ตามก็จะมีเพดานของความคิดมาติดอยู่ ลูกมาเป็นคนทะลุเพดานให้นะ" ตอบคำถามเรื่องนี้พี่ธงยิ้มภูมิใจกับการที่มีลูกชายเข้ามาช่วยงานของพ่อเป็นอย่างมาก ก่อนจะเล่าต่อถึงเรื่องความกดดันในการทำละครให้เรตติ้งสูงตามที่หลายคนคาดหวังว่า 

"เอาจริงๆ พี่ไม่กดดันเรื่องการทำละครให้เรตติ้งสูงนะ เพราะเคยร้องไห้หนักให้กับความลำบากของชีวิตมาแล้ว (ยิ้ม) ทั้งเรื่องกว่าจะเป็นนักแสดงได้ เรื่องพ่อแม่เริ่มไม่ไหวกับเรา

กว่าจะฝ่าฟันตรงนี้มาได้ แอบเสียใจกับชีวิตตัวเองมานานพอสมควรแล้ว พี่ถึงบอกว่าโอกาสอะไรที่เราทำได้ให้กระโจนเข้าใส่เลยนะ มันไม่มีหรอก ที่จะมีคนมาประกาศตามสายเรียกตัวเรา เพราะฉะนั้นโอกาสมาเราต้องรีบคว้าไว้

แต่ยอมรับนะว่า เรตติ้งละครเป็นตัววัดความสำเร็จของเรา เพราะนายทุนคนที่จ้างเรา เราเป็นผู้ผลิตเราต้องทำให้เต็มที่ เมื่อก่อนสปอนเซอร์เยอะ แต่ปัจจุบันทำละครก็ต้องมีในวงเล็บด้วยนะว่านายทุนด้วย (หัวเราะ)"

เพราะทำงานอยู่ในวงการบันเทิงมายาวนาน เราเลยถามพี่ธงว่า ในช่วงที่วงการบันเทิงมีการเปลี่ยนแปลงมากๆ ในช่วงหลังเริ่มเครียดหรือไม่ มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไร ซึ่งพี่ธงบอกกับเราว่า 

"โดยส่วนตัวเป็นห่วงลูกน้องที่เราดูแลอยู่เกือบร้อยคนจะไปอยู่ยังไง ระบบมันเปลี่ยนไปหมดเลย คนที่ไม่เรียนรู้มันก็จบ แต่สำหรับพี่ ก็วางใจเป็นกลาง อะไรเกิดขึ้นเรายอมรับได้ ว่าหมดยุคเราแล้วหรือมองว่ายังมีค่าเราก็ต้องรีบไปทำ เพราะยังมีคนดูแนวนี้อยู่

และบังเอิญพอดีคำ มีลูกชายและคุณเก๋ ภรรยา ที่เป็นหัวสมัยใหม่มาก พอมาอยู่ช่อง ONE หัวสมัยใหม่มาเจอกัน เราก็ยิ่งแฮปปี้มาก พร้อมอยู่ พร้อมไป พร้อมเปลี่ยน เราไม่หยุดนิ่ง หมุนไปเปลี่ยนแปลงไปตามโลก ละครช่องอื่นเขาทำอย่างไรบ้าง มันหยุดไม่ได้ ต้องรอบด้านนะ

แล้วเวลาคุยกับลูก ก็มีความขัดแย้งแน่นอน แต่ในความขัดแย้งเป็นเชิงสร้างสรรค์ เพราะเราก็อยากให้ละครความคิดลูกมันประสบความสำเร็จ

ก็ขอให้ลูกประสบความสำเร็จ เราเดินกันคนละครึ่งทาง ถ้าเรามัวแต่อวยกันนะ แย่เลย (ยิ้ม) ผมจะบอกลูกเสมอว่าพ่อชมมันไม่เท่าคนอื่นชม จำไว้ พ่อมีแค่กำลังใจ คำชมน้อยมาก ถ้าใครจะชมขอให้คนอื่นเป็นคนชมดีกว่า"

ย้ายบ้านมาอยู่บ้านหลังใหม่ มีละครอะไรแซ่บๆ ที่ไม่ใช่แนวพอดีคำหรือไม่ งานนี้ ธงชัย ประสงค์สันติ รีบขายของละครเรื่องใหม่ที่แซ่บสุดๆ ว่า "มีอยู่แล้ว เร็วๆ นี้คงจะได้ดู เรื่องพายุทราย เอสเธอร์กับฟิล์ม (หัวเราะ) ไหปลาร้าแตกเลยนะ หนอนดิ้นออกจากปากไหแทบไม่ทัน แต่ช่องวันก็มีละครแซ่บๆ อยู่แล้ว การที่ผมมาอยู่ก็จะได้มีอะไรหลากหลาย"

ตั้ว ศรัณยู ทำให้กลับมาคิดถึงตัวเอง

เพราะอะไร ธงชัย ประสงค์สันติ ถึงดูไม่ยึดติดกับชื่อเสียง ซึ่งเรื่องนี้พี่ธงได้เล่าพร้อมกับยกตัวอย่างในชีวิตที่เกิดขึ้นให้เราได้ฟังและคิดไปพร้อมกันว่า 

"ชีวิตพี่มันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก พ่อเกือบถูกรางวัลที่ 1 พ่อขายลอตเตอรี่ กำรางวัลที่ 1 ไว้ในมือแล้ว หวยใกล้ออกแล้ว แต่ดันมีคนมาขอซื้อไปพ่อก็ขาย แล้วคนนั้นก็ถูกรางวัลที่ 1 พี่เลยปลงกับชีวิตไง (หัวเราะ)

ยิ่งตอนที่พี่ตั้ว ศรัณยู เสียชีวิต ทำให้เรารู้สึกและมานั่งถามว่า ตัวตนจริงๆ ของธงชัยมีอยู่มั้ย ในชีวิตเรามีแต่การแสดง บางทีอยากพักบ้าง อยากเกษียณ (หัวเราะ) อยากหยุดนั่งมอง พวกเราทำงานหนักโดยที่ไม่รู้ตัว บ้างาน

แต่นี้ก็เป็นแค่ฝันเพราะน่าจะยังไม่ได้เกษียณเร็วๆ นี้ (ยิ้ม) เกษียณแล้วก็อยู่แถวๆ นี้แหละ แต่เอาจริงๆ ตอนนี้ก็เกษียณอยู่ ไม่ได้ลุยงานเต็มที่แล้ว มีทำบ้างอาทิตย์ละไม่กี่วัน อยากเกษียณมันเป็นแค่ฝัน"

สัจธรรมชีวิต

โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมานาน ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เราอยากรู้ว่า วงการบันเทิงให้อะไรกับชีวิตขงผู้ชายคนนี้บ้าง ซึ่งผู้กำกับคนเก่งบอกกับเราว่า

“ถ้าถามในตอนนี้นะ ก็ให้สัจธรรมกับชีวิตมาก ไม่มีอะไรแน่นอน ดัง ดัง และดัง ลง ลง และลง ก็มีอยู่แค่นั้น ไม่มีอะไรนานเลยสักอย่าง เหมือนละครซ้อนละคร

สะท้อนให้เห็นชีวิตจริงมากขึ้น ชื่อเสียงที่ค่อยๆ หายไป แต่ถ้าถามคำถามนี้ในวัยหนุ่มๆ วงการบันเทิงก็ให้ทรัพย์สิน เงินทอง ชื่อเสียง ชีวิตที่ดีขึ้น ให้ความฝันที่ฝันเรามา (ยิ้ม)

พี่ชอบพูดกับภรรยานะว่า เราสองคนมาไกลมากเลยนะ จะไปหยุดกันตรงไหนนะ แต่พออยากหยุดก็เป็นห่วงลูกน้อง เหมือนที่เขาพูดกันว่าขี่หลังเสือแล้วก็ต้องไป แต่เราก็ไปในแบบของเรา ไม่ต้องกู้หนี้ยืมสิน ไม่อยากมีหนี้เยอะ ทำเท่าที่ทำได้

เขาบอกให้หยุด ต้องหยุด ไปตามน้ำ เพราะมันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อยู่ช่อง 3 มาอยู่ช่อง 9 จากช่อง 9 มาอยู่เวิร์คพอยท์ ออกจากเวิร์คพอยท์มาอยู่ช่อง 7 ออกจากช่อง 7 มาอยู่ช่องวัน มันมีแต่การเปลี่ยนแปลง"

"ไอ้ธง เจ็บพอรึยัง"

แต่เมื่อไม่นานมานี้ ชีวิตต้องมาเจอเรื่องดราม่าหลังจากที่ประกาศขอยุติการทำงานกับทางช่อง 7 และไปขอเริ่มงานกับทางช่องวัน ในช่วงนั้นต้องรับมือกับความดราม่าหนักแค่ไหน ซึ่งพี่ธงเล่าให้เราฟังว่า 

"ทุกการเปลี่ยนแปลงมีคลื่นกระทบหมด แต่สำหรับพี่มันก็ดีนะ มันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ คนสอบตกกับคนสอบเลื่อนชั้น จะเลือกเอาแบบไหน ทุกเรื่องราวเข้ามาไม่หยุด เราบอกให้มันหยุดได้ที่ไหนกัน ถามว่าจัดการกับแรงกระทบยังไง

เอาด้านบวกก่อน พี่สู้มาตั้งแต่เป็นตัวประกอบของช่อง 3 ก็สู้มาเรื่อยๆ ไม่หยุด แต่ด้านลบเคยถามตัวเองว่า พอยังไอ้ธง พอแล้วมั้ง ก็คิดว่ารอให้ลูกเรียนจบ รอให้ลูกน้องมีบ้านมีรถ เดี๋ยวค่อยพอ

เราช่วยคนได้เยอะก็เหมือนได้ทำบุญ พี่บอกน้องๆ เสมอว่า เราควรรักคนรอบข้างให้มากที่สุด เพราะได้บุญยิ่งกว่าถวายสังฆทาน (หัวเราะ) ก็เลยทำให้มีกำลังใจ ที่นี้ทำงานกันเป็นครอบครัว

แต่พี่เป็นคนเซนซิทีฟ เวลาอ่านคอมเมนต์ก็จะลบทิ้งบ้าง มันแรงเหลือเกิน แต่ตอนนี้เขาฟ้องกันแล้วนะ (หัวเราะ) แต่เราไม่ทันแล้ว ลบทิ้งไปหมดแล้ว (หัวเราะ) เวลาเจ็บปวดเราต้องเผชิญหน้ามัน ต้องเอาให้มันจบ อ่านแล้วนั่งน้ำตาไหล คิดมาก แล้วก็บอกตัวเองว่าจบแล้วนะ และก็โยนลงน้ำไป

ซึ่งตอนนั้นคุณเก๋ก็ห้ามดู แต่เรื่องเสียใจมันเป็นสภาวะเจ็บปวดที่เราต้องเจ็บปวดกับมัน ต้องย้ำตัวเอง มีเวลาเสียใจกับตัวเอง เรื่องดีๆ เรายังยินดี เวลาเสียใจก็ต้องเอา จี้มันเข้าไป ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่ตอนนี้เสียใจเรื่องหนังนะ (หัวเราะ)

แต่เรื่องตอนออกจากช่อง 7 จบไปแล้ว เราเหนือมันแล้ว แต่เรื่องพวกนี้เราผ่านมาแล้ว มันเป็นขั้นบันไดอย่างดีสำหรับเรา อย่าอนุโลมตัวเอง อย่าประโลมจิตใจตัวเองด้วยการให้อภัย เพราะบางทีมันจะไม่ได้อะไร อย่าหลอกตัวเอง ถึงเวลาเสียใจต้องเสียใจ ปล่อยให้มันเสียใจจะได้รู้"

ฟังจนคล้อยตาม มันคือสัจธรรมชีวิตดีๆ อีกอย่างหนึ่งที่หลายคนพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องทุกข์ใจ แต่พร้อมจะอ้าแขนโอบกอดเรื่องที่ดีๆ ไว้กับตัวให้มากที่สุดและนานที่สุด โดยลืมไปว่า เรื่องไม่ดี เรื่องทุกข์ใจมันก็ให้บทเรียนกับชีวิตเราได้เป็นอย่างดีเช่นกัน 

และเรายังหวังว่า ธงชัย ประสงค์สันติ จะยังไม่วางมือ เกษียณตัวเองไปในเร็วๆ วันนี้ เพราะฝีมือการกำกับละครที่เจ้าตัวชอบเรียกว่า ละครบ้านๆ นั้น ยังมีเสน่ห์และความสนุกที่หลายคนยังถวิลหา และอยากจะได้มาประโลมชีวิตหลังจากที่ต้องใช้ชีวิตหนักๆ ในโลกของความเป็นจริงในแต่ละวัน 

เรื่อง : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun

ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย