- เปิดเส้นทางการทำงานในวงการบันเทิงของ คริส พีรวัส
- เล่นหนัง ก่อนที่จะมาเล่นซีรีส์วาย
- เคยวิ่งแคสต์งานทุกวัน จนกระทั่งได้มาเล่นซีรีส์
เป็นนักแสดงหนุ่มที่โด่งดังมาจากซีรีส์สายวาย "SOTUS S The Series พี่ว้ากตัวร้ายกับนายปีหนึ่ง" ทำให้ คริส พีรวัส แสงโพธิรัตน์ แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับบทของ อาทิตย์ รุ่นพี่สายว้าก ประกบคู่กับ สิงโต ปราชญา จนทำให้ชื่อของ คริส-สิงโต กลายเป็นคู่จิ้นที่โด่งดังเป็นพลุแตกและมีแฟนคลับติดตามทั่วเอเชีย
จากวันนั้นถึงวันนี้ ชื่อ คริส พีรวัส ก็ยังคงไม่เลือนหาย เขายังมีผลงานออกมาให้แฟนๆ ได้ติดตามอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดกับบทของ พี่โก้ มือกลอง ในหนังเรื่อง My Rhythm (มาย ริทึ่ม) ซึ่ง คริส บอกกับ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ว่า หนังเรื่องนี้คือใบเบิกทางให้เขาได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง และเป็นเรื่องแรกที่ได้เล่น ก่อนที่จะมาเล่น SOTUS S The Series ซะอีก
โดยในวันที่เราไปเจอกับหนุ่มคริส เป็นงานวันเปิดตัวหนัง My Rhythm (มาย ริทึ่ม) ซึ่งดูเจ้าตัวจะแฮปปี้มากเป็นพิเศษ เพราะเป็นผลงานชิ้นแรกที่ได้ทำและเป็นเส้นทางนำไปสู่อีกหลายๆ งานในวงการบันเทิง อีกทั้งยังได้โชว์ฝีมือตีกลองด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ คริส รักและชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กๆ
...
หนังเรื่องแรก ผ่านไป 5-6 ปีเพิ่งได้ฉาย
"ก็จริงๆ เริ่มจาก My Rhythm (มาย ริทึ่ม) เป็นเรื่องแรกครับ เริ่มจากการที่ผมมาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย กำลังอ่านหนังสือสอบในห้องสมุด แล้วมีคนเข้ามาทักว่าไปแคสต์มั้ย แต่ผมเดาว่าเขาน่าจะรู้จักผมมาก่อนแล้ว เพราะผมเคยเล่นดนตรี แบบเขาตั้งใจมาหาผมโดยเฉพาะเลย แล้วเหมือนถามว่าไปแคสต์มั้ย พระเอกเป็นมือกลองนะ เรื่อง มาย ริทึ่ม
ซึ่งตอนนั้นผมเองก็พูดตรงๆ ว่าคือถ้าเกิดไม่ได้บอกเราว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับดนตรี ก็อาจจะไม่ได้ไป และไม่มีจุดเริ่มต้นเลยครับ คือ ณ ตอนนั้นที่ไปพูดเลยว่าเราสนใจแค่เรื่องดนตรีอย่างเดียว ก็เลยได้มาแคสต์ครับ แล้วพอหลังจากนั้นก็คือเรื่องนี้เหมือนเป็นประตูบานแรกเลย
เรื่องนี้ก็คือผลงานแรกของ คริส เลยครับ ก่อน SOTUS เลย เพราะว่าผลงานนี้ทำให้ SOTUS มา ผมบังเอิญไปรู้จักกับพี่โมเดลลิ่งที่พานักแสดงของ มาย ริทึ่ม มา แล้วเขาคนนี้แหละที่พาผมไปแคสต์ SOTUS ครับ มาย ริทึ่ม ถ่ายทำมาประมาณ 5-6 ปีได้แล้วครับ แต่เพิ่งจะได้มาฉายตอนนี้ครับ
มาย ริทึ่ม เป็นผลงานแรกที่มาแคสต์แล้วก็ได้เล่นเลย เพราะก่อนหน้านั้นผมไม่เคยไปแคสต์อะไรเลย เพราะว่าตอนนั้นเราเล่นแต่ดนตรีครับ
คือผมเล่นดนตรีมาตลอดตั้งแต่ ป.4 พอขึ้น ม.1 ก็มีวง พอขึ้น ม.ปลาย ก็มีวงดนตรี และเข้ามหาวิทยาลัยก็มีวงดนตรีครับ แต่ว่าไม่ได้เป็นวงที่ดังอะไร ไม่ถึงขั้นเป็นวงของมหาวิทยาลัยครับ อย่าง KU Band หรือ KU Acoustic Band เราก็ไม่ได้เข้าไปครับ อยากให้เป็นงานอดิเรกที่รู้สึกสนุกมากกว่า เลยไม่ได้จริงจังมาก"
"SOTUS นั้นเป็นภาพจำแรก แต่ในความเป็นจริงแล้วนี้ ผมเจอ มาย ริทึ่ม ก่อน SOTUS เป็นปีเลย เรื่อง SOTUS มาเล่นตอนเรียนปี 4 แล้ว พี่ผู้กำกับเขาพิถีพิถันในการตัดต่อมากๆ ครับ"
ตระเวนแคสต์งานจนท้อ
"เราเคยรู้สึกว่าเราอาจจะยังแสดงไม่ได้มั้ง เพราะว่าตอนเด็กๆ ผมก็เคยผ่านงานแสดงมาบ้างแล้ว ตอน ป.3 - ป.4 ซึ่งตอนนั้นผมก็มีปมในใจเหมือนกันนะ ไม่ผ่านอะไรเลยสักอย่าง
ได้เล่นเป็นแค่ตัวประกอบที่เดินผ่านกล้อง เราก็เลยแบบ เอ๊ะ หรือการแสดงมันไม่ใช่นะ ก็เลยไม่ได้รับอะไรเลย"
"คือหลังจาก มาย ริทึ่ม ปุ๊บ ก็เท่ากับว่าเหมือนผมได้เปิดประตูบานแรกไปแล้ว ผมได้เปิดไปเจองานหลายงานมากๆ มีพี่ๆ โมเดลลิ่งที่อยู่ในเรื่อง มาย ริทึ่ม ก็ส่งงานให้ผมด้วย หรือบังเอิญได้ไปเจอโมเดลลิ่งคนใหม่ด้วย ตอนนั้นผมวิ่งไปแคสต์งานเกือบ 30 งานได้ ภายในเทอมเดียว ผมวิ่งแคสต์แทบทุกวันเลยครับ
มีผม ไมค์ และเติ้ล ไปกัน 3 คนกับเพื่อนที่เรียนด้วยกัน ตระเวนแคสต์แทบทุกวัน เรียนเสร็จปุ๊บไปแคสต์ๆ หรือไปแคสต์ก่อนแล้วค่อยกลับมาเรียน เป็นอยู่อย่างนี้เป็นเดือนครับ งานที่ไปแคสต์ก็มีทั้งภาพยนตร์ โฆษณา หนังสั้นบ้าง เยอะมากครับ ผมแคสต์หมดเลยครับ
ตอนนั้นลึกสุดเหมือนเข้ารอบตอนไปประกวดของดีแทค อันนั้นดีใจมากเลยคิดว่าเราต้องได้แน่เลย แต่ก็ไม่ได้ แต่ว่ามาได้อยู่อันเดียวเลยคือช่วงที่แคสต์ประมาณงานที่ 29-30 พอได้ SOTUS ปุ๊บ ผมเลิกแคสต์งานทั้งหมดเลย
...
ตอนที่ไปแคสต์ SOTUS ผมได้ข่าวมาว่าเขาหาแคสต์ตั้งแต่เชียงใหม่ แล้วผมไม่ได้ไปด้วยนะ คนมาแคสต์ประมาณ 700 คน แล้วมีคนมาแคสต์ต่อที่กรุงเทพฯ ประมาณ 400 กว่าคน ตอนนั้นมีคนมาแคสต์เป็นพันคนเลย ผมก็มารอแคสต์ที่กรุงเทพฯ รอบสุดท้ายแล้วครับ"
ไม่เคยเข้าใจคำว่าสายวาย ไม่เคยเปิดใจ
"พอได้ปุ๊บ ณ ตอนแรกที่ได้ไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย รู้แค่ว่าเป็นละครชายรักชาย และเราไม่อยากเล่นด้วย เราไม่เข้าใจคำว่าจิ้น เราไม่เข้าใจคำว่า วาย เราไม่เข้าใจคำว่า ซึน เราไม่เข้าใจคำอะไรเลย และไม่เคยดูเลยครับ
แล้วตอนนั้นพูดตรงๆ ไม่ได้เปิดใจด้วยครับ คือเราเป็นผู้ชาย เราก็ชอบดูผู้ชายกับผู้หญิงไรงี้ครับ พอเป็นชาย-ชาย ณ ตอนนั้นเราก็เด็กด้วย เราก็ เอ๊ะ อะไร จะดีเหรอ
ผมคุยกับคุณพ่อเลยว่า ป๊า เรื่องนี้ชายรักชายนะ จูบกับผู้ชายนะ ป๊าโอเคเหรอ ซึ่งคุณพ่อผมเขามองเป็นการทำงานมากๆ เขาบอกว่าเป็นโอกาสให้ได้ฝึก เอาไปเถอะ ไม่ได้คิดอะไร ก็เลยกลายมาเป็นตรงนี้"
"ผมไม่ได้คิดว่าจะดังเลยครับ เพราะว่าหลังจากประกาศตัวนักแสดง SOTUS S The Series ไปแล้วเนี่ย ผมโดนค้างไว้อยู่ปีหนึ่ง เวิร์กช็อป 6 เดือนแบบที่ยังไม่ได้เข้าแกรมมี่นะครับ
...
พอเข้าแกรมมี่ปุ๊บเวิร์กช็อปต่ออีก 2 เดือน คือมันทำให้เราไม่ได้ออกมาทำงานจริงเป็นปี ตอนนั้นเพื่อนๆ ก็แซวนะว่าโดนดองแน่ คือเพื่อนๆ เขาไม่รู้ไง เขาเลยแซวไปแบบนั้น แต่ความจริงคือมันเป็นช่วงขัดเกลา ฝึกฝน สุดท้ายก็มาเป็นถึงตรงนี้ครับ"
เรียนมากับ สิงโต ปราชญา แต่ไม่ได้สนิทกัน
"ตอนนั้นผมกับพี่สิงโต (ปราชญา) อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน แต่คนละชั้นปีครับ เขาเป็นพี่ว้าก ผมก็เป็นพี่ว้ากเหมือนกัน แต่เขาเป็นรุ่นพี่ ทั้งผมทั้งพี่สิงโตที่ได้ไปแคสต์ SOTUS น่าจะมาจากการเป็นพี่ว้ากครับ เขาอยากเป็นพี่ว้ากจริงๆ ในเรื่อง เพราะมันจะได้เข้าใจระบบ ก็เลยโชคดีได้ไปกันทั้งคู่เลย"
มันประหลาดนะเพราะว่า คือต้องบอกอย่างนี้ ผมกับพี่สิงเราเรียนด้วยกันก็จริง แต่คือไม่ได้สนิทกัน เราไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน ไม่ได้ไปไหนด้วยกันอย่างนี้ครับ มาได้ไปไหนด้วยกันตอนที่เรา SOTUS แล้ว
ก็คุยกับเขานะว่าเราไม่เคยมีปัญหาเรื่องความเขิน หรือยี้กันอะไรเลย แต่ส่วนใหญ่มันจะเป็นเรื่องของการทำงานแรกๆ ที่ต้องปรับตัวเข้าหากันนิดนึงครับ เพราะแต่ละคนจะมีออปชันเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่จะเป็นตรงนี้มากกว่าครับ
...
อย่างเช่น พี่สิงเขาจะเป็นคนไม่ชอบแต่งตัวเลย จะเป็นอะไรที่ดูพื้นมากๆ ครับ แต่เราแต่งตัวมาก บางครั้งไปงาน มันเหมือนไม่ได้ไปด้วยกัน คนนึงทะมึนทึนเรียบมาก อีกคนแฟชั่นจ๋าเลย เพราะฉะนั้นมันต้องมีการปรับตัวเข้าหากันนิดนึง ผมก็ต้องซอฟต์ลงบ้าง ส่วนเขาก็ต้องแต่งตัวแฟชั่นขึ้นบ้าง เป็นเรื่องปรับตัวแบบง่ายๆ ครับ"
"ส่วนการทำงานของผมกับพี่สิงก็ดีครับ หลังๆ มาก็สบายดี เรารู้จักกันมาประมาณ 8-9 ปีแล้วครับ
แต่ช่วงหลังๆ เราค่อนข้างที่จะเริ่มขยายไปตามทางของตัวเองแล้ว พี่สิงเขาก็มีทางของเขา ผมก็มีทางของผม ของผมอาจจะเป็นเรื่องเพลงที่มากขึ้น ของพี่สิงก็ตั้งใจอยากทำเบื้องหลังด้วย ผมว่าแต่ละคนก็มีชีวิตและอนาคตของตัวเอง
ผมมั่นใจว่าร่วมงานกับใครก็ไม่ดีเท่าเขาแล้วแหละ เพราะเรารู้วิธีหมดแล้วว่าเราแกล้งเขาได้มากน้อยแค่ไหน เราพูด เราหยอก เพราะฉะนั้นงานจะไปได้เร็วและง่ายครับ แต่ผมว่านะ สำหรับผมกับพี่สิง อาจจะมีช่วงแรกที่เป็นการทำงาน เราไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เราไม่รู้ว่าแบบนี้เรียกว่า วาย ใช่มั้ย
หลังๆ มามันไม่จำเป็นเลยครับ หลังๆ มาเราไม่จำเป็นต้องมาหวานเยิ้มแบบเมื่อก่อนด้วย คือพี่น้องเลย ตบแกล้งกัน หยิกกัน แฟนคลับก็โอเคแล้วครับ เขาไม่อยากให้ธรรมชาติหายไปมั้งครับ หลังๆ ไม่ต้องทำอะไร ชิลๆ อยู่ไป"
ไม่ชอบสายวิชาการ แต่เลือกเรียนเศรษฐศาสตร์
"จริงๆ จะพูดตามตัวละครในภาพยนตร์ มาย ริทึ่ม เลยก็ได้นะ เราเป็นคนที่ชอบเล่นดนตรี เรามีไอดอล เรามีพี่ชัช เรามีพี่กาน เรามีพี่เคน คือทุกคนเป็นไอคอนของเรามาตั้งแต่เด็ก เราเป็นชาวร็อก เราดูคอนเสิร์ตร็อก แล้วก็มีความฝันครับ
ตอนเด็กๆ ผมอยากเป็นมือกลองจริงๆ ผมเคยจะทำวงกับอาจารย์ด้วยตอนนั้น แต่ช่วงนั้นติดงาน ติดเรียนก็เลยไม่ได้ทำครับ ตอนนั้นความฝันในวัยเด็กเราก็เป็นแค่นั้นเลยครับ อยากเป็นนักดนตรี ชอบตีกลองมากครับ
ถ้าสมมติผมไม่ได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ผมว่าผมคงเดินทางทางดนตรีครับ เพราะเราไม่ชอบวิชาการ เราไม่ถนัดเลย สุดท้ายอาจจะเป็นนักดนตรีกลางคืนมั้ย หรือว่าเล่นตามร้านครับ ถ้าสมมติว่าไม่ได้อยู่ตรงนี้นะ แต่คงไม่หนีดนตรีอยู่ดี
แต่ที่ผมเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์มา คือผมจะไม่เข้าคณะที่เกี่ยวกับดนตรีไว้ก่อน เพราะว่าอยากให้คุณพ่อคุณแม่ด้วยครับ เพราะคุณพ่อก็เป็นนักบริหาร นักเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ เขาก็เหมือนบิวต์ให้เราอยากค้าขายมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งเราเองถามว่าชอบดนตรีมั้ย ชอบ ไม่ชอบวิชาการใช่มั้ย ไม่ชอบ แต่เราชอบค้าขายนะ
เรายังคงชอบค้าขายอยู่ดี เรายังเป็นพ่อค้าได้ เป็นนักดนตรีได้ แต่จะให้เป็นแบบนักทำบัญชี อยู่แต่กับคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา วางแผนการตลาด กลยุทธ์ อย่างนี้ทำไม่ได้ ก็เรียนให้คุณพ่อคุณแม่ แล้วก็ตัวเองก็ชอบด้วย เพราะเราเองก็เข้าใจมาตลอดว่า เศรษฐศาสตร์มันเป็นเกี่ยวกับการค้าขายในระบบของบ้านเรา
ผมมีพี่น้อง 3 คนครับ ผมเป็นลูกคนกลางครับ ถามว่าคุณพ่อคุณแม่ดุมั้ย จริงๆ คุณแม่ผมดุนะ เขาจะซีเรียสเรื่องเรียนมาก ทุกวันนี้ก็ยังซีเรียสอยู่เลย อยากให้ผมไปต่อ ป.โท
แต่คุณพ่อผมจะเป็นสายใช้ชีวิตมากๆ คือพูดตรงๆ ว่า เพราะความบาลานซ์ในบ้านผม มันเลยทำให้ผมเป็นอย่างนี้ด้วย เพราะว่าถ้าไม่มีคุณแม่อยู่ ผมอาจจะทิ้งการเรียนไปเลย เรียนไม่จบ ไปใช้ชีวิตตามคุณพ่อเลย ไปทำงานขายตรง ไปเป็นเด็กเสิร์ฟ หาชีวิตตัวเอง ผมเป็นอย่างนั้นเลยครับ
แต่เพราะมีคุณแม่อยู่ เราเลยรับผิดชอบเรื่องการเรียนไปด้วย ไม่ให้มันแย่ลงไปกว่าเดิมครับ การเรียนก็พอไปได้ครับ
ผมรู้สึกว่าประสบการณ์ชีวิตข้างนอกผมก็ใช้คุ้มนะ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย จ่ายค่าเทอมเองตั้งแต่เด็กเลยครับ ตั้แต่ปี 1 ผมหาเงินจ่ายค่าเทอมเองหมดเลยครับ พอดีที่บ้านมีปัญหาการเงินนิดหน่อยในช่วงนั้น ตอนนั้นไปทำงานขายตรงครับ"
"แต่ที่ผมไปแคสต์งานอันนั้นคืออยากได้เงิน ผมเลยไปแคสต์ และเราก็เจอประตูบานแรกไปแล้ว ผมก็รู้สึกว่า เออ งานก็อาจจะไม่ได้เหนื่อยมาก แถมสนุกด้วย แล้วผลตอบแทนก็โอเค ณ ตอนนั้นนะครับ ก็เลยไปวิ่งแคสต์กับเพื่อน
แต่ตอนเด็กๆ พูดเลยว่าพ่อบังคับ เพราะคุณพ่อเขาดูแววเป็นว่า เด็กคนนี้มันน่าจะอยู่ในวงการบันเทิงได้นะ ก็จับผมไปเรียนอยู่ในกันตนา 3 ปี ไปเรียนการแสดงเลยนะ ไปอยู่กับ มิสเตอร์ดี ครับ
นั่นแหละเป็นเพื่อนกันเลย ผมกับมิสเตอร์ดี ไปเรียนการแสดงด้วยกันมา แล้วก็เล่นละครของกันตนาตั้งแต่เด็ก แต่ก็เป็นแค่ตัวประกอบ เป็นเพื่อนเขานะ ไม่ได้เป็นตัวเด่นเลย
แต่ว่าถึงตอนที่จุดหนึ่ง ตอนที่เรามาเป็นชาวร็อก เราทิ้งเลยเรางอแง ไม่ไป เคยร้องไห้ ไม่อยากไปแคสต์โฆษณากับพ่อ เพราะอยากเรียนดนตรี อยากเล่นเกมออนไลน์อยู่บ้าน อยากใช้ชีวิตเด็กก่อน ก็เลยกลายเป็นว่าตั้งแต่ ป.6 เป็นต้นมาหยุดเลย ไม่สนใจเรื่องการแคสต์งานอีกเลย ได้กลับมาอีกทีก็มาเล่นหนัง มาย ริทึ่ม นี่แหละครับ"
แต่เห็นแบบนี้ผมร็อกมากเลยนะ ร้องว้ากได้เลยนะ ตีกลองแบบสนุกมาก ผมชอบมากเลย คือคุณพ่อผมบังคับเลยให้ไป วางแผนชีวิตให้เลย จริงๆ คุณพ่อผมเขาเคยเป็นคนในวงการมาก่อนครับ เขาเป็นนักดนตรี"
คุณแม่ผมเขาก็ดีใจมากเลยนะ แต่เขาอยากให้ผมเรียนต่อปริญญาโทอยู่ดี ส่วนคุณพ่อเขารู้สึกว่าตรงนี้ผมยังสามารถไปข้างหน้าได้อีก
บางครั้งผมรู้สึกว่าที่เราทำอยู่มันดีพอสำหรับพ่อเราบ้างมั้ย เพราะว่าเราก็จะแบบอย่างนี้ไม่ได้นะลูก พูดแบบนี้ไม่ได้ เขายังมีบทเรียนให้เราเสมอ ลึกๆ ผมรู้แหละว่าเขาอาจจะภูมิใจ แต่เขาเหมือนครูเลย มีโจทย์ให้เราทำเพิ่มตลอด
อย่าง The Golden Songฯ ยกกำลัง 3 ที่ผมไปเป็นพิธีกร คุณพ่อผมก็โทรกลับมา เราก็หวังว่าเขาจะชม ป๊าก็บอก เฮ้ย ลูก พูดน้อยมาก ทำไมถึงอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็เอ๊ะ มันยังไม่ดีอีกเหรอ คือคุณพ่อผมเขาจะมีโจทย์ความท้าทายให้เราคอยระวังตัวเองอยู่เรื่อยๆ มั้งครับ จะเป็นสไตล์เขาตั้งแต่เด็ก"
หน้าที่ใหม่ กับพิธีกรรายการร้องเพลง
"ไม่เคยได้เห็นเลยดีกว่าครับ คือจริงๆ ถือเป็นหน้าที่ใหม่ แล้วก็ใหม่ไปซะทุกเรื่องเลย เช่น ใหม่ในเรื่องของการเป็นพิธีกรด้วย และใหม่ในเรื่องของเนื้อหารายการด้วย รายการมันก็ใหม่มาก เรื่องเพลงลูกกรุง เพลงเก่า สำหรับผมมันใหม่มากเลยนะ เพราะตัวเองไม่เคยฟังตั้งแต่เด็กเลย
มีอาม่าผมเปิดบ้าง แต่เราไม่เคยใส่ใจเขา ก็เลยรู้สึกว่าทั้งหมดนี้มันยากสำหรับเราไปหมดเลยครับ ทั้งเรื่องการพูด จะเล่นยังไง จะพูดยังไง แต่ก็ดีที่ผมได้ผู้ช่วยเยอะครับ ได้พี่เกลือช่วยเยอะ ก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ ถามว่ายากมั้ย ก็ยากนะ รู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดครับ
ฟีดแบ็กจากแฟนๆ เขาก็ชอบอยู่แล้ว แต่ผมรู้แฟนๆ ก็จับได้แหละว่าผมเกร็งมาก อ่านจากคอมเมนต์ก็รู้แล้วว่าเขาจับได้ว่าเราตื่นเต้น ส่วนใหญ่ผมอยากอ่านคอมเมนต์จากท่านผู้ชมจริงๆ ที่เขาเป็นแฟนรายการอยู่แล้ว ว่าผมควรจะต้องปรับอะไรมั้ย"
"ผมว่า ผมโชคดีนะที่มีงานเข้ามาเรื่อยๆ และช่วงนี้ถือว่าเป็นไทม์มิ่งที่ดีด้วย เพราะว่าเจอโควิดไป ตอนแรกผมก็นึกเหมือนกันว่าตัวเองจะเงียบมั้ย พอหลังจากจบ คนละทีเดียวกัน มา ตอนแรกนึกว่าจะเงียบแล้ว แต่ดีมากเลยที่เดี๋ยวมี แฟนโทเปีย ต่อ แล้วภาพยนตร์เราก็เข้าต่อเลย
แถมยังมี The Golden Songฯ ยกกำลัง 3 ต่ออีก ในปีนี้จะไม่มีงานละครของผมแล้วจนถึงปีหน้าในช่วงต้นปีไปด้วยเลย เพราะละครของปีหน้าก็ไม่รู้จะออนเมื่อไหร่ เบรกดาวน์ยังไม่ได้วางเลย ก็ยังต้องไปลุ้นกันต่อไป แต่โชคดีที่มีรายการมีคอนเสิร์ตให้เราได้ออกมา ไม่ได้หายไปครับ"
ขอบคุณโอกาสที่เข้ามา วางมือจากซีรีส์วาย
"ยังถือว่ามีโอกาสได้รับหน้าที่ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา เพราะพูดตรงๆ ว่าเราก็วางมือจากซีรีส์วายไปเรื่อยๆ ได้เจอพี่สิงน้อยลง และยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกมั้ย
อาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีกแล้ว นั่นหมายความว่าหน้าที่วายของเราก็อาจจะลดลงไปเรื่อยๆ ครับ ซึ่งก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้ทำอะไรใหม่ๆ ได้เติบโต เริ่มเป็นคนทำงานจริงจังแล้ว ได้อาชีพนักแสดงจริงๆ"
"ผมอยากทำทุกอย่างให้ดีขึ้นกว่านี้อีก ทั้งเรื่องการแสดง ผมก็ไม่ได้ให้ตัวเองเยอะเท่าไหร่ ตัวเองยังแสดงได้ไม่ดีเท่าไหร่ครับ และเรื่องการพูดในเรื่องของการเป็นพิธีกรก็เพิ่งเริ่มมากๆ
เพราะฉะนั้นยังต้องฝึกอีกเยอะเลย ในเรื่องการร้องการแต่งเพลง ก็ยังมีให้ฝึกอีกครับ เรื่องเต้น คือเอาแค่ตรงนี้ให้ผมได้ทำได้ชำนาญ ผมว่าต้องใช้เวลาครับ ส่วนเรื่องงานเพลงผมจะไม่ทิ้งเลย เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ผมชอบมาก ชอบที่สุดแล้ว"
ดราม่าคือบทเรียนที่ช่วยสอนความเข้มแข็ง
"ช่วงแรกๆ พูดตรงๆ ว่าจัดการไม่เป็น แล้วก็ทำไม่ค่อยดี ใช้วิธีการอยากอธิบายเป็นหลัก จะต้องอธิบายให้ได้ในทุกๆ อย่าง
เพราะผมเป็นคนชอบความเคลียร์มาก อะไรที่มันไม่เป็นไปตามที่ผมคิดไว้ จะรู้สึกไม่สบายใจ จะอยู่กับมันไม่ค่อยได้ เลยใช้วิธีชอบเคลียร์ ชอบพูด ชอบอธิบาย คือยอมเอาตัวเองเข้าไปแลกเลยเพื่อหวังจะให้ทุกคนเข้าใจเราในแบบที่เราเข้าใจ
แต่กลับกลายเป็นว่าบางครั้งมันไม่สำเร็จ แล้วมันส่งผลต่อจิตใจตัวเอง มันแย่ไปกว่าเดิมครับ หลังๆ ก็ได้บทเรียนว่า บางครั้งเราก็ปล่อยไปบ้าง เราไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกเข้าใจเรา หรือว่ารักเรา หรือเกลียดเราได้ตามที่เราต้องการ แต่เราใช้วิธีคือเราทำยังไงเราถึงจะหาย
เช่น อยู่กับเพื่อน ผ่อนคลายโดยการไปเที่ยวบ้าง พักผ่อนบ้าง ใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารักครับ ก็เลยรู้สึกว่าตรงนี้แหละจะช่วยฮีลเราขึ้นมาได้ครับ อยู่กับคนที่จะนำพาให้เราหลุดออกมาได้ คอยคิดให้ดีว่าใครจะเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับเรา คอยฮีลเรา ดึงเราออกมา ซึ่งตัวผมเองก็เจอนะ โชคดีมากๆ ที่มีเพื่อนที่ดี ก็คงเป็นเพื่อนที่ช่วยได้ครับ
ช่วงแรกที่เจอหนักเลยครับ ร้องไห้ทุกวัน ร้องไห้เป็นอาทิตย์ ร้องไห้บ่อย ขจัดความรู้สึกตัวเองไม่ออก
ไม่ได้ต้องการเป็นคนเจ้าดราม่าขนาดนั้น แต่เราเป็นคนแบบเซ้นซิทีฟ อินง่าย ดูละคร ดูซีรีส์ดราม่าๆ ก็ร้องไห้ เพื่อนเล่าเรื่องเศร้าๆ ให้ฟังก็ร้องครับ คือฟีลนั้นไงเราอาจจะขี้แยนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ บทที่ผมชอบเล่นมากที่สุดคือบทร้องไห้ครับ ส่วนใหญ่ผมได้คนรอบตัวที่ดีครับ ช่วยดึง ช่วยบอกไว้ว่าต้องทำยังไง
จริงๆ คำดูถูกผมก็เคย คำล้อเลียนก็เคย ผมจะเป็นคนที่มีปัญหากับคำล้อเลียนมาก และผมเชื่อว่าทุกคนก็เป็น คือบางครั้งคุณรู้ว่าเราเป็นอะไร คุณรู้ว่าเราเป็นยังไง แต่คุณตั้งใจแหย่เรา ให้เราโมโหต่อหน้าคนอื่นเพื่อให้เราดูแย่
อย่างช่วงที่ผ่านมา คือเราเป็นผู้ชาย เรารู้ตัว และเราเชื่อว่าคุณก็รู้ ทุกคนก็รู้ ซึ่งบางครั้งถ้าเกิดว่าเป็นการพูดกันเล่นๆ ผมถูกพูดเล่นๆ มาโดยตลอดอยู่แล้ว เพราะว่าเราอยู่ในวงการวาย เราทำงานกับคนที่เป็น LGBT มาตลอดอยู่แล้ว เราจะมีการพูดเล่นกันบ้าง
แฟนคลับยังแซวคริสอยู่ทุกวันเลยว่า ไปทำอะไรมาสวยขึ้นนะเนี่ย ซึ่งมันเป็นการแซวเล่นๆ เราโอเคมากๆ
แต่บางครั้งเราดูเจตนาคนออกว่าบางครั้งคุณต้องการแกล้งเรา มันเหมือนกับว่าคุณเป็นผู้หญิงแล้วเราไปล้อเลียนว่าเป็นผู้ชาย คือความไม่ใช่คุณมันก็ไม่ใช่คุณ คุณตั้งใจล้อเลียนเรา บางครั้งเราก็ไม่ชอบนะ บางครั้งก็รู้อยู่แล้ว จะมาล้ออะไรใต้คอมเมนต์ตลอดทุกครั้ง บางครั้งมันก็โมโหไงครับ
ส่วนใหญ่ที่จะทำให้ผมโมโหก็คือคำล้อเลียนมากกว่า คำดูถูกไม่ค่อย ผมเชื่อนะ คนที่รู้จักผมดี เขาจะไม่ดูถูกผม เพราะถ้าเมื่อใดที่คุณดูถูกผมปุ๊บ ผมจะยิ่งทะยานขึ้นไป จะยิ่งทำให้มันกลบคำดูถูกให้ได้เลย
คือใครดูถูกผมมาแล้วผมรู้สึกแค้น ผมจะเอาคืนโดยการทำให้สำเร็จครับ นั่นคือวิธีการของผม แต่ผมไม่ค่อยได้เจอเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เจอคำล้อเลียนครับ
ถามว่าผมตอบกลับมั้ย คือผมปล่อยมาโดยตลอดครับ แต่นั่นแหละทำให้เกิดปัญหาดราม่าขึ้นมา ช่วงนั้นโดนทุกวัน ช่วงนั้นเราไลฟ์ปุ๊บ ต้องมีคอมเมนต์ประหลาดๆ มาแซวเราตลอดเลย ซึ่งเราก็รู้ว่าคุณก็รู้ เพราะว่าประโยคมันไม่ใช่ ก็มีโมโหแล้วก็พูดออกกลางไลฟ์ไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แล้วก็กลายมาเป็นปัญหาของปีนี้ที่มีดราม่าแถลงข่าวไป แต่ก็คือจัดการได้ครับ
หลังจากนั้นมาคือไม่มีอีกเลยครับ ผมไม่เจอคำล้อเลียนอีกเลยครับ เพราะผมเชื่อว่าเดี๋ยวนี้การที่คุณจะเป็นนักเลงคีย์บอร์ดมันไม่ง่ายแล้วนะ
ผมเห็นหลายคนโดยฟ้องเต็มเลย เลยรู้สึกว่าโอเค ตั้งแต่วันที่เราได้อธิบายไปว่า เราไม่ได้ตั้งใจจะเหยียด LGBT นะ แต่คุณต้องเข้าใจผมนะว่าผมไม่ใช่ แล้วคุณก็รู้ คุณยังจะมาตั้งใจล้อเราอีก เราก็แค่อยากจะอธิบายตรงนั้นแค่นั้นเองครับ เราเป็นคนน่ะ มันไม่ใช่แค่เรื่อง LGBT ด้วยนะ คุณอย่าไปพาลถึงพวกเขา เพราะเรารักพวกเขามาก เราทำงานกับพวกเขามาตลอด"
ถ้าไม่มีแฟนคลับ คงไม่มี คริส พีรวัส
"อาจจะเป็นเพราะว่าเดี๋ยวนี้ผู้หญิงทั่วโลกชอบเห็นผู้ชายรักกันมั้งครับ(ยิ้ม) เราก็ไปถึงตรงนั้นได้ แต่ผมว่าโลกมันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกนะ
ผมว่าเมื่อก่อนการยอมรับมันน้อยด้วย พวกเขาเป็นอย่างนี้มานานแล้ว แต่ไม่สามารถกล้าที่จะออกมาอยู่ในที่แจ้ง อาจจะเพราะกลัวโดนว่า โดนมองว่าประหลาด เดี๋ยวนี้มันเปิดกว้างมากขึ้น และผมเชื่อว่าทุกช่องทางมันมีหมดแล้ว เลยเชื่อว่าการยอมรับมันมีมากขึ้นครับ
จริงๆ ผมได้ข่าวมาว่า แฟนคลับผมซื้อบัตรหนัง มาย ริทึ่ม ไป 800 กว่าใบแต่มาไม่ได้เลยสักคน เขาก็เลยทำแคมเปญกันอยู่ครับ เดี๋ยวจะเอาตั๋วหนังที่ซื้อไว้ไปแจก ไปบริจาคให้กับน้องๆ ที่ด้อยโอกาสอยากดูหนัง หรือน้องๆ ที่มีความฝันอยากเป็นนักดนตรี อันนี้เป็นแคมเปญที่คุยกับแฟนๆ ไว้ เพราะเขาเดินทางเข้ามาดูไม่ได้"
"อย่างโปรเจกต์อวยพรวันเกิดของแฟนๆ ผมคิดทุกปีเลยนะว่า ไม่คิดว่าจะมีคนทำให้เรามากขนาดนี้ ยังคงไม่ชิน ปีแรกก็ตกใจมากนะว่านี่มันของขวัญอะไรเนี่ยอลังการมาก ปีที่ 2 ก็ยังตกใจอยู่ดี จน ณ วันนี้ก็ยังตกใจอยู่ครับ เรายังคงคิดอยู่เลยว่ามันต้องอย่างนี้เลยเหรอ เราก็ยังคิดอยู่ตลอด แต่ก็ขอขอบคุณนะมันเป็นความตั้งใจเขา เราไม่ห้ามเลย
เราไม่เคยไปบอกเขา เปลืองเงิน เก็บเงินไว้ดีกว่า เพราะเราเข้าใจคนที่อยากเป็นสายซัพพอร์ตอ่ะ เราเป็นสายซัพพอร์ตเหมือนกัน เวลาเราอยากให้ เราอยากเลี้ยงข้าวน้อง เราอยากซื้อเสื้อผ้าให้น้อง หรือพาน้องไปเที่ยว บางทีน้องปฏิเสธเราก็อะไรวะ ทำไมต้องปฏิเสธ เราก็เลยไม่ค่อยกล้าห้ามพวกเขาเท่าไหร่ครับ"
ทุกบทสนทนานอกจากความมีเสน่ห์ หล่อเหลาของ คริส แล้ว สิ่งที่ฉายชัดออกทางดวงตาของผู้ชายคนนี้คือความชัดเจนในตัวตนของเขาเอง.
ผู้เขียน : โอ้ว...ซาร่า
ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย
กราฟิก : Phantira Thongcherd