• มิว ชิษณุชา นิ่งสยบดราม่า ผ่านปัญหามาได้เพราะครอบครัว
  • ความรักครั้งปัจจุบัน "เขาเหมือนเป็นนางฟ้า"
  • จาก "ภาวนา" มา "พูดจริง" เพลงรักมุมมองใหม่

เป็นศิลปินรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง สำหรับ มิว ชิษณุชา ตันติเมธ หรือที่ทุกคนรู้จักในชื่อ Meyou สังกัดไวท์มิวสิก ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เจ้าของเพลงฮิตปี 2019 “ภาวนา” ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก จนทำให้มิวคว้ารางวัลเพลงฮิตแห่งปีและศิลปินยอดเยี่ยมแห่งปีมาแล้ว ทั้งที่อายุเพียง 20 ปีเท่านั้น

แต่อย่างที่หลายคนรู้ว่า Meyou เป็นศิลปินที่เจอดราม่ามากมายจนกลายเป็นข่าวโด่งดังและติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 มาแล้ว ทั้งในเรื่องงานเพลง พฤติกรรมตอนขึ้นเวทีคอนเสิร์ต ตลอดจนเรื่องความรักที่เป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และในวันนี้ มิวเปิดใจถึงเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งชวนฟังซิงเกิลล่าสุด "พูดจริง" เพลงรักมุมมองใหม่จากปลายปากกาของมิว

เบื้องหลังฝ่าดราม่า ครอบครัวคือส่วนสำคัญ

...

เมื่อถามมิวถึงการรับมือเรื่องดราม่าที่ผ่านมา ซึ่งค่อนข้างหนักพอสมควรกับวัยรุ่นอายุ 20 ปี มิวบอกกับเราว่า ที่ผ่านมาเครียดและคิดมาก แต่ผ่านพ้นทุกอย่างมาได้เพราะครอบครัวเป็นส่วนสำคัญ

“ผมค่อนข้างสนิทกับที่บ้านของผม เพื่อนผม สาวของผม เรารักกันมาก แล้วพวกเราค่อนข้างฝรั่งกันนิดนึง บางทีคนจะพูดอะไรที่มันไม่ใช่ความจริง ไม่รู้สิ บางทีเราเห็นคอมเมนต์บางอันมันก็แค่อคติ เราก็พยายามจะมองข้าม เคยมีช่วงหนึ่งแรกๆ ก็ปรึกษาพี่ที่ออฟฟิศ ที่บ้าน ผมก็เครียดครับ ผมเป็นคนที่คิดมากอยู่แล้ว เราก็เครียดอยู่พักหนึ่ง พอมันผ่านมาได้มันก็ดีขึ้น”

ตอนที่ผมโดนด่า บางทีเครียดกว่าผมเพราะเขาไม่เคยเห็นเราโดนอะไรแบบนี้ พอเห็นปุ๊บเขาก็รู้สึกแบบพ่อแม่สงสารลูก บ้านเราไม่ได้รวยนะครับ แต่ว่าบ้านเรารักกัน พ่อแม่ให้ความรัก สอนให้ผมเป็นคนที่ค่อนข้างมองโลกในแง่บวกนิดนึง ก็ยังโชคดีที่ครอบครัวผมเป็นแบบนี้ เป็นที่พักพิงทางใจ ไม่งั้นก็คงเขวเหมือนกัน หนักอยู่ครับ”

กับคำถามว่าที่บ้านเคยอยากให้ออกจากวงการบ้างหรือไม่ หลังเจอกระแสดราม่าหนัก มิวตอบทันที “ไม่เคยเลยครับ” ก่อนจะเล่าต่อไปว่า “เขาสอนให้ผมเป็นลูกผู้ชายที่สู้กับปัญหาครับ เขาบอกว่าลูกผู้ชายเขาไม่เดินหนีปัญหา คือถ้าผมก้าวผ่านมาได้ ผมก็โตขึ้น เป็นประสบการณ์ที่ดีครับ ไม่รู้สิ ถ้าหนีก็ยิ่งดูไม่เท่ ผมก็เลยรู้สึกไม่ค่อยอยากหนีเท่าไร ผมติดเท่ไว้ก่อน (ยิ้ม)”

นิ่งสยบทุกดราม่า

เราถามต่อว่ามีอะไรที่อยากจะเคลียร์หรือเปล่า หรืออยากชี้แจงอะไรเกี่ยวกับดราม่าที่ผ่านมาบ้าง มิวตอบทันทีว่า “ไม่มีอะไรอยากพูดเลยครับ ผมว่าผมห้ามความคิดคนไม่ได้ ใครอยากคิดอะไรก็ให้เขาคิดแบบนั้นไป ถ้าเขาคิดแล้วสนุกก็ให้เขาคิดไป ถามว่ารู้สึกยังไงที่คนสนใจข่าวมากกว่าผลงาน ผมไม่มองยังไงครับ เพราะคนที่ด่าผมบางคนก็ฟังเพลงผมนะ (ยิ้ม) แล้วทำไมผมต้องแคร์ด้วยครับ ผมก็แค่รู้สึกว่าไม่เอาสิ อย่านักเลงคีย์บอร์ดสิ

ที่จริงผมนิ่งมาตลอดนะ ถ้าสมมติผมพูดอะไรนิดหน่อย คนก็เอาไปพูดอีกเป็นสิบเป็นร้อย ป๊าก็สอนว่าเราอยู่นิ่งๆ ดูว่าเขาจะทำอะไรดีกว่า บางทีเราไม่จำเป็นต้องเสียอารมณ์กับคนที่เราไม่รู้จัก บางคนอาจจะสร้างไอจีเล่นๆ ขึ้นมาเพื่อด่าเราไง ถ้าจะเสียอารมณ์ ผมว่าผมเอาเวลาไปทำงานดีกว่า ตอนแรกผมก็คิดมาก เห็นคอมเมนต์แล้วดาวน์ แต่พอไปเรื่อยๆ ผมก็แค่รู้สึกว่าคอมเมนต์พวกนั้นไม่ทำให้ผมมีตังค์มากขึ้น ไม่ทำให้ผมมีความสุขมากขึ้น

...

บางทีคอมเมนต์ที่ไม่จริงผมไม่ค่อยชอบเท่าไร แต่ก็ไม่เคยห้ามใครนะ ไม่เคยบอกว่าใครไม่ดี เพราะเราถูกสอนมาแบบนี้อยู่แล้วตั้งแต่เด็กว่าเราจะห้ามใครพูดหรือคิดอะไรไม่ได้ ฉะนั้นที่พี่ถามมาแจ่มมากเลยครับ แต่ว่าเผอิญผมไม่มีอะไรอยากพูดเลย เพราะผมอยากให้เขาคิดในสิ่งที่เขาคิด ให้ผมมาบอกว่าคุณต้องคิดแบบนั้นแบบนี้ สำหรับผมมันไม่เท่ (ยิ้ม)

สุดท้ายผมแค่มองว่าผมเป็นศิลปิน เราโฟกัสในงานเพลงของเรา มันน่าจะดีกว่าเราไปโฟกัสอะไรที่ไม่ใช่เรื่องเพลง ผมแค่รู้สึกว่าถ้าเอาตรงนั้นมาใส่ใจก็เครียด เครียดแล้วคุยไม่ดีกับครอบครัว คุยไม่ดีกับสาว ไม่มีอารมณ์ทำอะไรแล้ว บุคลิกภาพก็ไม่ดี สองผมรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ ความคิดสร้างสรรค์ไม่มี เวลาผมเครียดมีแต่ทำให้ดาวน์ลงไปเรื่อยๆ โชคดีที่ผมมีครอบครัวที่ดีครับ”

เมื่อถามถึงเรื่องที่มิวถูกด่าและมีการพาดพิงบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง มิวเผยว่า “รู้สึกวุ่นวายครับ ทำไมต้องขนาดนั้น แต่เราก็ผ่านไป เราก็วุ่นวายอยู่ 10 นาทีแล้วทำอย่างอื่นต่อ ถามว่ามีไปพูดคุยกับคนที่ถูกพูดถึงในข่าวเรามั้ย ไม่มีครับ ผมมองว่าค่าเท่ากับ 0 ถ้าจะไปพูดเคลียร์ ผมไม่เคยพูดเลยเชื่อปะ นอกจากคนที่สนิทกันอย่างเพื่อนเรา ถ้าเป็นคนนอก คนที่สัมภาษณ์ หรือคนที่เข้ามาถามเองก็ตาม ผมไม่เคยมานั่งแก้ว่าที่เขาพูดมามันไม่ใช่อย่างนั้น ผมว่ามันไม่แมนเท่าไร”

ขอบคุณเหตุการณ์สอนใจ ถ้าย้อนเวลาได้ก็ยังทำแบบเดิม

มิวบอกว่าในวันแรกที่มีประเด็นร้อนในโลกโซเชียลรู้สึกร้อนใจ แต่ไม่ได้โกรธ พร้อมทั้งยอมรับว่ามีบางเรื่องที่เป็นเรื่องจริง “ถามว่าโกรธมั้ย ไม่โกรธเพราะบางเรื่องก็เรื่องจริง มีอะไรต้องโกรธ” มิวหัวเราะก่อนจะพูดต่อว่า “แต่พอเราเห็นแล้ว โมเมนต์แรกเราร้อนใจนะ คือคนแชร์เยอะเลยร้อนใจเฉยๆ เห็นคนแชร์เป็นหมื่นคน แต่พอเราเข้าไปดูก็อ๋อ เรื่องนี้นี่เอง ซึ่งจริงๆ มันเป็นเรื่องไม่มีอะไรเลย บางทีถ้าสมมติเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา คนคนนั้นที่ทำแบบเดียวกับผม แต่ไม่ใช่ผม อาจจะไม่โดนอะไรก็ได้นะ

...

ผมก็ลองถามป๊าผมเล่นๆ ว่าถ้าสมมติมิวเป็นแค่นักร้องร้านเหล้า ไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย ป๊าว่ามิวจะโดนดราม่าขนาดนี้มั้ย กับการที่หันไปด่าทีมงานตัวเองเพราะทีมงานทำพลาด ป๊าบอกว่าก็ไม่น่านะ แต่เผอิญว่าเราอยู่ในสปอตไลต์ไง ซึ่งก็จริงอย่างที่ป๊าพูด คือผมก็วางตัวไม่ถูกต้องจริงๆ ในตอนนั้น ก็ต้องขอบคุณเหตุการณ์นั้นที่สอนผม ผมก็ไม่รู้ว่าวางตัวถูกหรือยัง แต่ก็นิ่งขึ้น รู้ว่าเราควรที่จะพูดอะไรตอนไหนมากขึ้น ผมก็รู้สึกว่าทำไมสนใจผมขนาดนี้” ก่อนจะหัวเราะและบอกว่ามองให้เป็นเรื่องบวกไปดีกว่า

เมื่อถามว่าเดี๋ยวนี้คนในวงการบันเทิงเริ่มฟ้องร้องคนที่เข้ามาด่า มิวอยากฟ้องคนที่มาด่าบ้างรึเปล่า มิวตอบชัดเจนว่าไม่เคยคิดจะฟ้องร้อง แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมาเสียใจที่ถูกด่าแต่ไม่แคร์ “ผมเป็นคนค่อนข้างขี้เกียจ ต้องขึ้นศาลมันก็ยุ่งยากแล้ว นอนอยู่บ้านดีกว่า” มิวหัวเราะก่อนจะเล่าถึงวันแรกๆ ที่ต้องเผชิญกับดราม่าที่ถาโถมเข้ามาว่า “ถามว่ารู้สึกมั้ยก็รู้สึก ถ้าใครที่ด่าแล้วอยากให้รู้สึกเสียใจ บอกเลยว่าเสียใจครับ แต่ถามว่าผมต้องเอามาแคร์มั้ย ไม่ครับ เสียใจแต่ไม่แคร์ (ยิ้ม) แค่รู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องรับมัน มีช่วงหนึ่งผมเคยรับมันเข้ามา มันไม่ดีต่อชีวิตผมครับ เราเดินหน้าต่อมันดีกว่าอยู่แล้ว”

...

มิวบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างถือเป็นบทเรียนที่ทำให้ตนเป็นแบบนี้ในทุกวันนี้ ถ้าย้อนเวลาได้ก็ยังคงทำเช่นเดิม “ก็ทำให้ผมเป็นผม คือผมมองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตผมเป็นบทเรียน ถ้าย้อนเวลาได้ก็ยังทำเหมือนเดิมนะ เพราะถ้าผมไม่ทำแบบนี้ ก็คงไม่ได้เป็นแบบนี้ในวันนี้ อาจจะแย่กว่านี้หรือดีกว่านี้ไม่รู้ แต่ผมถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนที่ดีต่อชีวิตผม เพราะผมค่อนข้างดื้อนิดนึง ไม่ค่อยฟังป๊า เขาก็เตือนมาอยู่แล้วว่าเราไม่ควรทำอะไรแบบนี้ มันเหมือนไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ก็ชิลครับ พอผ่านมันมาได้ มันก็ทำให้เราไปอีกขั้นหนึ่ง เรารู้ตัวว่าเราต้องทำตัวยังไงครับ ถามว่ามีอะไรต้องระวังมากขึ้นมั้ย ผมว่าอย่าใช้คำว่าระวังเลยครับ มันจะดูเป็นผู้ต้องสงสัย เอาเป็นว่าผมใช้คำว่าเรานิ่งขึ้นดีกว่า”

ความรักครั้งปัจจุบัน

เมื่อถามถึงเรื่องหัวใจที่ตอนนี้ดูจะเป็นสีชมพูหวานแหวว มิวถึงกับเก็บอาการไว้ไม่อยู่และบอกว่า "ไม่ตอบได้มั้ย เขิน" ก่อนจะหัวเราะจนเสียอาการ แต่สุดท้ายก็เล่าให้ฟังว่า “ตอนนี้ก็มีคนคุยครับ เป็นคนนอกวงการ ก็น่ารักครับ คุยกันมาประมาณเกือบปีแล้ว ถามว่าตอนมีดราม่า เขามีให้กำลังใจยังไงบ้าง เขาก็มีกอดให้กำลังใจ ถามว่าชอบเขาตรงไหน เขาสวยครับ จิตใจดี เขาเหมือนเป็นนางฟ้าครับ ข้ามเรื่องดีกว่า" จากนั้นหัวเราะเขินอีกแล้ว

เรายังไม่หมดความพยายามง่ายๆ ถามต่ออีกว่า ที่ไม่ค่อยอยากตอบเพราะเขินอย่างเดียว หรืออยากให้เป็นพื้นที่ส่วนตัว มิวตอบว่า “อยากให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวด้วยนิดนึงครับผม ค่อนข้างจะให้เกียรติเขาด้วย ถามว่าเขามีเกร็งๆ มั้ยถูกจับตามอง ก็นิดหน่อย แต่เขาคงปรับตัวได้แล้วแหละตอนนี้ แต่เขาน่ารักตรงที่ว่าเขาเข้าใจ ให้กำลังใจ เขาเป็นพลังบวก ผมชอบอยู่กับคนพลังบวก ผมโตมากับครอบครัวบวกๆ เลยชอบอยู่กับคนบวกๆ ครับ

บางทีเรามีแอบลบบ้าง คิดมาก ก็เลยต้องการพลังงานบวกอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา โชคดีที่สาวผม ครอบครัวผม ทุกคนเป็นคน positive หมด เราเลยผ่านเรื่องร้ายๆ มาได้ด้วยดี เขาเข้าใจการทำงานของเรา บางทีเราไม่มีเวลาเขาก็โอเคนะ ไม่งอแง แต่ก็มีงอแงบ้างนิดๆ ผมว่าผู้หญิงงอแงนิดหน่อยน่ารักดีครับ” ก่อนจะหัวเราะเขินอีกครั้ง

“พูดจริง” เพลงรักมุมมองใหม่จาก Meyou

อย่างที่เกริ่นไปว่า มิว ชิษณุชา เป็นนักร้องที่แต่งเพลงเอง และ “ภาวนา” ผลงานการแต่งเพลงของมิว กลายเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว แต่ก่อนที่จะมาถึงวันนี้ มิวเคยชนะการประกวดโครงการ "MBO THE AUDITION หน้าใหม่ พร้อมเกิด" ค่าย MBO ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และมีซิงเกิลเพลงแรกในชีวิต "ไม่เคยคิดแค่เพื่อน (I'm not your friend)" แต่เพราะเพลงที่ได้ร้องยังไม่ใช่แนวที่ตัวเองชอบ มิวจึงตัดสินใจออกมาทำเพลงเองแบบอิสระ ก่อนจะมาทำเพลงภายใต้สังกัดไวท์มิวสิก มาจนถึงปัจจุบัน

“เพลง "ไม่เคยคิดแค่เพื่อน" อันนั้นไม่ใช่เพลงที่ผมทำเอง เขาทำมาให้ ก็ไม่ค่อยใช่ตัวเองเท่าไหร่ ส่วนเพลง “เวทมนตร์” ก็มีความเป็นตัวเองขึ้นมานิดนึง แต่ว่ายังไม่ค่อยเป็นตัวเองเท่าไหร่ เริ่มมาทำเองจริงจังตอนเพลง “พอจะรู้” อันนั้นคือเราเริ่มทำเองทั้งหมดตั้งแต่การทำคอร์ดกีตาร์ และพี่บอสซึ่งเป็นรุ่นพี่ของผมมาช่วยทำอีกคน นั่งทำกันเองที่บ้านเลย

เรื่องการทำเพลง เราใช้เซ้นส์มากกว่า ใช้ความชอบที่เรามี ทุกอย่างที่เป็นดนตรีของผมมันมาจากความชอบของผม เสียงที่ผมชอบฟัง ซาวนด์ที่ผมได้ยิน ถามว่าหาแรงบันดาลใจมาจากไหน ผมว่ามันมีอยู่ทุกที่ 

ผมคงให้คำแนะนำได้ไม่ดีขนาดนั้นในเรื่องเขียนเพลง เพราะผมไม่ได้เป็นโปรเขียนเพลงที่เขียนได้ตลอดเวลา เป็นคนค่อนข้างทำตามฟีลตัวเองมากกว่า เรื่องไหนที่เรารู้สึกอยากหยิบมาเล่า เราก็จะนั่งเรียบเรียงมันแล้วค่อยเอามาเขียน ผมค่อนข้างไตร่ตรองนิดนึงเวลาจะเล่าเรื่องอะไร จะต้องเป็นเรื่องที่ผมอยากจะเล่าจริงๆ"

เมื่อถามถึงซิงเกิลล่าสุด “พูดจริง” อีกหนึ่งผลงานการแต่งเพลงของมิว นักร้องหนุ่มเล่าว่า “ก็ตรงตัวครับ เพลง “พูดจริง” นำเสนอในมุมมองที่ว่าเราพูด แต่เราไม่เคยทำได้สักทีเลยว่าเลิกกันนะ แต่ครั้งนี้คือพูดจริงแล้วนะ คือมันต้องมีครั้งหนึ่งที่สุดท้ายแล้วคุณต้องพูดจริงๆ คุณไม่ล้อเล่นแล้ว แม้ว่าคุณจะเป็นคนใจอ่อนก็ตาม ผมมองว่ามันเป็นความจริงที่ผมอยากแชร์ให้ทุกคน มันเป็นมุมที่ผมคิดว่ามันน่าจะเอามานำเสนอ ไม่ค่อยมีใครพูดอะไรตรงนี้ คนน่าจะทัชเพราะหลายคนน่าจะรู้สึกแบบนี้ เพลงนี้ผมแต่งเองครับ ทุกเพลงผมเขียนเองหมดเลย ขึ้นเป็นกีตาร์และเอามาทำเป็นดนตรีต่อ

ในพาร์ตดนตรีมีพี่กวิน (กวิน อินทวงศ์) โปรดิวเซอร์ที่ทำของผมอยู่แล้ว และ Kandikev ที่ช่วยทำเพลง “ภาวนา” ให้เขาช่วยทำครับ ถามว่าสไตล์เพลงคล้ายกับเพลงภาวนามั้ย สำหรับผม เพลงนี้กับเพลง “ภาวนา” ไม่เหมือนกันเลย ด้วยความที่เพลงภาวนา ช่วงนั้นผมเข้าโบสถ์บ่อย อินกับอะไรที่มันเป็น Godspell เพิ่งกลับจากอเมริกา เราอินกับอะไรที่เป็นโบสถ์ แต่ตอนนี้เราอินกับซาวนด์ปัจจุบัน ซึ่งซาวนด์ที่เราเลือกมาใช้ แพตเทิร์นกลองที่เลือกมาใช้ก็เป็นซาวนด์ที่เราอยากนำเสนอเพราะเราไม่เคยใช้มาก่อน มันยังคงความเป็นผมอยู่ แต่ว่าเรานำเสนอด้วยสีใหม่ๆ instrument ใหม่ๆ มากกว่า”

นอกจากนี้มิวยังเล่าถึงในส่วนมิวสิกวิดีโอว่า “คือมันเป็นหนังในรถครับ ก็ได้พี่เบ็นซ์ นิษฐกานต์ มากำกับ และได้พี่ปริมมี่ วิพาวีร์ มาเป็นนางเอกเอ็มวี ดีครับ เอ็มวีดี ผมชอบมาก คือมันก็มีความเป็นสีๆ แต่อยู่ในความมืด จริงๆ ไม่ได้ฟิกซ์ว่าจะต้องเป็นสไตล์นี้ตลอด เพียงแต่เราอยากทำหนังในรถ ถามว่าได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร ก็อยากลองทำครับ เราก็คุยกับผู้กำกับและบอสของผม ก็รู้สึกว่าหนังในรถไม่ค่อยมี พี่เบ็นซ์ยังไม่เคยทำด้วยแล้วแกก็เสนอมา ผมก็รู้สึกว่าน่าจะเด็ด

เราเคยเห็นหนังวินเทจที่ถ่ายในรถ เราชอบอินสไปร์อยู่แล้ว ก็เลยจัดเลยครับ ส่วนตัวผมไม่ได้คิดว่ามันเหมือน แต่หลายๆ คนอาจจะรู้สึกธีมคล้ายกัน แต่จริงๆ ผู้กำกับคนละคน เราก็ให้เกียรติงานของทั้งสองคน ผมชอบทุกงานของผม เพราะผู้กำกับเก่งทุกคน แต่ส่วนตัวผมมองว่าเอ็มวี 2 เพลงนี้ไม่เหมือนกัน รวมถึงตัวแนวเพลงด้วยครับ สำหรับผม เพลง “พูดจริง” ค่อนข้างใหม่มากครับ”

ก้าวต่อไปในอนาคต

เมื่อถามถึงอนาคตต่อไปข้างหน้าว่าอยากทำอะไรบ้าง มิวเผยว่าต้นปีหน้าวางแพลนไว้ว่าอยากทำดิจิทัลอัลบั้มในรูปแบบใหม่ที่คนยังไม่เคยฟังมาก่อน “ก็มีวางแพลนทำดิจิทัลอัลบั้มไว้ครับ เร็วๆ นี้ได้ฟัง แต่ว่าอยากปล่อยซิงเกิลต่ออีกสักอันสองอันแล้วค่อยว่ากัน แต่ต้นปีหน้าเราวางแพลนว่าเราอยากทำ ก็มีคุยกับผู้ใหญ่ที่ค่ายไว้เหมือนกัน รอติดตามกันครับ

ก็น่าจะเป็นเพลงใหม่หมดเลย อาจจะเป็นรูปแบบใหม่ ชื่อใหม่ คอนเซปต์ใหม่ เป็นเพลงที่คนยังไม่เคยฟังมาก่อน แล้วก็พยายามทำให้มันหลากหลายครับ คือผมไม่ค่อยยึดติดว่าผมเป็นคนร้องเพลงแนวใดแนวนึง เราเป็นคนดนตรี เราชอบฟังเพลง เราไปได้ทุกแนว เราลองทำได้ทุกแนวถ้าเป็นดนตรี ถ้าเรารู้สึกว่ามันเพราะครับ ถามว่าจะไปแนวไหนก็ตามฟีลเลยดีกว่า กำลังอินกับซาวนด์ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์นิดนึง อาจจะลองทำดูครับ”

นอกจากนี้มิวเผยถึงอีกหนึ่งความฝันที่อยากทำให้เป็นจริง คือการทำค่ายเพลงของตัวเอง “ผมก็มองไปไกลๆ ว่าในอนาคตจะเป็นบอส นั่งอยู่บนโซฟา แล้วปั้นเด็กใหม่ ผมอยากทำค่ายเพลง แต่ในวันนี้ผมอยากทำของตัวเองก่อน ทำให้มันเต็มที่ ไม่เคยมองชีวิตตัวเองวันต่อวัน ผมเห็น 40 ปีข้างหน้าตลอด ป๊าผมสอนให้มองการณ์ไกล เราชอบเห็นตัวเองไกลๆ

เราอยากเป็น Jay-Z เพราะเขาเป็นแร็ปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จทั้งทางด้านเพลงและการปั้นคนด้วย ผมรู้สึกว่าเขาเจ๋ง พี่บุรินทร์ (บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์) ก็เท่ สุดทั้งทางด้านธุรกิจและเพลง ผมชอบคนแบบนี้ ผมอยากได้ทั้งสองอย่าง ก็จะพยายามครับ” ก่อนจะหัวเราะปิดท้ายการสนทนา แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่นอยากทำความฝันให้เป็นจริง.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย
กราฟิก : Varanya Phae-araya