วันนี้ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ มีนัดกับหนุ่มน้อยหน้าใสขวัญใจแม่ๆ กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ ยัยน้องสุดหล่อจากซีรีส์ดัง TharnType The Series เกลียดนักมาเป็นที่รักกันซะดีๆ ในบทของ ไทป์ ทันทีที่ได้เจอกัน เราแอบเขินน้องนิดๆ เพราะนับว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้พูดคุยกัน

เรานัดเจอ กลัฟ กันที่ The Bar Park Hyatt Bangkok เจอกันปุ๊บหนุ่มน้อยยิ้มหวานรีบทักทายกันอย่างเป็นมิตร กระปรี้กระเปร่าพร้อมทำงานแบบสุดๆ ซึ่งวันนี้ กลัฟ มาในเสื้อเชิ้ตสีขาว ทับด้วยเสื้อคลุมสีเขียวอ่อน กางเกงขายาวสีดำ รูปร่างสูงโปร่ง เราถามว่า น้องสูงเท่าไร กลัฟ รีบบอกทันที “185 ซม. ครับ (ยิ้มอ่อน)” 

และยังบอกต่ออีกว่า ช่วงนี้ทำงานทุกวัน ส่วนมากจะเป็นงานอีเวนต์ผ่านทางไลฟ์สด ก็จะเจอพี่ๆ แฟนคลับด้วย และก็จะได้ทำงานกับ พี่มิว ศุภศิษฏ์ ด้วย มีงานเข้ามาเรื่อยๆ เลย

เดินเล่นอยู่สยาม จนกระทั่งผู้จัดการส่วนตัวของพระเอกดังไปเจอ

...

“ผมเจอกับ พี่เบิ้ม (ผู้จัดการส่วนตัว) เพราะผมไปเที่ยวสยามกับเพื่อน แล้วพี่เบิ้มนั่งอยู่หน้าร้านเพื่อนเขามั้งครับ เขาก็เห็นผม แล้วให้พี่อีกคนเดินมาถาม

เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นผู้จัดการดาราดัง คือตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยได้ดูทีวี เขาบอกว่า เขาเป็นผู้จัดการ พอร์ช ศรัณย์ เออ ผมก็คุ้นๆ ชื่อ เลยกลับไปถามแม่ แม่บอกว่า แม่ชอบพี่พอร์ชมาก และพี่เบิ้มเขาอยากให้เรามั่นใจ เขาก็แคปภาพจากเว็บมาให้เราดูว่าเขามีข่าวตีพิมพ์ชื่อเขาลงไปกับพี่พอร์ชนะ แล้วเขาบอกว่าจะมาคุยกับแม่เลย

คือตอนแรกเราก็กลัวเขาหลอก เพราะเรายังไม่มีประสบการณ์อะไรด้านนี้เลย แล้วทีนี้พอเข้ามาคุยกับคุณแม่คุณพ่อ แม่เราก็มาถามเราว่าอยากทำรึเปล่า

แล้วตอนนั้นเราก็คิดว่า เป็นดารา ถ้าเกิดพูดตรงๆ อาชีพนักแสดงก็แบบได้รายได้ค่อนข้างดี เราก็อยากมีอาชีพที่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ ผมก็เลยตอบตกลงไป ตอนนั้นเพิ่ง ม.3 เองครับ ยังตัดสกินเฮดหัวเกรียนอยู่เลย”

ถ่ายโฆษณาครั้งแรกได้เงิน 1 หมื่น เอาให้แม่หมดเลย

“งานแรกคือถ่ายโฆษณาครับเป็นโฆษณาของเคเอฟซี เป็นเกี่ยวกับฟุตบอล จำได้ว่าต้องตื่นเช้ามาเพื่อไปแคสต์ ที่ราชมังฯ แล้วเราไม่มีรองเท้าฟุตซอลไปด้วย ต้องไปเตะให้เขาดู เลยไปฝั่งตรงข้ามที่เป็น FBT ก็ไปซื้อแล้วใส่ไปแคสต์เลย

ก็ได้งานนั้นครับ ผมก็พอเตะบอลได้ ตอนนั้นได้เงินประมาณ 1 หมื่นบาท สำหรับเด็ก ม.3 มันเยอะมากครับ เราก็คิด หู 1 หมื่นแน่ะ ทำอะไรได้ตั้งเยอะ ตอนนั้นก็ให้แม่ครับ”

จากนั้นมีงานชิ้นต่อมาเรื่อยๆ? “ก็ไม่ครับ (หัวเราะขำ) มีงานอีกทีก็ประมาณ 2 ปีให้หลังครับ เป็นมาเฟียเลือดมังกรเลย ตอนนั้นประมาณ ม.4-ม.5 ครับ แล้วก็มี MV ครับ รุ่นพี่ติดต่อมาให้ เราก็ไปถามพี่เบิ้ม เขาก็โอเคให้เราหาประสบการณ์เพราะเรายังเด็ก ยังทำอะไรไม่ได้มาก ก็หาประสบการณ์ไปเรื่อยๆ”

เริ่มแรกที่เข้าวงการยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

“งานละครชิ้นแรกคือเรื่อง เลือดมังกร เล่นบทของ สิงห์ เป็นพี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ในช่วงวัยรุ่นครับ อันนี้เป็นเรื่องแรกเลย สำหรับตัวผมคิดว่าใช้เวลาไม่นานในการที่จะเข้ามาเล่นละคร น่าจะก่อน ธารไทป์ ไม่นานครับ

เพราะพี่เบิ้ม ผู้จัดการส่วนตัวเขาจะส่งเด็กไปแคสต์ละคร แล้วทีนี้เหมือนกับว่าเขากำลังหาบทของตัว พี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ตอนวัยรุ่นอยู่ แล้วในคลาสนั้นจะมีผมกับเพื่อนอีกคนที่วัยใกล้เคียงคาแรกเตอร์ เลยลองให้ไปแคสต์ดูครับ แล้วก็ได้บทนี้มา แต่ก่อนหน้านี้จะมีงานโฆษณาบ้าง มีเดินแบบบ้าง แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักเลยครับ (หัวเราะ)”

เคมีลงตัวกับ มิว เลยได้บท ไทป์ มาครอง

“โห ตอนที่เข้าไปแคสต์บท ธาร-ไทป์ มีคนเข้ามาแคสต์ประมาณ 30-40 คนได้ เพราะวันนั้นที่ไปแคสต์มีประมาณหลายร้อยคนอยู่ จากทุกๆ คาแรกเตอร์นะครับ คือตอนที่แคสต์เขาให้แคสต์กับทุกคนทั้ง 30 คนเลย

อย่าง ธาร มาแคสต์ 30 คน ไทป์ มา 30 คน เขาก็คัดวันแรกเสร็จก็เหลือประมาณ ธาร 5 คน ไทป์ 5 คน อย่างวันที่สอง ผมก็ต้องแคสต์กับ ธาร 5 คน พี่มิวก็เจอกับไทป์ 5 คน เขาจะดูความเคมีลงตัวกันด้วย และเขาก็จะถามตัวเราด้วยว่าเราชอบ ธาร คนไหน และเขาก็จะถามพี่มิวว่า เล่นกับไทป์คนไหนที่รู้สึกดีที่สุด อินที่สุด

...

ผมก็จะบอกว่าเป็น พี่มิว ส่วน พี่มิว ก็จะบอกว่าเป็นผม คือตอนที่เจอหน้าพี่มิวครั้งแรก เขินมากครับ ผมไม่กล้าจ้องหน้าพี่มิว เพราะว่าเราไม่เคยต้องมานั่งจ้องหน้าผู้ชาย อย่างเพื่อนผู้ชายเราก็ทักทายกันตามปกติไม่ได้มานั่งจ้องหน้า ส่งสายตาหวานๆ ครับ อย่างตอนแคสต์ผมก็หน้าแดง (ยิ้ม)”

ผู้ชายนิ่งๆ ที่มีกำแพงในตัวเองสูง

“ใช่ครับ คือผมเป็นคนที่ถ้าเกิดสมมติคนอื่นไม่เข้าหาผม ผมก็จะไม่เข้าหาคนอื่น เราก็จะอยู่แบบนี้ของเราไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเกิดมีคนเข้าหาเราแล้วเราคุยกันถูกคอ โอเค

เราก็จะพยายามเปิดเผยตัวตนของเราไปเรื่อยๆ เพราะจริงๆ เราก็เป็นคนตลก คนเฮฮาปกตินี่แหละครับ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะเราจะเข้าหาเขายังไง แล้วเข้าหาไปแล้วจะเป็นยังไง อยู่อย่างนี้ดีกว่า”

“ต้องใช้เวลาประมาณ 3 เดือนช่วงที่เวิร์กช็อปกับพี่มิว เลยได้สนิทกัน ตอนนั้นเจอกันอาทิตย์ละครั้ง แต่ถ้าจะเข้าฉากด้วยกัน เขาก็จะนัดมาเจอกันอาทิตย์ละ 2 ครั้ง”

เพราะได้จูบ มิว เลยทำให้สนิทมากขึ้น

...

“มาสนิทกันกับพี่มิวหลังจากเวิร์กช็อปครั้งที่ 2 หรือครั้งที่ 3 นี่แหละครับ หลังจากได้จูบไป เพราะเราไม่กล้าแสดงในบทบาทอย่างนี้ครับ คือเหมือนกับว่าพี่ผู้กำกับซีซั่น 1 เขาให้โจทย์เรามาเป็นซีนจากหนังเรื่อง Call Me By Your Name เหมือนเป็นหนังวายของทางฝรั่งเขาครับ

ก็จะมีบทของตัวพระเอกกับนางเอก ซีนนี้นางเอกจะต้องเป็นฝ่ายรุก เหมือนพยายามเข้าหา แล้วเขาก็ให้เราเล่นตามตัวคาแรกเตอร์ในเรื่อง ผมก็เลยตัดสินใจจูบจริงไปเลยครับ หลังจากนั้นไม่มีอะไรต้องอายแล้ว (หัวเราะ)”

กลัฟ เล่าต่อว่า “ตอนเวิร์กช็อปหน้าไม่แดงครับ แต่ตอนแคสต์หน้าแดง มันก็เหมือนกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันวันแรก แล้วคือตอนที่แคสต์ พี่มิวเขามีประสบการณ์มาแล้ว และเขารู้ว่าจะต้องเล่นยังไง และเราต้องมาเจอกับเขาเลย เราก็ทำตัวไม่ถูกตอนแคสต์”

“แต่เหมือนวันแรกที่เราถ่ายซีรีส์กัน น่าจะมีซีนจูบเป็นซีนแรกเลย แต่คือมีซีนแบบนี้เกือบทุกวันครับ เพราะว่าฉากกุ๊กกิ๊กๆ แบบนี้มันค่อนข้างเยอะ เขาก็จะแบ่งถ่ายวันละซีนๆ อย่างนี้ครับ จูบกันเปลืองนิดนึงครับ (หัวเราะ)”

...

มิว ศุภศิษฏ์ พี่ชายที่คอยดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง

กลัฟ เล่าถึง มิว แบบยิ้มๆ ให้เราฟังว่า “พี่มิวเขาเป็นคนเก่ง และเป็นคนใส่ใจด้วย” (เขาบอกว่า เขาเป็นห่วงเรา เหมือนเราเป็นน้อง เป็นห่วงเรามากที่สุด เพราะเรายังเป็นมือใหม่อยู่?) “ครับ เหมือนเรายังไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไง ใช้ชีวิตอยู่ในวงการบันเทิงยังไง”

“เราก็ปรึกษากันบ่อยนะครับในช่วงแรกๆ ช่วงนี้ก็มีปรึกษากันบ้างแต่ก็ไม่ได้บ่อยมากนะครับ เพราะว่าเราก็มีงานของเรา พี่เขาก็มีงานของเขา เราก็ไม่ได้อยากจะไปกวนพี่เขาตลอดเวลา”

“ถ้าถามว่าเคยงอนกันมั้ย ผมว่าผมกับพี่มิวเป็นคนที่อารมณ์ค่อนข้างร้อนทั้งคู่ เพราะพี่มิวเขาก็เหมือนกับร้อน แล้วเราก็ร้อน ถ้ามาคุยกันก็จะคุยกันไม่รู้เรื่อง เราก็เลยจะเงียบหายกันไปก่อนประมาณ 1-2 ชม. แล้วค่อยมาคุยกันปกติ

ก็เคยมีฟีลนี้บ้างครับ ส่วนมากจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องเข้าใจผิดกัน แต่พอเวลาผ่านไป บางทีเราก็เป็นฝ่ายเข้าไปคุยก่อน บางทีก็พี่มิวครับ บางทีเราผิดเราก็ไม่รู้ตัวครับ แต่พอเรารู้ว่าผิด เราก็ไปขอโทษพี่เค้า”

แม้ซีรีส์จะจบแต่ความเป็น มิว-กลัฟ ยังอยู่

“ผมว่าน่าจะได้เจอกันอีกค่อนข้างเยอะพอสมควรเลยครับ เพราะว่าระยะเวลาจากที่จบซีซั่น 1 มาตอนนี้ก็ประมาณ 6-7 เดือนได้แล้ว แต่เราก็ยังมีงานคู่ไม่จบเลยครับ

ถ้าเราไปออกกองที่อื่นแล้วไม่ใช่พี่มิวแล้ว ก็อาจจะแปลกๆ มากครับ เพราะเราเจอกันมาประมาณ 2 ปีได้ครับ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มแคสต์ และก็ยังมีซีซั่น 2 อีก น่าจะได้ดูประมาณปลายปีครับ ตอนนี้ถ่ายไปได้ประมาณ 80% ครับ เพราะคิวซีนสุดท้ายเขาขอผมมาวันที่ 30 ส.ค. ครับ น่าจะปิดกล้องวันนั้นครับ”

“และก็ดีใจมากครับ ที่พี่ๆ แฟนคลับเขาจิ้นเรากับพี่มิว เราสามารถถ่ายทอดบทบาทการแสดงออกมาได้ดี และเคมีของตัวผมกับตัวพี่มิวอาจจะเข้ากัน ทำให้พี่ๆ แฟนคลับเขารู้สึกดี เราก็ดีใจในจุดนี้ครับ”

รักงานบันเทิง ทุกงานมีความท้าทาย

"ตอนนี้ผมยังไม่ได้เซ็นสัญญากับช่องไหน เพราะเรายังแฮปปี้กับตรงนี้อยู่ ไม่ได้รีบร้อนอะไรขนาดนั้น ผมอยากทำทุกอย่างในวงการบันเทิงเลยนะ เพราะแต่ละอย่างก็มีความท้าทายแตกต่างกันไปอีกอย่างการที่ซีรีส์จะออกมาให้เราดูในทีวีได้แต่ละเรื่องนั้น มันผ่านอะไรมาเยอะมาก แล้วกว่าจะได้แต่ละเรื่อง" 

“ฝากถึงพี่ๆ แฟนคลับทุกคนนะครับที่คอยติดตาม คอยให้กำลังใจ คอยซัพพอร์ตผมกับพี่มิวมาตลอดนะครับ รอสถานการณ์ดีขึ้นแล้วจัดอีเวนต์ได้ปลอดภัย ก็จะได้มาเจอกันนะครับ ก็มีคิดถึงบรรยากาศจัดอีเวนต์เหมือนกัน แต่ถ้าจะให้เจอกันครบจริงๆ ก็มีรวมพลหลังงาน แต่ว่าเขายังไม่ให้เจอกันแบบนั้นได้ครับ ก็ต้องรอไปก่อน”.

ผู้เขียน : โอ้ว...ซาร่า

ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย

กราฟิก : Taechita Vijitgrittapong