จากนักแสดงชื่อดัง หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ที่ตอนนี้ได้ผันตัวมาเป็นทั้งพิธีกร และพิธีกรข่าวอย่างเต็มตัวแล้ว

ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาเผยความรู้สึกว่า การเปลี่ยนชีวิตจากนักแสดงมาเป็นผู้ประกาศข่าวนั้นไม่ง่าย เพราะโดนทั้งดราม่าและคำดูถูกอย่างหนักจากคนในวงการเดียวกัน

อีกทั้งยังมีประเด็น เทียบชั้นสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าวคนดัง, ใช้เงินซื้อแขกรับเชิญ และกั๊กแขกรับเชิญ ซึ่งงานนี้หนุ่ม กรรชัย ตอบเคลียร์ชัดทุกประเด็นใน รายการตีสิบเดย์ ทางช่อง 33 ว่า

ตอนนี้ทำอะไรบ้าง ทำเยอะมาก ยกเว้นการแสดง?
“ใช่ครับ ตอนนี้ที่ทำอยู่ก็จะเป็นผู้ประกาศของทางช่อง 3 ประกาศข่าว อ่านข่าว และมีรายการโหนกระแส ซึ่งโหนกระแสจะเป็นพิธีกรเองด้วย และเป็นของบริษัทด้วย”

ซึ่งรายการโหนกระแสก็เป็นของพี่หนุ่มเองเลย?
“ด้วยครับ และก็มีคุณจอนนี่เข้ามาช่วยดูแลด้วยส่วนหนึ่งด้วยครับ”

ทำไมอยู่ดีๆ จากนักแสดง พิธีกร มาเป็นผู้ประกาศข่าวแบบเต็มตัวขนาดนี้?
“จริงๆ แล้ว จะบอกว่ามันเป็นโชคหรือความบังเอิญก็ได้ครับ เพราะว่าก่อนนี้ผมทำพิธีกรมาเยอะมาก คือทำมาแทบจะทุกอย่างละ รายการผี รายการเด็ก เกมโชว์ ทอล์กโชว์ ทำมาหมดแล้วจริงๆ จนกระทั่งวันนึงได้มีโอกาสมาทำรายการโหนกระแสที่ช่อง 3

...

ปรากฏว่าผู้ใหญ่ทางมาลีนนท์นะครับ ก็เห็นแล้วรู้สึกว่าตอนนี้หนุ่มมาทำแบบนี้ และมันก็เกี่ยวข้องกับข่าวด้วย ลองมาอ่านข่าวดูมั้ย เพราะว่าน่าจะทำได้นะ เพราะมันในโหนกระแสก็เป็นแบบเชิงข่าวอยู่แล้ว แต่ว่าคุณหนุ่มคิดดีๆ นะ เพราะว่าชีวิตความเป็นส่วนตัวของคุณหนุ่มจะหายไปเลยนะ”

หายไปมั้ยพี่หนุ่ม?
“หาย”

มีคนมองว่า หนุ่ม กรรชัย จะมาแทน คุณสรยุทธ เพราะมีเส้นทางคล้ายกัน?
“คือจริงๆ แล้ว ต้องเรียนอย่างงี้ครับว่า ในหลักของความเป็นจริงแล้วมันไม่มีใครมาแทนใครได้นะครับ

อย่างพี่ยุทธเองแกก็มีแนวของแก แกเป็นคนที่เป็นกรรมกรข่าว แกก็จะทำข่าวของแกมาตลอดในการเชิงสัมภาษณ์ หรือว่าการเล่าข่าว อ่านข่าว แกเหมือนเป็นปูชนียบุคคล เป็นเหมือนคนที่ไม่มีใครจะไปแทนที่แกได้แล้ว

ส่วนตัวผมเองผมก็จะเป็นตัวของผม ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่สามารถไปเป็นพี่ยุทธได้ และพี่ยุทธก็ไม่สามารถมาเป็นตัวผมได้ คือมันคนละแนว มันจะไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นเส้นทางก็คงไม่นะ ผมคงมาแทนพี่ยุทธไม่ได้หรอก คือพี่ยุทธแกเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว”

คนอาจจะติดภาพลักษณ์ของหนุ่ม กรรชัย เป็นดาราเป็นนักแสดง พอมาเสนอข่าวจะมีความน่าเชื่อถือแค่ไหนหรือไม่ ห่วงตรงนี้มั้ย?
“แรกๆ ห่วงมากๆ ครับ เพราะว่ากลัวมันจะไม่หลุดออกมาจากตรงนั้น แต่พอดีว่าผมเป็นคนที่ออกแนวจิตนิดๆ  คือผมรู้สึกว่าถ้าผมต้องทำอะไรแล้วเนี่ย ผมต้องผมให้มันถึงที่สุด อย่างพอผมได้มาเป็นผู้ประกาศเนี่ย สิ่งที่ผมทำอันดับแรกคือ สิ่งที่ผมไม่เคยทำเลยนะ

ผมตื่นตี 5 ครึ่งทุกวัน ปกติตื่น 10 โมง นี่คือเหตุผลอย่างที่บอกไปว่ากลัวมั้ยว่าเรามาทำตรงนี้แล้วเราไม่หลุดจากภาพของความเป็นนักแสดงหรือต้องมาแสดงรึเปล่า เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหาอะไรที่เข้าไปปรับไปแก้ นั่นก็คือเราต้องเอาข้อมูลที่มันแน่นจริงๆ มาบอกคุณผู้ชม

คือตื่นตี 5 ครึ่ง เสร็จปุ๊บ ผมออกจากบ้าน ผมก็จะไปหาข่าว ไปดูข่าวว่าวันนี้มีข่าวอะไรบ้างที่ทางทีมข่าวต้องการที่จะเล่น พอไปดูเสร็จปุ๊บ ผมก็จะโทรหาแหล่งข่าวเอง จะคุยกับตัวข่าวเองเลย

สมมติว่าวันนี้ลูกชายเค้าถูกฆ่า ผมก็จะโทรไปหาแม่เลยว่า แม่ไหนเรื่องมันเป็นยังไง ไหนเล่าเรื่องมันเป็นมายังไง คือผมไม่อยากฟังจากคนอื่นที่ไปฟังอีกทอดนึงมาเล่าให้ผมฟัง”

...

เพราะอะไร ทำไมถึงไม่ให้เค้าไปทำการบ้านให้เรา ทำไมเราต้องทำการบ้านเอง?
“คือข้อมูลข่าวอาจจะเปลี่ยนได้ เราไม่สามารถเข้าใจผ่านคนอื่นได้ที่ไม่ใช่ตัวข่าว แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องทำทุกอันนะครับ ยกเว้นเรื่องที่มันเป็นประเด็นจริงๆ ที่เราจะต้องเอาข้อมูลที่มันบิดเบือนไม่ได้ ต้องรู้จริงๆ

เพราะฉะนั้นก็เลยต้องตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะทำการบ้านต่างๆ นานา สมมติว่าอย่างแขกบางคน เค้ารู้สึกว่าเค้าไม่มั่นใจว่าเค้าจะมา บางทีจะเห็นได้ในโหนกระแส แขกบางคนซึ่งไม่เคยไปนั่งที่อื่นเลย แล้วก็ไม่อยากจะไปด้วย แต่เค้ามานั่งในโหนกระแสเนี่ย มันเป็นเพราะว่าเค้าไว้ใจเรา”

จริงจังขนาดนี้แต่ก็มีดราม่าว่าไม่อินกับเรา ที่เรามานั่งอ่านข่าวต่างๆ รู้สึกยังไงที่คนบอกว่าเราไม่ใช่คนข่าว?
“คือผมเข้าใจครับ และก็รับคำติคำชมทุกๆ ด้านอยู่แล้ว เพราะว่าเราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเราไม่ได้เป็นคนข่าว ไม่ได้จบสื่อสารมวลชนมาโดยตรง แต่ทีนี้ประเด็นที่มันเกิดขึ้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกเก็บมาคิดเหมือนกันว่า

เอ๊ะ..ถ้าเกิดว่าคนไปมองแบบนี้แล้วถ้าเกิดว่าวันนึงคนจะมาเป็นสื่อได้มาเป็นนักข่าวได้ต้องจบสื่อสารมวลชนเท่านั้นถึงเรียกว่าคนข่าวเหรอ

ถ้าคุณคิดกันแบบนั้นแล้ววันนึงมีช่างแอร์ไปซ่อมแอร์ที่บ้านผมแล้วคุยกับเค้าแล้วเค้าบอกว่าจบสื่อสารมวลชนมา ผมจะบอกเฮ้ย..กลับบ้านไปเลย คุณต้องไปเป็นนักข่าวเท่านั้น เป็นช่างไม่ได้

ผมมองว่าจริงๆ แล้วในปัจจุบันในยุคโซเชียลทุกคนเป็นสื่อได้หมด สามารถนำเสนออะไรได้หมด เพียงแต่ว่าเราก็ต้องเสพสื่ออย่างมีสติเหมือนกัน ว่าอะไรเป็นข่าวเท็จหรือข่าวจริง

แต่ในตัวของผมเองผมรู้สึกเสียใจมั้ย ผมไม่เสียใจนะ กลับรู้สึกว่ามันเป็นแรงอย่างนึง ที่ทำให้เราอยากเอาชนะในสิ่งที่เค้ากำลังต่อว่าต่อขานเรา

...

บางคนก็จะบอกว่าสื่อก็ไม่ใช่ไม่รู้จะนิยามว่าอะไร ไม่ใช่สื่อละสิ ถึงได้ไปถามเค้าแบบนั้นไร้มารยาท ไม่มีความเป็นสื่อ อะไรแบบนี้ผมโดนเยอะ

แล้วคนที่ว่าผม ไม่ใช่ประชาชนนะ แต่เป็นคนที่ทำงานสื่อนั้นแหละ เป็นคนที่เค้านิยามตัวเองว่าเป็นคนข่าวนั่นแหละครับที่ว่าผม ผมก็เลยตั้งใจว่าไม่เป็นไร แล้วจะทำให้เห็นว่าผมทำได้ดีกว่าคุณ”

กลายเป็นแรงบันดาลใจให้มาฮึดสู้ดราม่าแบบนี้?
“ใช่ครับ ซึ่งจริงๆ แล้วก็อยากจะฝากบอกด้วยว่า วิธีการที่ผมสัมภาษณ์ที่เค้าพยายามบอกผมว่า ไม่ใช่สื่อเนี่ย ผมก็ต้องยอมรับว่าตัวผมเองเป็นคนบันเทิงมาก่อน

แต่ว่าบังเอิญที่ไอ้คนบันเทิงมันมีความโชคดีมาอย่างนึงเพราะเราเคยเล่นละคร เพราะฉะนั้นการที่เราจะเล่นละครกับใครสักคน ต้องมีการพูดคุยละลายพฤติกรรมกัน

ซึ่งตรงนี้มันเป็นเหมือนจุดได้เปรียบของคนที่เป็นนักแสดง เพราะฉะนั้นวันนึงที่เราต้องไปนั่งคุยกับแขกรับเชิญซึ่งเป็นเรื่องซีเรียส ตัวเค้าก็เกร็งอยู่แล้ว บางครั้งเค้าก็ไม่อยากจะพูด ตัวเค้าอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ในใจ เค้าไม่อยากจะพูดให้คนแปลกหน้าฟังหรอกครับ”

...

จริงมั้ยที่ให้เงินกับแขกรับเชิญหลายๆ คนที่มา อย่างเคสลันลาเบลที่ให้ทุนการศึกษาน้องแบมแบม?
“ผมว่าผมก็ไม่ได้ใจบุญอะไรมากมายนะครับ ผมอ่านข่าวนี้เยอะมากอ่านเป็นสัปดาห์ เชิญพ่อแม่เค้ามาออกรายการผมเลยคิดว่า เฮ้ย..เราเอาภาพแม่เค้ามาวนๆ ออกบ่อยๆ แบบนี้ แล้วถ้าวันนี้เราจะเอาเงินช่วยลูกเค้าบ้าง คนที่เอาภาพเค้ามาเนี่ย มันผิดเหรอ ใช่มั้ยครับ ผมรู้สึกว่าผมได้รับมาแล้ว ผมควรคืนให้เค้าบ้าง”

จริงมั้ยที่กั๊กแขกรับเชิญที่มารายการตัวเองไม่ให้ไปออกรายการอื่น?
“จริงครับ คือมันมีหลายเหตุการณ์ บางเหตุการณ์ก็ต้องยอมรับว่าเรากั๊กจริงๆ อย่างตอนที่ผมรายการโหนกระแส รายการอยู่ตอน 2 ทุ่มครึ่ง ช่อง 28 ทีนี้ระบบช่อง 3 เอง

ตอนนั้นทางผู้ใหญ่มองว่าความที่เป็นฮาร์ตทอล์ก เพราะฉะนั้นเวลาถามหรือประเด็นอะไรที่มันรุนแรง ก็กลัวว่ามันจะปัญหาเรื่องของกฎหมายมาเกี่ยวข้อง

ง่ายๆ ก็คือกลัวโดนฟ้อง ทีนี้ก็เลยไม่ให้ทำสด ทางผู้ใหญ่เค้าบอกว่าอัดตอน 5 โมงเย็นแล้วกัน แล้วค่อยมาดีเลย์เทปออกประมาณ 2 ทุ่ม หลังจากนั้นสมมติแขกรับเชิญมาออกตอน 5 โมง เสร็จตอน 5 โมงครึ่ง ผมก็จำเป็นต้องส่งแขกกลับบ้าน แต่ระหว่างนั้นมันก็จะมีช่องอื่นๆ ที่ออกตอน 5 โมงกว่า 6 โมงบ้าง ออกสดบ้าง

เค้าต้องการเอาแขกผมเนี่ยไป แล้วผมถามว่าถ้าเอาไปแล้วตอน 2 ทุ่ม 15 ผมทำยังไง คือผมก็เป็นหมันดิ คือเค้าดูช่องคุณไปแล้ว เค้าจะมาดูช่องผมเหรอ

คือคุณไม่ได้ไปก็จะออกมาตีโพยตีพายด่าคนอื่นว่ากั๊กแขก แต่ในมุมกลับกัน มันมีที่คุณกั๊ก แต่ผมไม่เคยออกมาพูดไงครับ ข่าวมันก็เลยไม่มีว่าคุณกั๊ก

อันนี้พูดถึงในมุมธุรกิจ ผมไม่เคยพูดที่ไหนจะว่าผมก็ได้นะ ผมมองว่าในมุมของธุรกิจ ผมเองก็มีช่องใช่มั้ยครับบางทีผมมีแขกรับเชิญมา สมมติจากภูเก็ตบินมาเลย ซื้อตั๋วทุกอย่างให้ มาอยู่ในโรงแรม เสร็จปุ๊บมาถ่ายรายการ

อยู่ดีๆ ช่องอื่นมาขอไปถ่ายรายการต่อจากผม เนี่ยแล้วทำไมไม่ซื้อตั๋วเครื่องให้เค้ามาตั้งแต่แรกล่ะ ผมเป็นคนออกทั้งหมด แล้วทำไมไม่ลงทุนอะไรเลย แล้วคุณมาเอาแขกผมไป อย่างนี้จะไม่ให้ผมกั๊กไว้เหรอ”

แล้วเรามีวิธีการกั๊กแขกเรายังไง?
“ก็ส่งกลับเลย ถ้าคุณอยากจะเชิญก็ให้เค้าบินกลับมาใหม่”

ไม่ได้กั๊กให้ไปออกรายการอื่น?
“ไม่ๆ คือหลังจากที่มันจบเรื่องของเราไปแล้ว สมมติว่าคุณบินกลับไปภูเก็ตเรียบร้อยแล้ว คุณจะบินกลับมาใหม่ในวันนั้นก็เรื่องของคุณ คือมีนะแขกรับเชิญที่ผมซื้อตั๋วเครื่องบินมาให้ บินมาเสร็จ เราก็มีรถไปส่งที่สนามบินกำลังจะขึ้นเครื่อง

อีกช่องโทรมาจอดรถข้างทางก่อน ลงมาแล้วก็ให้แขกรับเชิญของเราเนี่ยไปสัมภาษณ์ของเค้า แล้วเค้าก็ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับให้ใหม่ ซึ่งแบบนี้ถามผมว่าโอเคมั้ย ผมก็ไม่โอเคนะ ผมรู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันต้องชิงประเด็นกัน”.