เรียกว่าเป็นโมเมนต์ที่ในโลกโซเชียลฮือฮาไม่น้อย เมื่อร็อกเกอร์หนุ่ม ตูน อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม ทำเซอร์ไพรส์ขอนักแสดงสาวร่างเล็ก ก้อย รัชวิน วงศ์วิริยะ แต่งงาน แถมสถานที่ขอแต่งงานเป็นยิมที่ทั้งคู่ไปออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ จนกลายเป็นโมเมนต์ที่ทำให้สาวๆ อดอิจฉา ก้อย ไม่ได้ และเกิดไวรัลในโซเชียล มีคนทำตามเป็นจำนวนมาก และเมื่อ ก้อย รัชวิน มาร่วมงาน “Lazada Women’s Festival ตอบทุกสไตล์ที่เป็นคุณ” ณ ลานควอเทียร์ อเวนิว ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ นักข่าวเลยให้เจ้าตัวเล่าเรื่องราวดีๆ สุดเซอร์ไพรส์เป็นครั้งแรก

ถามถึงเรื่องที่ตูนขอก้อยแต่งงาน ความรู้สึกวันนั้นเป็นไงบ้าง?
“จริงๆ ก็ช็อกนะคะ ก็อึ้งๆ เพราะว่าไม่มีสัญญาณใดๆ มาก่อนเลยค่ะ ไม่มีเซ้นส์เลย แล้วก้อยสารภาพตามตรงเลยว่าไม่ได้คิดฝันว่าจะมีโมเมนต์ที่จะโดนขอแต่งงานแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ”
ตอนนั้นที่เขายื่นแหวนกับการ์ดให้ ในใจคิดอะไรอยู่?
“ไม่ได้คิดอะไร เพราะว่าตั้งใจแพลงก์มาก คือเรื่องของเรื่องโค้ชบอกว่าพี่ตูนเพิ่งแพลงก์ได้ 5 นาทีครึ่ง แล้วปกติสถิติก้อยคือแพลงก์ได้ 5 นาที เขาก็อยากให้ก้อยทำลายสถิติ เราก็โอเค ตั้งใจมุ่งมั่นมากกับการแพลงก์ ก้มหน้าลง ไม่ได้มองหรือสนใจอะไรรอบข้างเลย ตอนที่เห็นแหวนมันไม่มีอะไรเข้ามาเลย มันตกใจ ช็อก แล้วก็ตัวแข็ง แล้วก็ยังแพลงก์ต่อ (หัวเราะ)”
...
ตูนพูดอะไรตอนที่ยื่นแหวนมา?
“เขาพูดว่าอยู่ด้วยกันนะ (ยิ้ม)” ถามว่าทำให้เราน้ำตาไหลใช่มั้ย ก็ยังไม่ได้พูดอะไร พูดอะไรไม่ออก เพราะว่าตอนนั้นยังแพลงก์อยู่ จนโค้ชบอกว่าหยุดได้นะ You can stop now ตอนแรกเหมือนหูดับ ไม่ได้ยินอะไรเลย สุดท้ายพอรู้ตัวก็ค่อยๆ ผ่อนลงมา ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องจริงใช่มั้ย ยังช็อกอยู่ ถามว่าช็อกไปนานแค่ไหน นานค่ะ ร้องไห้แล้วก็หัวเราะไปเรื่อยๆ จนพี่ตูนถามว่าโอเคนะ เราก็เออๆ (พยักหน้า)”
คิดว่าจะมีโมเมนต์แบบนี้จากเขามั้ย?
“ไม่มีค่ะ ไม่เคยคิด และไม่เคยมีภาพมาก่อนด้วยว่าเขาจะเซอร์ไพรส์เรา เพราะปกติพี่ตูนเป็นคนที่ไม่เคยเซอร์ไพรส์ก้อยได้ ถ้าเขาจะทำอะไรสักอย่างนึงเนี่ย ก้อยจะรู้ทันและจะมีเซ้นส์ แต่ครั้งนี้คือเนียนมาก ไม่รู้ตัวเลยจริงๆ”
เราได้เห็นมั้ยว่าเขามีการถ่ายคลิปไว้ด้วย?
“คือในยิมก็จะมีแค่โค้ชและผู้ช่วยโค้ช ซึ่งโดยปกติเวลาเราไปออกกำลังกายก็มีการถ่ายคลิปอยู่แล้วซึ่งเป็นเรื่องปกติ เราก็เลยไม่ได้เอะใจ”
นอกจากประโยคที่ตูนขอเรา หลังจากเซย์เยสไปแล้ว เขาพูดอะไรต่อมั้ย?
“เอ่อ...(นิ่งคิด) จำไม่ได้ (หัวเราะ) อยู่ในคลิปที่ก้อยลงไปค่ะ เหมือนเราแทบจะไม่ได้พูดอะไรถึงกัน เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเยอะ คือข้อความทุกอย่างมันอยู่ในการ์ดนั้นหมดแล้ว เราก็ดีใจ”
ถามเขามั้ยว่าทำไมถึงเลือกเป็นวันที่ 14 ก.พ.?
“ถามค่ะ เพราะว่าก้อยก็เซอร์ไพรส์ เพราะปกติวันวาเลนไทน์จะเป็นวันที่เราทั้งคู่ไม่ได้ให้ความสำคัญมาก คือไม่ได้มีอะไรพิเศษ สำหรับก้อยกับพี่ตูนคือวันวาเลนไทน์คือเป็นเรื่องปกติเลย แต่ที่เขาเลือกวันนี้เพราะว่าเขาอยากทำให้วันที่ก้อยเคยคิดว่ามันเป็นวันธรรมดา มันกลายเป็นวันที่พิเศษขึ้นมา หลังจากนี้ไปทุกวันที่ 14 ก.พ. ก้อยก็จะจำได้ว่ามันเคยมีโมเมนต์อะไรสำหรับเรา แล้วมันจะกลายเป็นวันสำคัญ”
แล้วเหตุผลที่เลือกที่ยิมล่ะ?
“ตอนแรกก็งงนะคะ เพราะจริงๆ เราตั้งใจจะไปทานข้าวกันต่อบนเรือ ซึ่งก็โรแมนติกกว่ามาก แต่ว่าเขาก็เลือกมาขอที่ยิม เหมือนเขาบอกว่ามันเป็นสถานที่ที่เราได้ใช้เวลาร่วมกัน เป็นโมเมนต์ที่มีความสุขด้วยกัน เพราะเวลาไปออกกำลังกายด้วยกัน ก้อยจะพูดอยู่เสมอว่าที่นี่เป็นที่ที่ก้อยมีความสุข บางทีเราเครียดจากข้างนอกมา ไปเจออะไรมาก็ตาม พอเราได้ออกกำลังกาย มันเหมือนเราได้ใช้เวลาร่วมกันสองคน”
แต่จริงๆ เราวาดโมเมนต์ไว้บนเรือมากกว่า?
“ไม่มีวาดๆ แค่ถามเขาว่าเดี๋ยวจริงๆ เราก็ไปตรงนั้นกันต่อ ทำไมถึงไม่เป็นตรงนั้น (เป็นเพราะเขาไม่อยากซ้ำกับคนอื่น?) ก้อยว่าพี่ตูนเขาไม่ได้คิดถึงตรงนั้นเลยค่ะ เขาคงอยากทำให้มันง่ายที่สุด ธรรมดาที่สุด”
...
มันเหมือนเป็นไวรัลไปเลย คนทำตามเต็มไปหมด?
“อันนั้นก็น่ารักมากเลยค่ะ เราก็ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนสนใจ แต่ในมุมก้อย ก้อยว่ามันก็ดีนะ ทำให้สาวๆ อยากจะลุกมาออกกำลังกายมากขึ้น ก็ขอบคุณทุกคนสำหรับกำลังใจทุกๆ ข้อความ ทุกๆ ภาพที่เขาส่งมาให้เราเห็นค่ะ”

วันนั้นเขาได้ไปเตี๊ยมกับคุณพ่อคุณแม่เรายังไงบ้าง?
“คุณพ่อคุณแม่ก็ยังไม่รู้เลยค่ะ (หัวเราะ) ไม่มีใครรู้ใดๆ เลยค่ะ แต่เดี๋ยวจะเข้าไปเร็วๆ นี้ค่ะ กำลังจะมีการขออย่างเป็นทางการ อันนี้เหมือนมาบอกเราก่อนค่ะ”
ถามถึงเรื่องแหวน มีความพิเศษยังไงบ้าง?
“ก้อยไม่รู้เลยค่ะ คือก้อยไม่ได้ถามเรื่องแหวนอะไรใดๆ เลย เราถือว่ามันเป็นโมเมนต์ที่พิเศษสำหรับเรา เราก็ไม่ได้ไปโฟกัสตรงนั้นค่ะ”
หลายคนก็ลุ้นเรื่องวันแต่งงานแล้ว?
“จริงๆ มีฤกษ์แล้ว แต่ว่าเดี๋ยวรอดูสถานการณ์อีกนิดนึง ถามว่าเป็นปีนี้หรือปีหน้า ปีนี้ค่ะ แต่จะเป็นช่วงไหนเดี๋ยวรอดูสถานการณ์อีกที ถ้าเกิดว่ามันโอเคขึ้นก็อาจจะไม่นานนี้”
...
แสดงว่ามีการไปดูฤกษ์ก่อนที่จะมีการขอแต่งงาน?
“อืม...เป็นทางฝั่งพี่ตูนค่ะ หลังจากที่ขอแต่งงาน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากค่ะ ถามว่าวางไว้ช่วงกลางปีหรือปลายปี เอาเป็นว่าเดี๋ยวรอให้สถานการณ์โอเคแล้วค่อยบอกทีเดียวดีกว่า เพราะเราไม่ได้อยากบอกไปแล้วต้องเลื่อนทีหลังค่ะ”
เริ่มมีการเตรียมงานไว้บ้าง?
“สารภาพว่ายังไม่ได้ทำอะไรเลย (หัวเราะ) ยังไม่ได้เตรียมชุดเตรียมอะไรเลย เพราะพี่ตูนอยู่ต่างประเทศ เดี๋ยวรอกลับมาแล้วก็มาคุยอีกทีนึง”

มีรูปแบบงานในฝันมั้ย?
“เอ่อ...ก้อยก็ไม่ได้มีภาพโมเมนต์ในฝัน แต่ก้อยแค่อยากจะให้เป็นงานที่ทุกคนมาแล้วมีความสุข ให้ทุกคนได้รับรู้ถึงการเดินทางของเราตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ก้อยว่าทุกๆ คนเหมือนเป็นส่วนนึง เป็นครอบครัว เหมือนเป็นญาติพี่น้อง เพราะทุกคนเห็นก้อยกับพี่ตูนมาตลอด เอาใจช่วยเราทั้งคู่มาตลอด”
จะเตรียมงานทันใช่มั้ย?
“นั่นน่ะสิ (หัวเราะ) ก้อยก็ยังไม่แน่ใจว่าเรื่องทันหรือไม่ทัน แต่ก็พยายามไม่กดดัน อยากทำอะไรที่มันง่ายๆ ให้คนมาแล้วมีความสุข แล้วเราก็มีความสุขด้วย”
...
เตรียมพร้อมกับสเต็ปใหม่ของชีวิตยังไงบ้าง?
“เอ่อ...เตรียมพร้อมยังไงเหรอคะ ยังไม่ได้เตรียมอะไรเลยอะ (หัวเราะ) ก้อยคิดอย่างเดียวว่าก้อยอยากจะตื่นมาตอนเช้าแล้วทำกับข้าวให้เขาทาน มันเป็นสิ่งที่เขาเคยขอเราตลอดว่าอยากเห็นเราไปเรียนทำอาหาร คือสมมติเวลาไปทานอะไรอร่อยๆ ด้วยกัน เขาจะบอกว่าหนูไปเรียนสิ เราก็ไม่เคยรู้ว่าทำไมต้องให้ไปเรียนทำอาหารด้วย จนพอถึงวันนึงเรารู้สึกว่าถ้าเราได้ใช้ชีวิตด้วยกัน เราตื่นมาทำอาหารให้เขาก่อนไปทำงาน มันก็คงดี”
เริ่มไปเรียนรึยัง?
“ก็เริ่มคิดแล้วว่าโอเค เดี๋ยวจะเริ่มลองจากเสิร์ชจากยูทูบ ทำอะไรง่ายๆ ก่อน จะพยายามให้ดีที่สุดนะคะ (หัวเราะ)”
เตรียมงานไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว?
“โห อย่านับเป็นเปอร์เซ็นต์เลย (หัวเราะ) ยังไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไหร่ เดี๋ยวรอพี่ตูนกลับมาก่อน”
แสดงว่ามีการขออะไรเยอะพอสมควร?
“เขาก็ไม่ได้ขออะไรมาก ก้อยว่ามันก็ต้องมีการปรับตัวแหละ เพราะการใช้ชีวิตคู่ เราก็ต้องเรียนรู้ ต่อไปมันก็อาจจะไม่ได้แค่เราสองคน อาจจะมีน้องหรืออะไรแบบนี้ การใช้ชีวิตครอบครัวมันก็จะต่างจากตอนเป็นแฟน”

คนรอบตัวว่ายังไงบ้าง?
“หลายคนบอกว่าดีใจเหมือนพี่ตูนขอซะเอง เป็นโมเมนต์ที่ทุกคนก็มีความสุขตามไปด้วย ก้อยก็ดีใจ”
ตูนจะมาเป็นคู่ชีวิตเราแล้ว เขาใช่คนในฝัน เป็นผู้ชายในอุดมคติของก้อยเลยมั้ย?
“โห ไอ้คำว่าอุดมคติเนี่ย มันคือเป็นอะไรที่ตอนเด็กๆ เคยคิดไว้เนอะ แต่พอโตขึ้นมาเลยสัก 30 เราจะไม่ได้มีภาพอะไรแบบนั้นแล้วค่ะ เราขอแค่คนที่ใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน เข้าใจและเรียนรู้ที่จะให้อภัยซึ่งกันและกัน แค่นั้นก้อยว่าก็ดีที่สุดแล้วค่ะ”.