ขยันเสิร์ฟความแซ่บได้ตลอดๆ เอะอะถอดเสื้ออวดหุ่นอยู่เรื่อย จะไม่ให้สาวๆหวั่นไหวได้ยังไงล่ะ สำหรับพระเอกหนุ่ม ณัฐรัฐ โมริส เลอกรอง จากละคร “เพลิงริษยา” ช่อง 8 เล่นเอาเจ้าตัวแอบเขินเพราะไม่มีฟิตหุ่น พร้อมบอกเล่าช่วง “คุณพ่อ” ป่วยหนัก ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ส่วนหัวใจไม่หมกเม็ด ยอมรับกำลังคุยๆกับสาวเกาหลีได้ปีกว่า...งานนี้บอกเลย สาวไทยเศร้าไปตามๆกัน ใน “คนดังนั่งคุย”
สรุปเล่นเรื่องนี้เราเล่นเป็นเพลิง หรือเป็นริษยา
“(หัวเราะ) บทผม มองเผินๆ บท ภูมิ เหมือนจะเป็นผู้ชายเพอร์เฟกต์ เป็นเจ้านายที่มองทุกคนเป็นคนในครอบครัว ให้ความสำคัญกับความถูกต้อง อาจจะออกแนวเพลิง แต่ไม่เยอะ อย่างฉากแรก บริษัทกำลังไปไม่ได้ดี เค้าพาลูกค้าที่สำคัญไปเที่ยว เพราะต้องการเงินจากลูกค้ารายนี้ แล้วไปเจอแก้ว (โซฟี่) ตั้งใจเรียน อ่านหนังสือแบบเอาไฟฉายส่องในผับ ก็เอ็นดู แล้วลูกค้าเราเริ่มลวนลามผู้หญิง ผมก็ไปช่วยเค้า และมีปัญหากับลูกค้า ผมชอบเรื่องนี้เพราะตัวละครจะมีความเป็นมนุษย์ แบบสีเทา ไม่มีใครดี 100% บางทีคนที่อาจจะดี แต่ไปเจอเรื่องร้ายๆ แต่นั่นเพราะเค้าไปเจอเรื่องไม่ดีเยอะ มันก็ทำให้เค้า น้อยใจว่าทำดีก็ไม่เห็นจะได้ดี มีชีวิตที่ดีเลย เลยเปลี่ยนไปอีกด้าน”
เข้าฉากกับสาวๆเยอะ แซ่บตั้งแต่ทีเซอร์แล้ว
“เห็นทีเซอร์เลิฟซีนในห้องน้ำ ก็ตกใจอยู่ (หัวเราะ) คนแซวเยอะมาก ซึ่งจริงๆพอเดาได้ว่าภาพจะเป็นแบบไหน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นภาพแรกในทีเซอร์ แต่ก็ดึงความสนใจจากคนดูได้ ฉากอาบน้ำถือว่าหวือหวามาก แต่นี่แหละ ความเป็นมนุษย์” ตอนถ่ายเขินหรือขำ “ตอนถ่ายกลุ้มใจมากกว่า (หัวเราะ) เพราะต้องถอดเสื้อ ไม่มีเวลาฟิตหุ่น ผมไม่เวลาเตรียมตัวเลย หนุ่มคนอื่นๆในเรื่องฟิตหุ่นมาแน่นมาก แต่ไม่ต้องถอดเสื้อ (หัวเราะ) ผมอยากจะขอถ่ายฉากนั้นใหม่มาก แต่ไม่ทันแล้ว อยากจะให้มันดีขึ้นกว่านี้ แบบคนเห็นแล้ว หุ่นดี ของดี หลังๆก็ออกกำลังกายหนัก เพราะโดนแซว เพราะผู้ชายในเรื่องหุ่นดีทุกคน คนทั่วไปจะนึกว่าผมหุ่นดี ด้วยความสูงยาว แต่ผมจะมีปัญหา ถ้าลดความอ้วนเยอะ แก้มจะตอบมาก หน้ามันไม่เวิร์ก โทรม จะหาจุดกลางยากมาก ก่อนถ่ายฉากนั้นผมไม่กินอะไรเลย 2 วัน คนทักว่าตัวเหลือง ขาดสารอาหาร หลังจากนี้ก็ฟิตเต็มที่ พร้อมตลอด เผื่อต้องโชว์อีก จะได้สบาย พร้อมตลอด”
...
ผ่านบทดราม่ามาเยอะแนวนี้ถือว่าสบายเลย
“เรื่องนี้ร้องไห้เยอะเหมือนกัน พี่วุธ อัษฎาวุธ ไม่เคยเห็นผมเล่นมุมนี้ ปกติพระเอกจะไม่ร้องไห้ แต่เรื่องนี้จะเห็นมุม บทภูมิจะเป็นคนอ่อนไหว มีหัวใจ เพราะรักมิริน (แซนดี้) มาก จริงๆผมก็ร้องไห้ง่ายนะ อย่างเด็กๆดูการ์ตูนดราก้อนบอลตอนจบก็ร้องไห้แล้ว ส่วนใหญ่ดูหนังเศร้าก็ร้องไห้นะ” ภายนอกจะดูสนุกสนาน “ใช่ครับ เหมือนเป็นไบโพลาร์ จะชอบแกล้งคน” หลังๆเราจะเล่นบทร้าย อารมณ์ฉุนเฉียวก็เยอะอยู่นะ “บทแบบนั้นจะเหนื่อย ปวดหัว กลับบ้านไปแบกอะไรเยอะ แต่ตัวผมจริงๆชอบชิลล์ๆ ไม่มีอะไร แต่ตัวร้ายมันจะเก็บอะไรเยอะมาก ทำอะไรไม่เคยรู้สึกดี จะเหนื่อย แต่บทภูมิ เห็นเป็นคนสบายๆ แต่พอโดนอะไรมากระทบจิตใจ ก็ต้องดูว่าเค้าจะรับมือความกดดันทั้งหมดยังไง ตั้งแต่เป็นอิสระ เพลิงริษยาเป็นละครเรื่องแรกที่จะได้ดู หลังจากออกมาเป็นอิสระ”
หลังจากเป็นมนุษย์ฟรีแลนซ์ เป็นไงบ้าง
“ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับช่อง 3 ก่อนรับเรื่องนี้ ผมยังส่งให้พี่ๆช่วยดู ซึ่งเค้าก็ว่ามันดี ท้าทาย เอาจริงลึกๆจะคิดว่าวันแรกที่เป็นฟรีแลนซ์ ถ้าไม่มีใครเรียกเราเลย อาจจะกลายเป็นตกงาน เพราะ 13 ปีที่อยู่ช่อง 3 ก็ผูกพันนะ คิดถึงทุกคน เพราะผมก็อยู่มาหลายปี พอเป็นฟรีแลนซ์ ผมก็ได้ประสบการณ์ที่ต่างไป เพราะแต่ละช่องมีแนวของตัวเอง” ที่ขอเป็นฟรีแลนซ์ เพราะหลังๆ ไม่ได้เป็นพระเอกหรือเปล่า “จริงๆไม่ได้เป็นพระเอกก็ชิลล์นะ ไม่เหนื่อย โผล่แค่ตอนละฉาก (หัวเราะ) ถ้าคิดแบบขี้เกียจ จริงๆปีละเรื่อง สองเรื่อง ผมก็โอเคแหละ แต่ช่วงนั้นพ่อผมป่วย เราอยากทำงานมากกว่านี้ ถ้าพ่อไม่ป่วย เราก็ยังอยู่ที่เดิม พอพ่อป่วย ผมอยากทำอะไรมากกว่านี้ เพราะค่าใช้จ่ายสูง แล้วพ่อต้องผ่าหัวใจ 3 ครั้ง ผ่าสมอง 1 ครั้ง ก็หมดไปหลักล้าน เบิกอะไรไม่ได้เลย แล้วถ้าพ่อป่วยขึ้นมาอีก จะเอาตังค์ที่ไหนจ่าย แล้วบังเอิญสัญญาผมหมดพอดี แล้วช่องทีวีก็เกิดขึ้นมาเยอะ ถ้าเรารับได้หมดทุกช่อง เราก็สามารถทำงานได้ 7 วัน ก็น่าจะมีรายได้มากขึ้น ซึ่งช่องเค้าเข้าใจ และที่แรกที่เรียกผมไปเล่นหลังจากหมดสัญญาก็คือช่อง 3 ครับ ช่วงนั้นงานติดต่อเข้ามาเยอะ ถ่ายพร้อมกัน 3 เรื่อง ซึ่งผมก็รู้สึกว่าโอเค ซึ่งถ้าเกิดพ่อป่วยขึ้นมา ผมก็มีกำลังที่จะดูแลได้ จ่ายได้”
ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต
“ใช่ครับ มีแรงจูงใจ มีแรงผลักดันขึ้น ตอนนี้เราเห็นความสำคัญของสุขภาพคนในครอบครัว ซึ่งแม่ผมก็เส้นเลือดแตกเหมือนกัน ในช่วงใกล้ๆกัน ซึ่งถาโถมเหมือนกัน ผมก็รู้สึกมีแรงจูงใจที่จะทำงานหนักขึ้น อย่างเมื่อก่อนผมจะออกแนวชิลล์ๆ พอเป็นนักแสดงอิสระผมก็ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น ตอนมีสังกัดก็มีคนดูแล ซัพพอร์ต ซึ่งทำให้ผมเข้าใจ เพราะอย่างเคยมีบทดีๆมาเสนอ แล้วเค้าอยากให้ผมเล่น แต่ช่องเค้าอยากให้เด็กช่องเล่นมากกว่า ก็เลยไม่ได้เล่น แต่ผมเข้าใจเรื่องตรงนี้ครับ เป็นเรื่องปกติ ตอนนี้ก็มีคนออกมาเป็นนักแสดงอิสระมากขึ้น แต่ก็ยังดีที่ได้เจอทีมงานรู้จักกันวนๆ กันไป ไม่ได้รู้สึกเหมือนเด็กไปโรงเรียนใหม่ ตอนนี้ปิดกล้องครบ 3 เรื่องแล้ว ก็มีเวลาพาพ่อแม่ไปเที่ยว อยากอยู่กับท่านให้นานๆ”
มิน่าล่ะช่วงนี้ได้เที่ยวบ่อย เหมือนเก็บกดมาจากไหน
“ผมซื้อคอนโดไว้ที่บางเสร่ เพราะพ่อชอบทะเล แล้วเค้าเดินทางไม่ไหว เลยอยากให้พ่อแม่อยู่ที่นั่นเลย บรรยากาศดี อากาศดี เคยวัดค่าฝุ่นแล้ว มันต่ำมาก จิตใจสงบ หลับสนิท ผมรู้สึกว่าถ้าจิตใจสงบ อากาศดี ท่านจะอายุยืนขึ้น ไม่ป่วย ก็ไปอยู่ที่นั่นบ่อยหน่อย แต่เค้าห่วงผม ก็เลยมาอยู่ด้วยที่กรุงเทพฯ ยิ่งเราโตขึ้น อายุ 30 ปีแล้ว ถือว่าครึ่งนึงของชีวิตแล้วนะ (หัวเราะ) มองย้อนกลับไป ผมเจออะไรมาเยอะ ชีวิตเริ่มมีสาระ อยากเก็บเงินมากขึ้น เพราะเราเห็นความไม่แน่นอน เกิดการเจ็บป่วยก็เรื่องใหญ่ เรื่องงานก็มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ ตอนนี้ก็ต้องเผื่อไว้ วางแผนชีวิตมากขึ้น” ยังแต่งรถอยู่มั้ย? “เหมือนตอนวัยรุ่นมั้ยก็ไม่แล้ว ใช้คันเดิม รถสปอร์ตไม่ใช้เลย เลือกใช้รถที่ไปไหนได้ทั้งครอบครัว รถบิ๊กไบค์ไม่มี กลัว แม่ไม่ให้ขี่ด้วย อย่างรถคันแรก ตั้งแต่ 18 ปี เพิ่งขายไปไม่นาน แล้วเสียบ่อยมาก ก็เลยขาย เพราะเป็นอุปสรรคในการทำงาน เบรกค้าง ถอยไม่ได้ กระจกปิดไม่ลง ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนรถ”
...
หลังๆดูเราระวังเรื่องการใช้เงินมากขึ้น
“เรื่องของตัวเองผมจะประหยัด แต่ถ้าเป็นพ่อแม่ อยากได้อะไร ผมพร้อมจ่าย ผมเป็นคนสบายๆ ถ้ายึดติดเยอะ ทุกข์เยอะ เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองขี้เกียจ หรือยึดติดน้อยกันแน่ (หัวเราะ) อย่ายึดติดกับความสบายมาก” เริ่มวางแผนทำงานอย่างอื่นด้วยมั้ย “ผมไม่ได้มีเวลามากพอ ถ้าเราทำอะไรเราก็ควรอยู่ตรงนั้น ถ้าเราเปิดร้านอาหารแล้วไม่ได้ไปดูแล ผมอาจจะโดนโกง แล้วเราไม่ได้มีความรู้ตรงนั้น แต่ ณ ตรงนี้ งานตรงนี้ ผมถนัดและทำได้ ก็เก็บเงินซื้ออสังหา เล่นหุ้น ไม่ไปลงทุนกับอะไรที่เสี่ยงเกินไป ถ้าไม่มีงานก็พัก แล้วจะทำอะไรก็เริ่มทำดีกว่า อย่าประมาทใช้เงินจนหมด ไม่เหลืออะไร”
เคยเกิดเหตุการณ์แบบไม่มีเงินติดกระเป๋าเลยมั้ย
“ผมเป็นคนไม่ค่อยมีเงินติดกระเป๋าจนมีคนบอกว่า คุณแม่ น้องต้องมีเงินติดตัวบ้าง (หัวเราะ) แต่ผมเคยมีนะ รอบก่อนที่พ่อไม่สบาย พ่อเป็นมะเร็ง ค่ารักษาเป็นล้าน แล้วผมเพิ่งซื้อรถใหม่ เงินก็จะไม่พอ ปรึกษากับแม่ ทำไงดี เพราะพ่อก็ยังอยู่โรงพยาบาล แม่บอกให้เอาบ้านเข้าธนาคาร แต่พอดี แม่ก็ไปหาอาจารย์ทางใน เค้าบอกไม่ต้อง เดี๋ยวจะมีเงินเข้ามา ผมก็คิดจะมีเงินมาจากไหน แต่ก่อนช่องช่วยเหลือเยอะมาก ให้เบิกเงินก่อนละครถ่ายจบ แต่มะเร็งมันแพง เบิกก็ไม่ได้ แต่ผมก็ลองเชื่อดู แล้วหลังจากนั้นมีโฆษณาเข้ามา ก็ได้เงินหลายล้าน ได้เท่ากับค่ารักษาพ่อไปเลย ผมไม่ได้ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรเลย อาจจะเพราะเราทำบุญกับรักษาพ่อแม่ เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ ผมว่าความกตัญญูสำคัญ มีส่วนมาก ถึงเราไปไหว้พระที่ไหน หลายๆที่ ไม่เท่ากับเราดูแลพ่อแม่ครับ หลังจากนั้นพ่อก็เริ่มดีขึ้น ก็ผ่านไปได้ มันจะมีช่วงที่ไม่แน่นอน”
...
ความรักเป็นยังไงบ้างไม่ค่อยเห็นเอ่ยถึงเลย
“มีคนคุยบ้างครับ ช่วงนึง ผมยุ่งๆไม่ค่อยมีเวลากับเรื่องตรงนี้ แต่ตอนนี้โตแล้ว 30 อัปแล้ว ผมก็จะมองคนที่เข้ากับครอบครัวเราได้ ถ้าแม่ชอบ ผมก็โอเค ถ้าแม่ไม่ชอบ ก็ตามใจแม่ เค้าเป็นคนนอกวงการ ไม่ค่อยได้เจอกัน เราเจอกันที่เรียน ม.กรุงเทพ อินเตอร์ แต่เค้าอยู่เกาหลี แต่เค้าพูดอังกฤษได้ เราจะเรียนภาษาเกาหลีก็ยากไป แต่เค้าไปตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาไทยเพื่อคุยกับเรา เราเห็นความตั้งใจเค้ามาก วันปกติก็ทำงาน เค้ามาเรียนแค่ไม่กี่เทอมแล้วก็กลับไป แต่ก็มีเหตุให้มาเจอกันอีก หลังจากผ่านไปหลายปี คือเค้ามาสัมมนากับบริษัทที่พัทยา แล้วผมอยู่ทริปทะเลกับพ่อแม่ ก็แวะไปหา เค้าดูจริงใจ ดูใสๆ อายุเท่ากัน ที่บ้านแม่ก็เหมือนจะชอบคนนี้” มีเริ่มถามเรื่องเมื่อไหร่แต่งมั้ย “ผมก็พยายามบอกไว้ก่อน เค้าก็บอกว่ามาคุยอะไรตอนนี้ ผมอยากจะบอกว่า ด้วยอาชีพเรา มันต้องรอนิดหนึ่ง ไม่รู้ว่าเราเห็นแก่ตัวรึเปล่า แต่ก็ดูไปก่อน สมมติแต่งงานมีลูก ผมไม่รู้จะซัพพอร์ตไหวรึเปล่า เกิดพ่อป่วยขึ้นมากลัวลูกลำบาก ขอทำงานก่อน”
อยู่ห่างกัน ความสัมพันธ์มีปัญหามั้ย “ก็มีอยู่แล้วครับ ผมเห็นมาเยอะแล้ว ระยะทางมันไกลแบบนี้ อะไรมันก็เกิดขึ้นได้หมดแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่เวิร์กกับทุกคู่ คู่บางคู่อยู่ห่างกันก็รอด เราไม่รู้ว่าอะไรจะเป็นยังไง ตอนนี้เป็นเพื่อนคุย วิดีโอคอลคุยกัน ของแบบนี้มันอยู่ที่ใจ ผมไม่ได้เจอเป็นปีแล้วครับ ปกติเค้าจะมา แต่ผมเกรงใจเพราะผมบอกจะไปเอง เค้าก็เลยไม่มา แต่พอเราจะไป มันยากนะ ต้องเคลียร์งาน หรือพ่อมีนัดหมอแต่นี่ปิดกล้องหมดแล้วก็ต้องไปหาเค้าหน่อยครับ”.
ทีมข่าวบันเทิง
...