ลุกขึ้นมาโชว์ศักยภาพเต็มพิกัด สำหรับเจ้าพ่อเพลงแร็ป ปริญญา อินทชัย หรือ เวย์ ไทยเทเนี่ยม ลุยทำอัลบั้มเดี่ยว “วันอะไร” และซิงเกิลที่ 2 เพลง “แกงค์ซิท GANG SH!T” ภายใต้การเป็นศิลปินคนแรกของค่าย Def Jam Recordings (เดฟ แจม เรเคิดดิงส์) บ่งบอกความเป็นตัวตน เป็นคน “บ้างาน” หนักหน่วง แต่ถึงจะทำงานเยอะแค่ไหนแต่มีเวลาให้ครอบครัวเสมอ คอยแตะมือกับ นานา ไรบีน่า ภรรยา ช่วยกันดูแลลูกแฝด บีน่า และบรู๊คลิน เลี้ยงลูกสไตล์หนุ่มแร็ปก็จะแนวให้อิสระให้ทำในสิ่งที่รัก ไม่คาดหวังอะไรใน “คนดังนั่งคุย”
ซิงเกิลนี้ ที่ทำเป็นมาอย่างไร
“พูดถึงเพลงวันอะไร เป็นซิงเกิลแรกสำหรับอัลบั้มที่กำลังทำอยู่นะครับ เป็นซิงเกิลเปิดตัวดาบอยเวย์ ของทางค่ายเดฟแจมนะครับ วันอะไร เป็นเพลงที่มีความหมายว่า บางทีเรากำลังหมกมุ่นกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ จนบางทีเราลืมวันลืมคืนซึ่งจะเกิดคำถามขึ้นว่า วันนี้วันอะไร” นั่นคือตัวเรา เป็นคนบ้างานนั่นเอง “ใช่ครับ เป็นคนบ้างานครับ เป็นคนบ้างานมากๆ” วันนึงมี 24 ชั่วโมงเราอยู่กับงานกี่ชั่วโมง “ทั้งวันครับ ยกเว้นแค่ตอน 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม ที่จะอยู่กับลูก คือทุกวันนะครับ 5 โมงถึง 2 ทุ่มจะเป็นเวลาของลูก กลางวันก็ทำงาน และวันอาทิตย์ นอกจากว่าจะไปหยุดพักผ่อนยาวๆ ส่วนใหญ่ก็จะทำงาน แล้วก็นอน ตื่นขึ้นมาทำงาน”

...
เพลงนี้คือบอกเล่าตัวตนของเรา ว่าเราเป็นคนทำงานจนไม่รู้วันรู้เดือนหรือเปล่า
“เพราะว่าการเดินทางของผม ทุก 5 วันอาจจะขึ้นเครื่องประมาณ 5 รอบ วันจันทร์ของผมบางทีอาจจะรู้สึกว่าเหมือนวันศุกร์นึกออกไหม วันศุกร์อาจจะเป็นวันที่ชิลกว่าวันอาทิตย์ ทุกๆวันมันเหมือนกัน แต่แตกต่างแค่การเดินทางไปโน่นมานี่ แต่ทุกๆอย่างก็จะเป็นกิจกรรมที่เหมือนๆกัน รับลูก โน่นนี่จนมันเกิดคำถามที่ว่า วันนี้มันเป็นวันอะไรวะ พอรู้สึกตัวว่า เราต้องไปโน่นนะ เราต้องไปนี่นะ เป็นเพลงที่มีความหมาย ข้อคิดมากกว่าที่จะสนุกสนาน เพลงนี้จะแสดงออกถึงความเป็นตัวเรา พูดถึงตัวเราซะมากกว่า” คนรอบข้างฟังแล้วว่าอย่างไรบ้าง “ทุกคนก็ชอบนะครับ คือเพลงนี้เป็นเพลงที่มีคอนเซปต์ ซึ่งมันเป็นอะไรที่แสดงตัวตน” ถึงจะบ้างานอย่างไร ก็ต้องมีชีวิตส่วนตัว “ใช่ คือในมิวสิกวิดีโอจะพูดถึงตัวผมที่เดินอยู่ในอุโมงค์ และในอุโมงค์นี้จะเป็นเส้นทางของชีวิต รถที่ผ่านไป รถที่เฉี่ยวเรา รถที่เกือบจะชนเรานั่นคือประสบการณ์ในชีวิต ซึ่งเราก็พร้อมที่จะเดินหน้าต่อ เพื่อจะไปหาสิ่งที่เรารักและทำ นั่นคือการที่เราขึ้นไปยืนร้องเพลงบนเวที พอร้องเพลงบนเวทีเสร็จเราก็จบตรงนั้น แต่เราก็ต้องกลับมาบ้าน พูดถึงว่า บ้านคือพื้นที่ส่วนตัวของเราครับ”
กับซิงเกิลที่ 2
“ชื่อว่า GANG SH!T นะครับ เป็นเพลงภาษาอังกฤษล้วนๆ ฟีเจอริงกับ Radio 3000 (เรดิโอ ทรีเทาซั่น) นะครับ เป็นเพลงที่แบบไม่ได้มีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งไปกว่าการแร็ปโชว์สกิล พูดมันปากอะครับ” พอได้มาทำงานกับเรดิโอ ทรีเทาซั่น แล้วเป็นอย่างไรบ้าง “เคยทำงานด้วยกันมาก่อนนะครับ แล้วก็ทัวร์ด้วยกันมาก่อนอยู่แล้ว เป็นเพื่อนกันครับ เคยร้องเพลง Same thing every night ด้วยกัน จริงๆเพลงนี้มันเกิดมาประมาณปีนึงแล้วนะ แต่ทำแล้วก็เก็บมันมาสักพักนึง รอจังหวะและโอกาสที่จะปล่อยมัน” เพลงนี้มีแรงบันดาลใจมาจากอะไร “ดนตรีล้วนๆเลย จังหวะดนตรีที่ค่อนข้างมันและคึก เป็นเพลงที่คึกและเด้งๆ หมายถึงตัวดนตรีมันเป็นดนตรีที่สร้างอารมณ์ ฟังแล้วอยากจะขยับ อยากจะเต้น”
เห็นว่าอยู่บริษัทนี้ เวย์ก็ต้องสวมหมวกเป็นผู้บริหารด้วย
“บทบาทตรงนี้ไม่ได้ต่างจากที่เราทำเองด้วย แต่เรามาจากสายอินดี้ ก็เอาข้อมูลตรงนั้นมาเชื่อมกับคนอื่น ซึ่งหน้าที่ของเราคือการดูแลหาศิลปิน ดูแลโปรเจกต์ ตำแหน่งคือ โปรเจกต์เมเนเจอร์ คอยดูแล คอยแนะนำ ช่วยศิลปินที่เข้ามาในค่ายเดฟแจมเมื่อเขามีเรื่องราวที่จะเล่า ก็ช่วยให้เขาได้เล่าว่าควรจะไปในทางไหน ใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่แนะนำ” อันนี้คือเป็นการเปิดโอกาสให้กับศิลปินฮิปฮอปรุ่นใหม่ๆได้เข้ามาทำงาน “ใช่ครับ ที่เขามีเรื่องเล่า แล้วอยากเอาเรื่องเล่าของตัวเองมาแบ่งปัน มาบอกเล่าให้ประชาชนฟัง ก็จะคอยปรับ คอยแนะนำให้” ตอนนี้มีศิลปินน้องใหม่อยู่ในค่ายกี่คนแล้ว “คือมี แต่ยังไม่เปิดเผย เพราะกำลังทำโปรเจกต์ร่วมกันอยู่ คือถ้าโปรเจกต์นี้ได้ออกไป ก็จะได้เห็นกันว่ามีใคร อะไรอย่างไรบ้าง แต่ก็มีเยอะพอสมควร”

ทั้งในพาร์ตของการเป็นศิลปิน เป็นผู้บริหาร รวมถึงธุรกิจอื่นๆ เวย์จัดสรรเวลาอย่างไร
...
“หนึ่งเลยคือ ทีมครับ ถ้าทำคนเดียวเลยทำไม่ได้หรอก ผมมีทีม อย่างทีมในร้านตัดผม ทีมดาบอยเวย์ รวมถึงการพูดสื่อสารกันในทีม ถ้าทุกคนอยู่หน้าเดียวกัน มันก็จะเดินก้าวไปได้อย่างเป็นทีมที่แข็งแรง” โอกาสในเรื่องการทำงานร่วมกับต่างประเทศจะก้าวไปขนาดไหน “พอมาอยู่กับ เดฟแจม มันก็จะมีบางประตูเปิดได้ เพื่อจะมาเป็นคอลเลกชัน ก่อนที่จะมี เดฟแจม จริงๆเราก็ได้วางแนวทางเอาไว้ แต่พอโปรเจกต์เดฟแจมโผล่ขึ้นมา เราก็เอาจากสิ่งที่เราเคยคิดและวางเอาไว้มารวมกัน” มีโอกาสที่จะนำงานตรงนี้ไปเผยแพร่สู่สากล “จะว่ามีมันก็มี เอาเป็นว่าผมก็ทำงานเพลงที่มันเป็นภาษาอังกฤษ คือไม่ว่าจะเรียกว่าเป็นการโกอินเตอร์หรืออะไร แต่ถ้าเพลงมันไปได้ถึงตรงไหน มันก็จะบอกออกมาเอง”
ถ้าพูดในสายฮิปฮอป คนจะมองว่าเวย์เป็นตัวพ่อ เราฟังแล้วรู้สึกอย่างไร
“เราอยู่มานานนะครับ และก็ยังอยู่ (ยิ้ม)” เราอยากเห็นอะไรกับวงการฮิปฮอปบ้าง “ผมอยากให้คนที่ทำมัน เรียนรู้อย่างถูกต้อง คือในตลาดของไทยอาจจะรู้ว่ามันเป็นแบบนี้มานาน แต่ว่าเราต้องเรียนรู้ เพื่อที่จะพัฒนาได้มากขึ้น ผมมองว่าคนควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับทุกสิ่งในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ มันก็จะได้เติบโต คนที่เขียนเพลงบางคน ยังไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วเขาสามารถเป็นนักเขียนได้ เด็กหลายคนยังไม่รู้ว่า เราเขียนด้วย เราก็ได้แต้มจากตรงนี้ที่เราสามารถสะสมประสบการณ์จากตรงนี้ด้วย คืออย่างที่บอกว่าทุกวันนี้มันง่าย แต่เราต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจตรงนี้ด้วย ไม่ใช่ว่าเอาแค่ความง่าย แล้วก็ไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วธุรกิจของเพลง มันก็ยังคงเป็นธุรกิจ”
ภาษาของเพลงฮิปฮอป บางคนจะมองว่าค่อนข้างจะรุนแรง ตรงนี้มันสะท้อนอย่างไร
...
“มันสะท้อนยังไง สำหรับผมฮิปฮอปมันคือความจริงมันคืออารมณ์ เด็กวัยรุ่นเขาคุยกันอย่างไร คือเราอย่าคิดว่าเขาจะพูดจากันเพราะ มันก็เหมือนที่เวลาเราอยู่กับเพื่อนเรา เราจะพูดจากันขนาดไหน เธอ กู มึง คือแล้วแต่ความสนิท เพราะฉะนั้นเรื่องนี้แล้วแต่คน แล้วแต่การใช้ภาษา ฮิปฮอปคือภาษาพูด ถ้าจะต้องอ้อม ก็ไปเขียนเพลงป๊อปไป แต่ถ้าจะตรงๆ คือถ้ารู้สึกว่า กูเกลียดมึง ก็ต้องบอกว่า กูเกลียดมึง” บางคนอาจจะบอกว่า ฟังยากเข้าใจยาก “อืม...แล้วอีกล้านคนที่เขาฟังรู้เรื่องล่ะ ทำไมเขาฟังรู้เรื่องล่ะ นั่นคือเขาตั้งใจฟังมันถูกต้องไหม เขาตั้งใจที่จะแกะออกมาให้รู้ว่าเพลงนี้พูดถึงอะไร ไม่ใช่แค่ฟังผ่านแล้วบอกว่า ฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย นั่นเพราะคุณปิดตัวเองไปแล้ว หลังจากที่คุณพูดออกมาว่า ฟังไม่รู้เรื่อง คือเราไม่ได้ร้องให้คนอย่างคุณฟัง ถ้าคุณไม่อยากฟัง นั่นก็แล้วแต่คุณนะ มันแสดงว่ามันไม่ใช่สำหรับคุณ แต่ถ้าคุณเปิดใจลองฟังมัน คุณจะเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อสารครับ เชื่อผมนะ ผมอยู่มากี่สมัย เจอมาบ่อยกับประโยคที่บอกว่า ฟังไม่รู้เรื่องๆ คือก็แสดงว่า มึงไม่ได้ฟังอะ”

...
นอกจากร้านตัดผมก็ยังมีแบรนด์เสื้อผ้าด้วย
“แบรนด์เสื้อผ้าไม่ค่อยได้ทำแล้ว อาจจะมีเป็นสินค้าของร้านตัดผม และก็มีทีมที่เขาดูแล ผมแค่มาดูว่ามันโอเค ส่วนนานาเขาก็จะมีเสื้อผ้าเด็ก คือเรามีธุรกิจเล็กๆที่ทำอยู่และทำไปเรื่อยๆ แต่จะเน้นที่ร้านตัดผม ที่ผมมองว่านี่คือครอบครัว และอีกอย่างที่ผมทำคือการเป็นที่ปรึกษาให้กับแบรนด์ต่างๆ ดูในเรื่องของทิศทางให้กับแบรนด์ต่างๆ รวมถึงรายการ 16 บาร์ ซึ่งตัวผมทำอยู่ในช่องยูทูบ ที่เป็นการเอาแร็ปเปอร์ที่มีชื่อเสียงแล้วมาเจอกัน มาดวลสกิลกัน ตัดงานกัน 3-4 นาทีจบ” เป็นอย่างไรบ้าง “ฟีดแบ็กดี รายการนี้จะออกทุกวันพฤหัสบดี ตอนนี้เป็นซีซันแรก ออกมาได้ 4 ep แล้ว และกระแสก็ดี คนพูดถึง อันนั้นสำหรับผมคือการให้กลับ กับวงการฮิปฮอปไทยด้วย ที่จะแนะนำ 16 บาร์นะครับ” เวลาที่ได้ทำรายการนี้เวย์สนุกสนานขนาดไหน “การที่ได้แนะนำเรื่องแบบนี้ให้กับวงการฮิปฮอปไทย มันคือทางของผม ที่ผมมีความสุขที่สุด ที่จะถ่ายทอดออกไป โดยที่การนำเสนอมันไม่ต้องอะไรมาก เป็นอะไรที่จริงๆและเรียบง่าย”
กับลูกแฝดเป็นอย่างไรบ้าง บลู๊คลินจะมาทางคุณพ่อไหม เป็นแร็ปเปอร์
“แร็ปเปอร์หรือครับ ยังนะ ถ้าสายดนตรีเขาชอบตีกลอง ยังไม่ได้ชอบแบบแร็ปหรืออะไร ชอบตีกลอง ชอบเทควันโด ชอบศิลปะ แล้วก็จินตนาการสูงได้พ่อ ติสต์แตกก็น่าจะได้ผม คือยังไม่ได้มาบอกนะว่า พ่อผมอยากเป็นแร็ปเปอร์ แต่ว่าอย่างเวลาที่เขาจะนอน ก็มีนะแต่ไรม์ (เนื้อเพลงแร็ปเปอร์ ที่คำลงท้ายจะคล้องจองกัน) ด้วยกัน คือให้เขาใช้คำ บีน่าด้วย” ที่เวย์บอกว่าแบ่งเวลาช่วงเย็นให้กับลูก ต้องไปรับลูกเอง “ส่วนใหญ่รับส่งลูกนะครับ ก็จะเป็นคุณนานา ผมก็จะมีอาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้งที่จะไปรับหรือไปส่ง แต่ว่าแน่ๆประมาณ 5 โมงเย็นทุกวันนะ ก็จะกลับมาบ้านแล้ว แล้วก็อยู่กับเขา กินข้าวกับเขา อ่านหนังสือกับเขา เล่นกับเขา เอาเขานอน หลังจากที่เขาหลับเสร็จ ก็ค่อยไปทำงานต่อ” ต้องเป็นคุณพ่อที่ใจดีแน่ๆเลย “ก็ในบางมุมครับ บางมุมก็มีตามใจ แต่ว่าเป็นแนวดุด้วยครับ” ลูกไม่ค่อยกลัวใช่ไหม “คือเรารู้ เราไม่ได้ดุแบบไปลงไม้ลงมือ” คุณแม่น่าจะดุกว่า “คือเขาจะดูแลในเรื่องกิจวัตรประจำวันทุกวัน แต่เขาก็จะมีมุมที่แสดงออกอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ว่าลูกทำอะไรหล่นแล้วเราจะต้องไปว่าเขา เราก็จะบอกว่ามันโอเค ทุกอย่างมันคืออุบัติเหตุ มันเกิดขึ้นได้ นอกเสียแต่ว่าในส่วนของบลู๊ค ถ้าเขาไม่เป็นสุภาพบุรุษในบางมุม ดื้อ หรือแกล้งพี่สาวเขา หรือลงไม้ลงมือ เล่นแรง ก็จะโดน ส่วนลูกสาวก็คล้ายๆกัน แต่จะเบากว่า เพราะว่าเขาไม่ได้ซนเท่ากับบลู๊ค แต่การสอนจะคล้ายๆกัน เพียงแต่วิธีที่จะดูแล การสอนก็จะเป็นอีกแบบ” เลี้ยงลูกแบบให้อิสระ “ให้เขามีทางเลือก และเราก็คอยแนะนำเขาว่าโอเคหรือไม่โอเค คือมีเหตุผลบอกเขาว่า ถ้าเลือกทางนี้มันก็จะเกิดแบบนี้นะ ถ้าเลือกทางนั้นก็จะเกิดแบบนั้นนะ เรียกว่ามีตัวเลือกให้เขาได้เลือก ได้ตัดสินใจครับ”.
ทีมข่าวบันเทิง