เผชิญหน้ากับมรสุมชีวิตลูกใหญ่ สำหรับอดีตนางเอกสาวชื่อดัง ต่าย ซีซั่นเชนจ์ หรือ ชุติมา ทีปะนาถ (ลิ้มเจริญรัตน์) กับ ไฮโซทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อตกลงสิทธิ์ในการดูแลลูกสาวตัวน้อย น้องพิพิม วัย 3 ขวบ

ก่อนหน้านี้ ต่ายไม่ได้ออกชี้แจงใดๆ จนกระทั่งล่าสุดยอมเปิดใจกับ “บันเทิงไทยรัฐ” เป็นครั้งแรก หลังจากเก็บตัวเงียบมานาน โดยเฉพาะปมร้อนที่เกิดขึ้นต่ายไม่ไปศาล ต่าย เผยว่า “สำหรับเรื่องนี้ต่ายขอย้อนไทม์ไลน์เลยนะคะ ต่ายไม่ได้มีเจตนาและไม่ได้ ตั้งใจที่จะฟ้องให้เรื่องไปถึงศาลเลย แต่จุดเริ่มต้นพี่ทิมฟ้องต่ายวันที่ 21 พ.ย.61 หลังจากนั้นเป็นช่วงที่เรามีข่าวกอสซิปในโลกโซเชียล ต่ายไม่รู้เหมือนกันข่าวพวกนี้มันออกไปได้ยังไงจนวันที่ 26 พ.ย. ทางเค้าออกมาให้สัมภาษณ์ว่ายังอยากจะแก้ไขปัญหาครอบครัวให้กลับมาเหมือนเดิม ต่ายมารู้ทีหลังพี่ทิมฟ้องต่ายไปก่อนหน้านี้แล้ว”

ต่ายรู้ได้ยังไงว่าโดนฟ้อง “วันที่ 11 ก.พ.62 ศาลตัดสินแล้ว พี่ทิมขึ้นศาลคนเดียว แต่วันที่ 13 ก.พ.บังเอิญคุณพ่อไปตรวจที่ห้องเช่าพอดีเลยเจอหมายศาลอยู่หน้าห้องคุณพ่อต่ายเลยรีบโทร.มาบอก พอรู้ตกใจมาก ก็ให้ทนายรีบไปส่งคำร้องอันใหม่ 15 ก.พ.62”

ล่าสุดเรื่องราวสรุปยังไง “ศาลสั่งให้เราดูแลลูกวันศุกร์-วันจันทร์ 4 วัน ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับว่าเราได้รับความยุติธรรม ที่ว่าแม่คนนึงเป็นห่วงลูก สิทธิอันชอบธรรมนั้นมันกลับมา เราจะได้ดูแลลูก ความเป็นห่วง 2 เดือนเต็มๆ ที่เราไม่ได้เจอลูก ถ้าเป็นแม่คนอื่นสติแตกไปแล้วแต่ด้วยความที่เราเจออะไรมาเยอะทำให้เรารู้สึกว่าความหวังปลายทางที่เราเห็นชัดเจน เป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ทำให้เรามีกำลังใจเราจะต้องสู้เพื่อลูก วันนี้จะเป็นครั้งแรกที่ต่ายจะได้เจอลูก ต้องขอบคุณศาลที่ให้ความยุติธรรมแก่เรา จริงๆต่ายไม่ได้อยากฟ้องให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของลูกและเป็นห่วงสภาพจิตใจของพี่ทิมด้วย”

...

ก่อนหน้านี้มีข่าวต่ายกลับบ้านดึกติดเพื่อนจริงมั้ย “ต่ายยืนยันได้ว่าไม่เป็นความจริง และบุคคลที่โดนพาดพิงเป็นเพื่อนต่ายตั้งแต่สมัยเรียนโรงเรียนวัฒนา ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ต่ายมั่นใจได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี จนกระทั่งมีพิพิม ต่ายก็ทำหน้าที่ของแม่ตลอด ช่วงที่ออกไปข้างนอกจริงๆ เป็นคืนที่คุณทิมจะต้องดูลูก เราตกลงกันแล้ว หลังจากเรามีข้อตกลงต่างคนต่างอยู่แต่ยังอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ซึ่งเราตกลงต่อหน้าผู้ใหญ่เลยว่าเรายุติการเป็นสามีภรรยากันแล้วตั้งแต่สิงหาที่ผ่านมา”

ช่วง 2 เดือนที่เกิดเรื่องราวต่างๆ ทำไมต่ายถึงเลือกที่จะเงียบล่ะ “คือรู้สึกว่าเราทำอะไรไม่ใช่ตัวเราคนเดียวแล้ว มันต้องคิดถึงลูกด้วย คิดถึงพ่อของลูกด้วย การที่เราจะก้าวต่อไป ก้าวนี้มีผลครั้งสำคัญเพราะมีผลกระทบต่อลูกและพ่อของลูก ในอนาคตลูก จะทำอะไรจะต้องคิดให้รอบคอบที่สุดเพื่อลูก อยากให้อยู่กันอย่างสงบๆ รู้สึกว่าถ้าเราเป็นคนน้อมรับความทุกข์ได้ทุกสิ่ง แล้วลูกกับพ่อมีความสุขเราก็ยินดี”

จริงๆต่ายเป็นคนติดลูกแต่พอเกิดปัญหาเราทุกข์ขนาดไหน “ช่วงนั้นทานไม่ค่อยลง บางจังหวะร้องไห้ น้ำตาไหลแต่ร้องเสร็จแล้วเราต้องเข้มแข็ง ถ้าวันนี้เราไม่เข้มแข็งเพื่อลูกแล้วใครจะทำแทนเรา คือมันไม่มีใครทำแทนเราได้ ถึงคนอื่นจะรักเรามากขนาดไหนแต่มีเราเพียงคนเดียวที่ยืนขึ้นสู้เพื่อลูกได้ ฉะนั้นเราก็ต้องเข้มแข็ง พยายามทำทุกวิถีทางให้ผลออกมาเกิดประโยชน์ต่อพิพิมที่สุดให้ลูกได้รับผลกระทบกับเรื่องนี้น้อยที่สุด”

สภาพจิตใจของต่ายตอนนี้พร้อมที่จะกลับมาทำงานหรือยัง “พร้อมแล้วค่ะ ที่ผ่านมาจริงๆ สภาพจิตใจเหมือนโดนอะไรมาเยอะแต่โชคดีมีครอบครัวและเพื่อนที่จริงใจและเป็นห่วงเราจริงๆ คอยอยู่ข้างๆ และให้คำปรึกษาทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นต่ายคงสติแตก บ้าไปแล้ว อีกอย่างพอเราเจอปัญหามาเราค้นพบสัจธรรมชีวิตมันเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวมันก็สุข ไม่มีอะไรจีรัง ทำให้เราไม่ยึดติดแล้วมันก็ผ่านไปได้ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า”

พอเจอปัญหาชีวิตแบบนี้เสียดายเวลา เสียดายครอบครัวขนาดไหนเพราะเราเกิดมาถึงจุดทางแยกแล้ว “เสียดายเวลาแต่ไม่เสียดายประสบการณ์ ถ้าย้อนกลับไปก็ให้มันเกิดแบบนี้แหละเพราะทุกอย่างคือประสบการณ์ที่สอนเราและทำให้เป็นเราจนทุกวันนี้ ไม่มีเหตุการณ์นี้เราคงไม่เข้มแข็งขนาดนี้”

เรื่องหย่าเราเป็นคนตัดสินใจเลือกทางนี้ใช่มั้ย “ใช่ค่ะ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะเกิดมาจุดจุดนี้ เรารู้สึกว่าถ้าแม่ไม่มีความสุขเราจะเลี้ยงลูกอย่างมีความสุขไม่ได้แล้ว มันจะทำให้เราเลี้ยงลูกได้ไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นเรารู้สึกว่าเราเลือกที่จะเดินออกมาแล้ว ไม่ได้หมาย ความว่าเราห่วงความสุขของตัวเองแต่ต่าย มองว่าถ้าแม่เครียดจะเลี้ยงลูกได้ไม่ดี มันมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจเด็ก ต่ายเลือกเดินออกมา เพื่อเราจะได้ดูแลลูกอย่างเต็มที่น่าจะเป็นผลดีมากกว่าที่ว่าลูกจะโตมากับสิ่งแวดล้อม ที่ตึงเครียด สิ่งที่เกิดขึ้นไม่โทษคนอื่น มองตัวเองด้วยสาเหตุอยู่ที่ไหนมากกว่าค่ะ”.