หลังจากที่มือเบสจากวงพาราด็อกซ์อย่าง หนุ่มสอง สูญเสียคุณพ่อไปอย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และหลังจากที่เสร็จสิ้นงานศพของคุณพ่อ หนุ่มสองก็ได้โพสต์ข้อความ ซึ่งเป็นบทเรียนสุดท้ายจากพ่อที่ส่งมาให้กับตน ซึ่งหลังจากที่หนุ่มสองโพสต์ข้อความดังกล่าวไป ก็มีแฟนๆ เข้ามาคอมเมนต์และแชร์ข้อความดังกล่าวมากมาย โดยมีข้อความดังนี้
“บทเรียนสุดท้ายจากพ่อ ในวันงาน ระหว่างที่ผมยืนดูผู้คนแขกเหรื่อ ยืนดูร่างของพ่อระหว่างที่ผู้คนรดน้ำลงบนข้อมือ ระหว่างที่ผมยืนมองทุกคนนั่งพนมมือ ระหว่างที่ผมยืนดูหัวของทุกคนจากด้านหลัง
ผู้คนมากมาย มีสตอรี่กับทั้งผมและครอบครัว สุขบ้างทุกข์บ้าง มีปัญหากัน ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ใหญ่มากๆ บ้าง เคยไม่เข้าใจกัน โกรธเกลียดกัน หรือบ้างก็ไม่เคยได้เจอกันหรือพูดคุยกันเลย เป็นเดือนบ้าง เป็นปีบ้าง เป็น 20 ปีบ้าง หรือไม่เคยเจอกันมาก่อน
ผมยืนมองดูร่างของพ่อ ขณะที่ทุกคนแสดงออก ระหว่างรดน้ำ คือร้องไห้บ้าง กอดร่างของพ่อบ้าง หรือแสดงความเคารพแบบเงียบๆ บ้าง หรือพูดความในใจต่อพ่อออกมา และผมได้ยินได้ฟังไปด้วย
ผมยืนย้อนมองตัวเองว่า กูทำอะไรอยู่ ชีวิตผมเปลือกนอกคือคนที่สนุกสนาน สบายใจ อัธยาศัยดี ง่ายๆ ยังไงก็ได้ และดูใจดีที่สุดในโลก แต่เปลือกในของผมมีแต่ความว่างเปล่า คิดมาก เบื่อหน่ายรำคาญ บางเวลาก็ดำดิ่ง มืดมิด อยากทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง
มีแต่ทะเลเพลิง มีแต่ความความโกรธ เกลียดชัง วิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์ และตัดสินมนุษย์ทุกผู้ทุกคนบนโลก และรวมถึงโลกมนุษย์ใบนี้ ผมยังยืนหยัดและอยู่ได้ด้วยไฟ ไฟแห่งความเกลียดชัง
...
ผมเชื่อมั่นมันมาก มันทำให้ผมแกร่งและแข็งแรงเหนือใคร มันทำให้ผมยังยืนหยัดอยู่ได้บนโลกอันแสนเส็งเคร็งใบนี้ แต่ภาพที่ทุกคน วางบทละครแห่งทางโลกลง ไว้ด้านนอกงาน เดินเข้ามา มาเคารพกัน มามอบความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน มาให้กำลังใจเป็นห่วงเป็นใยกัน
มันคือบทเรียนสุดท้ายของพ่อที่สอนผมและครอบครัว การปล่อยวาง และเมื่อนั้น ผมจึงวางบทละครของผมลง หลายๆ คนที่ผมเคยมีปัญหา แต่ในหลายๆ คนเหล่านั้น เขากลับมาที่งานเป็นคนแรกๆ และเป็นคนแรกๆ เช่นกันที่เดินมากอดผม
หลายๆ คนที่ผมเคยรู้สึกไม่ดีกับเขา แต่ในหลายๆ คนเหล่านั้น เขากลับเดินมาแสดงความเสียใจต่อหน้าผม และพูดให้กำลังใจ ห่วงใย ห่วงความรู้สึกของผมมากกว่าใครๆ
ผมยืนอ่านข้อความทางมือถือที่แสดงความห่วงใยและเสียใจจากหลายๆ ช่องทาง ผมยืนมองพวงหรีดมากมาย ผมยืนมองญาติทั้งฝ่ายพ่อและแม่ ผมยืนมองพี่น้องที่ทำงานด้วยกันกับผม และผมยืนมองผู้คนที่ทำงานของพี่ชายน้องชายพี่สะใภ้และภรรยา
ทั้งที่รู้จัก และไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้ากันมาก่อน ผมยืนมองน้องๆ ที่อาสามาช่วยงานอย่างเหน็ดเหนื่อย ผมยืนมองรูปพ่อและโลงศพ ผมยืนมองทุกคน ผมยืนมองตัวเอง แล้วผมจึงพูดกับตัวเองว่า "กูนี่มันช่างชั่วช้าเสียเหลือเกิน" ไม่ใช่สิ "กูนี่มันเหี้ยจริงๆ"
ผมไม่ยืนแล้ว ผมเดินไปรับแขก กอดผู้คน คนที่ผมเคยคิดว่าผมกอดเขาไม่ได้อย่างแน่นอน ผมกอดเขา จับมือเขา จับแขนเขา เสิร์ฟน้ำอาหารให้เขา ผมพูดขอบคุณ ผมพูดขอบคุณทุกๆ คนออกมาจากข้างใน
ข้อมูลเก่าๆ ที่เคยตกค้าง หรือที่มันเคยผูกปมอย่างแน่นหนา อย่างที่ไม่มีวันจะแก้ปมหรือคลายมันออกได้ ที่อยู่ข้างในตัวผม ในใจผม มันละลาย ระเหยหายไปหมดแล้ว มันมีความหมายกับผมมากๆ เลย
ข้อมูลที่ผมเคยมีกับพ่อ ข้อมูลเก่าๆ ข้อมูลต่างๆ นานา มันคงเหลือแต่เรื่องที่พ่อจูงมือผมเดินไปโรงเรียน แบ่งข้าวกินกันสมัยที่เราขายของอยู่หน้าสนามม้า กอดกันในวันที่ผมสอบติดโรงเรียนใหม่ และถ่ายรูปด้วยกันในวันรับปริญญา
หรือโทรมาถามว่าเหนื่อยไหม ในวันที่ผมนั่งอยู่ในรถตู้อย่างอ่อนล้า เพื่อจะไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหนก็ไม่รู้ เมื่อวานนี้ พ่อสอนให้ผมวางบทละครลง วางลง วาง แล้วชีวิตมันจึงสวยงาม”