รับทรัพย์ต้อนรับปีใหม่เลยทีเดียวสำหรับ ชาคริต แย้มนาม ที่หอบภรรยา แอน ภัททิรา และ น้องโพธิ์ ลูกชาย มาร่วมงานเปิดตัว CHERRY BABY ผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปจากญี่ปุ่น ณ ชั้น 1 โซนอีเดน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเจ้าตัวรับเป็นพรีเซ็นเตอร์พร้อมทั้งครอบครัว พอเสร็จงานปุ๊บ ชาคริต-แอน ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงการทำงานครั้งนี้ รวมถึงการเลี้ยงลูกชายสุดรัก พร้อมทั้งเผยถึงอาการของคุณแม่ที่ดีวันดีคืนจนสามารถเริ่มพูดได้แล้ว

ถามถึงน้องโพธิ์เป็นไงบ้าง เหมือนจะเลี้ยงง่าย?
ชาคริต “น้องเลี้ยงง่ายครับ ซ่ามาก มาทำงานวันนี้ก็สบายครับไม่งอแง เขาชอบเจอคน ตั้งแต่เข้า 6 เดือนมาคำว่านิ่งนี่หายไปจากพจนานุกรมไม่ดื้อนะแต่ซน ผมเรียกเขา โพธิ์ 360 องศา เพราะว่าหมุนไปทั่วเลย เห็นสาวไม่ได้ชอบผู้หญิงผมยาวมองจนผมอายเขา แต่ก็ยังดีที่ยังมองผู้หญิง (หัวเราะ) แต่ตอนโตก็ยังไม่แน่นะ ให้เขาเลือกเอง”
...
มารับงานพรีเซ็นเตอร์ทั้งครอบครัวเลย ค่าตัวเป็นไงบ้าง?
ชาคริต “ก็ไม่ได้โหดร้ายทารุณครับ ก็สมเหตุสมผลเพราะทางนี้เขาก็ใหม่จริงๆ เหมือนกับเราที่เราทำขนมที่เป็นแบรนด์ลูก เพราะฉะนั้นเราก็เข้าใจกันและได้คุยกันหลังทดลองใช้ผลิตภัณฑ์แล้ว
ประกอบกับเราได้คุยกับเจ้าของและเห็นถึงความตั้งใจ ก็เหมือนช่วยๆ กันแล้วเขาไม่ได้มีความรู้ในเรื่องการจัดอีเวนต์เอนเตอร์เทน หรือวิธีการโฆษณา ซึ่งแอนเข้ามาช่วยได้เยอะ เราก็ออกไอเดียบ้างครับ ถามว่าค่าตัวแยกของพ่อแม่ลูกมั้ยไม่ครับ ก็รวมๆ กัน แต่มาใช้สอยในสิ่งที่จำเป็น และเก็บไว้ให้เขาด้วย”
มีเปิดบัญชีให้น้องรึยัง?
ชาคริต “มีครับ เปิดตั้งแต่ตอนเกิด เปิดวันเกิดเขาเลยครับ ก็คงเข้าบัญชีน้องเลย (หัวเราะ) ทำงานครั้งนี้น้องก็เฟรนลี่มากๆ ชอบแหกปาก รับงานไม่มีปัญหาเลย ถึงเวลาหลับก็หลับ ถึงเวลาตื่นก็สะกิดเขาหน่อยเขาก็ตื่น แล้วเป็นคนชอบออกมาข้างนอก ออกมาก็จะโชว์สุดฤทธิ์”

คนมองว่าชาคริตเป็นแฟมิลี่แมน?
ชาคริต “ก็เป็นความตั้งใจที่เราเองก็ต้องการมาตั้งแต่เราเด็กๆ เพราะว่าเราโตมาด้วยความที่มันไม่ครบมันขาด เราก็อยากทำให้มันสมบูรณ์ แล้วตอนนี้มันก็เป็นโอกาส และเป็นความลงตัวที่คุณแอนเข้ามาเติมเต็มให้กับชีวิต แล้วทำให้เรารู้สึกถึงความเรียบง่ายของชีวิตที่มันสบาย มันก็เลยทำให้เรายิ่งมีความตั้งใจที่เราจะทำอะไรเพื่ออนาคตแล้ว
สมัยก่อนเราคงเป็นอะไรที่อยู่ไปวันต่อวัน ตอนนี้มันไม่ได้แล้วมันต้องแพลนไปถึงลูกเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เพราะว่าไม่ใช่อยากจะเข้าก็เข้าได้ ต้องไปสมัคร ต้องไปสัมภาษณ์ นี่ก็ 8 เดือนแล้ว พอครบขวบก็ต้องเริ่มติดต่อเรื่องโรงเรียน ต้องเก็บเงิน ต้องหาวิธีต่อยอดเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าการศึกษามันก็แพงมากเดี๋ยวนี้ เราก็ต้องวางแผนไว้ ไม่ชะล่าใจครับ”
คิดเตรียมที่เรียนให้ลูกรึยัง?
ชาคริต “ก่อนอื่นเลยต้องดูความผิดพลาดของตัวเองก่อน คือมันต้องโทษที่ตัวเอง ที่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของภาษาไทย เพราะเราเรียนนานาชาติตั้งแต่อนุบาลจนจบ แม่ก็พยายามจะให้ไปเรียนภาษาไทย แต่ว่าเราก็ต่อต้านเพราะรู้สึกว่ามันเยอะไปหมด
แล้วพอโตมาก็เป็นสิ่งที่น่าอับอายเพราะกว่าจะอ่านไทยได้ แต่ว่าเขียนก็เขียนไม่ได้ ถ้าเกิดสังคมทุกวันนี้มันไม่ได้มีความเป็นสากลขนาดนี้เราจะทำยังไง อยู่ในประเทศซึ่งเราเองก็คนไทย มันก็เป็นปัญหา เป็นปมด้อยของชีวิตพอสมควร
เราก็ไม่อยากให้เขาเกิดปัญหาตรงนี้ ก็ตัดสินใจว่าเราลองมาให้แล้ว ยังไงก็ขอให้เขาได้เรียนไทยก่อน ได้เรียนรู้ภาษาไทย อ่าน เขียน พอได้ แล้วที่เหลือเดี๋ยวให้แม่เขาสานต่อ จะไปเมืองนอกไปนานาชาติก็เดี๋ยวค่อยว่ากัน แต่อย่างน้อยสัก ป.3-ป.4 ให้เรียนไทยให้รู้เรื่องก่อน อย่างน้อยให้เขาไม่กลัวภาษาที่จะต้องเรียนพิเศษข้างหน้าในอนาคต เพราะว่าเรากลัว อย่าง A-Z มันแค่ 26 ตัว แต่ภาษาไทย 44 ตัว สระอีก พอโตมามันก็ไม่ใช่เรื่องเท่ ผมว่ามันมันอับอายที่สุด”

...
เรื่องการเลี้ยงลูก เราคิดร่วมกันมั้ย?
แอน “ปรึกษากันตลอดนะคะ ดูพัฒนาการของเขาในแต่ละวัน”
ชาคริต “ผมว่ายุคนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อน ผมว่ามันเท่าเทียมกัน ผมว่าเมื่อก่อนผู้ชายเป็นใหญ่แต่ไม่เห็นจะเลี้ยงลูกเลย แม่ก็เลี้ยงอยู่ดี ซึ่งพอมายุคนี้วัยแรกเกิดจนถึง 1 ปี บทบาทส่วนใหญ่ก็อยู่ที่คุณแม่จริงๆ เพราะว่าเราจะทำไรได้นมเราก็ไม่มี เขาเองทำทั้งงานบ้านทั้งเลี้ยงลูก ทำทุกอย่างเขาหนักกว่าเราเยอะ
ปีที่แล้วผมหยุดไป 10 เดือนที่ไม่ได้ไปทำอะไรมากมาย มีแค่เป็นต่อ กับรายการอาหาร ไม่ได้ออกไปกองถ่ายละคร ก็หยุดไปเพื่อดูแลเขา พอพ้น 6-7 เดือนมานี่ก็เพิ่งเริ่มกลับมารับการแสดง ก็รับไป 3 เรื่องเลยครับ ตอนแรกเข้าใจว่ามันจะเรียงต่อกัน แต่ปรากฏว่าตอนนี้มันพร้อมกัน”
กลับมารับงานเยอะแบบนี้มีเวลาให้น้องมั้ย?
ชาคริต “ผมก็พามาที่กองเลยครับ ถ้ามีไปต่างจังหวัดก็พาไปด้วย แต่ก็เริ่มชินแล้วตอนเพิ่งคลอดเราก็บินเกาหลีอยู่ทุกสัปดาห์ ช่วงนั้นเป็นช่วงเทรนนิ่งคิดถึงจะตาย เพิ่งรู้ว่าเวลาคิดถึงมากๆ จากคนที่ไม่ค่อยใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร ทุกวันนี้ขอบคุณเทคโนโลยีมากที่ทำให้เราสามารถเห็นหน้าเมียหน้าลูกได้”

...
ถามถึงคุณแม่เป็นไงบ้าง เห็นว่าพาน้องไปหาท่านเรื่อยๆ?
ชาคริต “เขาเป็นดวงใจของคุณย่า ต้องบอกว่าจากที่อาการทรงมาอยู่นาน คือไม่ทรุดลง แต่ไม่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น 2 เดือนที่ผ่านมา เดือนหลังมีการพัฒนาที่ดีขึ้นมาก เพราะจากทรุดอยู่นิ่งๆ และเราได้ทำการรักษาทางเลือก เราก็ลองหลายๆ ทาง เหมือนเป็นการนิ่งที่ฟื้นฟู ตอนนี้เหมือนมีจังหวะที่ดีขึ้น
เริ่มพูดเป็นคำได้มากขึ้น สามารถบอกพยาบาลว่าจะกินป๊อกกี้ได้ จากที่ธรรมดากินไม่ได้ ตอนนี้เริ่มกลับมาเคี้ยวแล้ว ก็ต้องขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอบคุณเจ้าตัวเล็กจริงๆ ขอบคุณทีมแพทย์พยาบาลทุกคน เพราะเราก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะกลับมาได้ร้อย แต่แค่เขาไม่แย่ลงก็ดีแล้ว ตอนนี้เขายังกลับมาได้อีกฮึดนึง เราก็ดีใจ”
ตอนนี้กำลังใจครอบครัวกลับมาร้อยรึยัง?
ชาคริต “ร้อยๆ เพราะเขาไม่เอาผมเลย เอาแต่ลูกสะใภ้กับหลาน ผมไปแล้วเมินใส่ (หัวเราะ)”
แอน “เดี๋ยวนี้น้องโพธิ์เขาขี้เล่นไงคะ พอเขาไปเจอคุณย่า เขาก็เหมือนจะคุยด้วย เหมือนเขาคุยภาษาของเขา”
ชาคริต “เขากับย่าเหมือนตะโกนใส่กัน (ยิ้ม) แต่จริงๆ โพธิ์เขาเหมือนคุณย่า สดใสร่าเริง แอ็กทีฟเหมือนคุณย่า”

...
ตอนนี้คุณหมออนุญาตให้คุณแม่กลับบ้านรึยัง?
ชาคริต “กลับมาอยู่บ้านนานแล้วครับ แต่ว่าตอนนี้ให้เขาไปอยู่ในสถานที่ที่ครบในเรื่องการฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องสโตรก ก็เลยลองดูอีกนิดนึง จากที่ตอนแรกเขาเหมือนจะท้อที่เขาเป็นแบบนี้ ตอนนี้เขาเริ่มรับสภาพและมีกำลังใจ เริ่มให้ความร่วมมือเรื่องกายภาพ การฟื้นฟูการพูด มันทำให้เรามีความหวัง แต่เราเองก็ทำใจไว้ด้วยครึ่งนึง มันก็เป็นการฝึกจิตใจของพวกเราด้วยว่ามันเป็นอนัตตานะชีวิต มันเป็นธรรมชาติครับ”.