เชื่อว่าคนที่อายุ 30 ปีขึ้นไป จะรู้จักพิธีกร คำรณ หว่างหวังศรี แน่นอน เจ้าของประโยคสุดฮิต "นะ จะบอกให้" เป็นพิธีกรขวัญใจชาวบ้านยุคหนึ่ง ที่โด่งดังมากทางช่อง 7 สี และเป็นเจ้าของรายการเองด้วย แต่เมื่อยุคทีวีเปลี่ยนไป ชีวิตของนักข่าวและพิธีกรท่านนี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
โดย คำรณ ได้มาเปิดใจผ่านทางรายการ แฉ ทางช่อง GMM25 ว่า ตอนนี้ผมใช้เงินสำรองอยู่ และก๊อกนี้เป็นเงินก้อนสุดท้ายแล้ว ผมเอาโฉนดไปยื่นให้คนมีตังค์แล้ว เผื่อเค้าจะช่วยได้ ตอนที่เป็นนักข่าวชาวบ้านนั้นไปเกือบทั่วทุกภาคของประเทศไทยแล้ว เพราะเป็นความฝันแต่เด็กว่า ไม่อยากทำงานแบบนั่งโต๊ะ เลยเลือกที่จะทำอาชีพนักข่าว ในขณะที่ยุคนั้นอาชีพนักข่าวไม่ค่อยมีคนรู้จักด้วย
พอเรามีชื่อเสียงอะไรก็เข้ามา ผมเครียดมากในช่วงที่มีชื่อเสียงปี 2533 ทำงานหนักมากจริงๆ ในหนึ่งวันต้องเข้าสตูฯ เขียนต้นฉบับ ออกไปทำข่าว ซึ่งตอนนั้นหาเงินได้แบบว่า ขับรถไปดูหมู่บ้านแถวรังสิตก็สามารถซื้อได้เลย ทาวน์เฮาส์ก็มี บ้านเดี่ยวก็มี ซื้อกันง่ายๆ เลย มันเป็นยุคเฟื่องฟู อะไรก็ดีไปหมด รถอยากได้รุ่นนี้ก็ซื้อได้เลย คนมันมีชื่อเสียงอะไรก็มาเอง เค้าให้ไปหมด เคยถึงขั้นเป็นพรีเซนเตอร์หมู่บ้านเลย
...
ตอนที่มีชีวิตรุ่งเรือง ผมซื้อบ้านไว้แต่ไม่ได้อยู่นะ ประมาณ 3-4 หลัง แต่ทุกวันนี้ไม่มีบ้านแม้แต่หลังเดียว เช่าเค้าอยู่ บ้านที่เคยมีขายหมด เพราะพอหมดยุครัฐบาลชาติชาย ผมก็ผ่อนไม่ไหว ยกให้เพื่อนไปเลย ให้ฟรีๆ โดยที่ไม่ได้ขายต่อด้วย จนทุกวันนี้ไม่เหลืออะไร เพราะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนอะนาล็อกเข้าสู่ดิจิตอล ทำให้ทุกสิ่งอย่างมันผันแปรหมดเลย
เราคิดว่าการที่เรามีเงินเดือนอะไรมันก็สบายใจ แต่พอเปลี่ยนเป็นดิจิตอล เราก็ต้องมาขายแต่โฆษณา เงินมันก็เลยเปลี่ยนไป ในตอนนั้นที่เป็นอะนาล็อก โฆษณาในรายการที่ทำ แพงกว่าละครอีก
จนวันหนึ่งมาเปิดบริษัทเอง เพราะเราไม่มั่นใจว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่ว่าเงินเข้าเงินออกก็เข้ามาขนาดไหน ออกไปมากกว่านั้นอีก ทุกวันนี้บริษัทยังทำอยู่ครับ รายการยังมีอยู่ ทำป้อนช่อง 3
ส่วนสาเหตุที่ออกจากช่อง 7 นั้น คือมันเป็นยุคเปลี่ยนถ่ายผู้บริหาร คนเก่าไปคนใหม่มา คนเก่าอาจจะพอใจเรา แต่พอคนใหม่เข้ามาเค้าก็มองว่าเราเก่าไปแล้ว เราก็ออกไปหาที่ใหม่ ซึ่งที่ใหม่ให้เรามากกว่าที่เก่าหลายสิบเท่า
ตอนนั้นสุขสบายเลย ให้ประมาณ 40 กว่าเท่าเลย แต่พอดิจิตอลมันเข้ามา เค้าก็แบกกันไม่ไหว เค้าก็ให้เราไปเป็นค่าโฆษณา แล้วเราหาโฆษณาไม่ได้ จนในที่สุดมันก็เข้าเนื้อตลอด ถามว่าทำไมถึงไม่หยุดทำทีวี เราก็ต้องปรับตัวเองให้เข้ากับการทำทีวียุคใหม่ด้วย.