เธอใช้หัวใจแบบไหนสู้กับโรคร้ายที่ใครๆ เชื่อว่าไม่มีวันชนะ, ผมตั้งใจเดินทางไปถาม เดินทางไปฟังความคิดจากปากหญิงแกร่ง ผม และ Thairath Talk คุย แอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ ผู้หญิงที่ยิ้มได้ หัวเราะได้
ขณะที่เป็น 'มะเร็งร้าย' หวังว่า Thairath Talk จะทำให้คนที่กำลังท้อแท้ หรือคิดฆ่าตัวตาย จะได้พลังเหมือนกับสิ่งที่เราได้กลับมา...
บทเรียนที่ 1 แอ้มอายุไม่ยืน
Thairath Talk : ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง
ตอนนี้ไม่ทำอะไรเลย จุดมุ่งหมายหลักในชีวิตก็คือให้หายจากมะเร็งรอบนี้ เพราะไม่รู้ว่ารอบหน้าจะมาหรือไม่อย่างไรว่ารอบนี้ก็มีสิทธิ์
Thairath Talk : เป็นแล้วก็สามารถเป็นได้อีก
แอ้มเชื่อว่าโรคมะเร็งเป็นโรคที่เรายังหาทางเอาชนะมันไม่ได้ เป็นโรคที่ แม้กระทั่งคุณหมอผู้เชี่ยวชาญจะเป็นระดับประเทศหรือระดับโลกก็ยังไม่สามารถให้คำตอบเราได้ว่าอะไรมันก่อให้เกิดเราก็ยังมานั่งถกเถียงกันอยู่เลยว่า กินสัตว์เนื้อแดงมันเป็นพวกปิ้งย่างเนี่ยเหอะไม่ดีหรอกสะสม หรือบางคนบอกว่าย้อมผมเคมีเข้าไปเชื่ออย่างนั้น แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชิ้นใด บ่งชี้อย่างชัดเจนว่านี่แหละที่ทำให้ก่อให้เกิดมะเร็งที่ชัดเจนที่สุดคือบุหรี่ ซึ่งมารู้ทีหลังว่าไอ้คนสูบ ไม่ค่อยเป็นอะไรคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอนั่นแหละมีความเสี่ยงมากกว่า
เราก็รู้สึกว่าเป็นโรคที่มนุษย์ยังไม่รู้จักมันถ่องแท้มากพอ ว่ามันเกิดจากอะไร และเราจะทำตัวยังไงเพื่อไม่ให้เป็นพอเป็นอย่างนี้เนี่ย ความเสี่ยงในการที่มันอยู่ในร่างกายเราแล้ว เราเป็นแล้วมันจะแพร่กระจายไปในส่วนอื่นของร่างกายที่นี่ไปเรื่อยๆ
...
Thairath Talk : กินไปเรื่อยๆ
ก็คงเป็นแบบนั้น พอเราไปสัมผัสที่เดิมเราพยายามจะปิดตาค่ะ ด้วยความเชื่อว่าสักวันเราจะเป็นมะเร็ง เป็นขั้นสุดท้ายมารู้แล้วค่อยไปเลย หรือน้อยที่สุดขั้น 4 แล้วใกล้ไปแล้วก็ไม่สู้กับมัน แต่ดันมารู้ว่าเราอยู่ขั้นสองตอนปลายล่ะ มันก็เลยก้ำกึ่ง จะบอกว่ามันรุนแรงซะทีเดียวก็ไม่ใช่ จะบอกว่าสบายดี มันใช้ชีวิตได้ปกติดี เหมือนไม่มีอะไร มันก็ไม่ใช่อีก
เลยมีความรู้สึกว่า ถ้าเราชนะมันในรอบนี้ ยกนี้อาจจะมีรอบหน้าไปโผล่ที่ไหนสักแห่งมะเร็งหน้าอกเขามีสถิติอยู่ว่ามันจะกระจายที่ปอดได้ง่าย กระดูกได้ง่าย ตับได้ง่าย หรือแม้กระทั่งในบางกรณีบาง Case ขึ้นสมองก็มี
ฉะนั้นทำให้เรารู้สึกว่าถึงเราจะเอาชนะมันในรอบนี้ รอบหน้าเนี่ยก็ไม่มีใครบอกได้ว่ามันจะไปโผล่ที่ไหน แล้วเราจะยอมขึ้นสังเวียนกับมันไหม หรือไม่ เพราะว่าคุณเรย์ก็ทราบว่าเดิมที แอ้ม ไม่ได้ตั้งใจสู้มัน
Thairath Talk : คุณบอกผมว่าเชื่อว่าลึกๆ วันหนึ่งฉันจะเป็นมะเร็งขยายคำนี้หน่อย
มันเป็นความรู้สึกบางอย่าง ซิกซ์เซนส์ก็คงเกินไป แต่ว่าแอ้มหลับตานึกภาพเห็น คือหลายคนอาจจะเป็นลักษณะคล้ายกับว่าเรามีมโนภาพในใจ เราจะแก่ลักษณะไหน เราจะอยู่ที่ไหน เราจะอยู่กับคนนี้ บ้านหลังนี้นะ เราจะอยู่กับลูกหลาน แบบนี้นะ
แอ้มนึกภาพนั้นไม่ออก ตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ปัจจุบันอายุ 41 ปี ก็ยังนึกภาพนี้ไม่ออกว่าแก่แล้วเราจะเป็นยังไง
Thairath Talk : ภาพที่คุณเห็นเป็นยังไง
แบลงก์ไม่มี เหมือนกับเราไม่เคยมีมโนภาพการที่เราเป็นแม่คนจะเป็นอย่างไร มโนภาพมีลูกอุ้มเด็กไม่มี มโนภาพตอนแก่ตาย หง่อม อายุ 70 เหี่ยวย่นก็ไม่มี เลยมีความเชื่อว่าเราจะอายุไม่ยืนมาก

บทเรียนที่ 2 มะเร็งมาเร็วกว่าที่คิด
Thairath Talk : และมันมาสอดรับกับการตรวจร่างกาย วันนั้นจำได้แม่นยำไหม
จำได้แม่นเลยค่ะ (หัวเราะ) เราไม่ได้เป็นคนทีวีละ เราชอบเครื่องสำอางอยากทำเครื่องสำอาง
เป็นคนชอบทดลอง รู้ว่าดีไม่ดี ซื้อครีมมาสรรพคุณว่าอกจะเต่งตึงนะ เราเข้าสู่วัย 40 แล้ว เลยเอาครีมมาทา ทาไปมา เอ๊ะ มันสะดุดๆ ก้อนใหญ่นะ ไม่ได้สะดุดแค่เป็นเม็ดๆ มาข้างนี้ไม่มี แค่นั้นก็ 'เสียวสันหลังวูบ' มันมาแล้ว
ตกใจเลย รู้ว่าใช่ แต่ว่าถามว่าตกใจไหม ตกใจ อย่างเดียวว่ามันมาเร็วกว่าที่เราคิดไว้ กะว่า ถ้าเป็นหลังคุณพ่อคุณแม่เริ่มแก่มากแล้ว เรามาเจอก็ไม่เป็นไร พอมาเจอ 55 ปลายๆ 60 ก็พอไหว เป็นสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้แล้ว พอมาเจอ 41 มาเร็วกว่าเหตุ 10 ปี เราก็เลยทำยังไง
Thairath Talk : ภาพแวบปิ๊งแรกคืออะไร
ภาพแวบปิ๊ง คือถ้าเมื่อไม่รักษาอาการเป็นไงบ้าง เรากับคุณพ่อคุณแม่มีข้อตกลงไว้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนเรื่องนี้จะเกิดว่าถ้าคนใดคนหนึ่งเป็นมะเร็งเราจะไม่รักษาทั้ง 3 คน เพราะว่าเรารู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของคนเป็นมะเร็งที่ต้องให้คีโม ต้องฝ่าอุปสรรคอะไรมากมายทรมาน ตัวคนไข้เอง คนรอบข้างทรมาน เราไม่ต้องการที่จะประสบสิ่งเหล่านั้น
...
เรามีข้อตกลงพ่อ แม่ ลูก ถ้าใครเป็นจะไม่รักษา เป็นแค่เรื่องว่าเราใช้ชีวิตอย่างไร ได้คำตอบยังไงก็หาหมอ เราจะปฏิบัติอย่างไร
Thairath Talk : ถามตรงๆ ไม่ได้เป็นโจ๊กครอบครัวถ้าเป็นมะเร็ง 3 คนจะไม่รักษา
จริงจังค่ะ พอไปหาหมอ ไปแมมโมแกรม หมอมาคลำดู คุณหมอท่านก็จะรักษาน้ำใจคนไข้ในลักษณะให้รู้นะเดี๋ยวเราเจาะชิ้นเนื้อมาดูก่อนเอาให้ชัวร์ก็บอกคุณหมอว่า ไม่เป็นไรค่ะเราบอกทราบแล้ว ทำใจมาแล้วคุณหมอบอกตรงๆ มาเลยดีกว่า จะได้ ทั้งเราและเขาจะได้ไม่เสียเวลา คุณหมออึ้ง แล้วก็บอกว่า เอาแบบนั้นเลยเหรอ หมอพูดได้ว่าน่าจะมั่นใจ 95% ว่าน่าจะเป็นอย่างน้อยขั้นที่ 2
คำถามต่อไป ไม่ได้เป็นคำถามว่าเราจะรักษาอย่างไรดี ถ้าไม่รักษาจะเกิดอะไรขึ้น หมออึ้งอีกดอก ทำไมถึงไม่รักษา เราบอกว่ามีเหตุผลส่วนตัว เราอาจจะไม่รักษา
หมอบอกถ้าไม่รักษา ข้อมูลทั้งหมดเนี่ย จริงๆ แล้วมันก็พูดยากนะแต่ว่าบอกได้เลยว่า 3 เดือนขยายตัวเท่าตัว ก้อนที่คลำเจอเนี่ยประมาณ 3 คูณ 5 เซนติเมตร 2 ทุกๆ 3 เดือน แล้วมันก็จะเริ่มกระจายกินถ้าไม่รักษา
เนื่องจากมะเร็งเต้านมมันเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ ผิว เนื่องจากมันไม่ได้เป็นอวัยวะภายในมันก็จะมีอาการเน่าและอักเสบ ตามมา เป็นจุดที่เราตระหนัก เราต้องรับมืออย่างไร เพราะเป็นสิ่งที่มันอยู่ข้างใน เราต้องรับรูป อักเสบมีหนอง เน่า ก็เลยรับรู้เก็บข้อมูลกันไป

...
บทเรียนที่ 3 ต้องอยู่เพื่อคนอื่น
Thairath Talk : ระหว่างทางที่ขับรถได้คิดอะไรอยู่ระหว่างทาง
คิดว่าเราจะอยู่อย่างไรอยู่ในภาวะที่ไม่รักษาแต่รักษา แค่แก้อาการคือรักษาอาการข้างเคียงที่มันเกิดขึ้นแต่ว่าไม่ไปอยู่กับต้นเหตุมัน คิดอยู่ว่าต้องเจออะไรบ้างถึงบ้าน ก็ไม่ได้อะไรมากมาย
แต่คุณพ่อรู้สึกตกใจ ทำไม ไม่เป็นพ่อล่ะ แล้วก็มากอด เป็นน้ำตาแรกในรอบหลายสิบปีที่เราได้เห็น ทำไมต้องเป็นแอ้ม ถึงจุดนั้นเราก็คิดกันว่าไม่รักษา ไม่ต้องรักษาเหรอคุณภาพชีวิตไม่ได้ แอ้มก็ไปทำในสิ่งที่เราทำเป็น แต่ละคนมีระบบในการตั้งรับในวิกฤติ บางคนก็ฟูมฟาย เก็บกด บางคนเป็นเหมือนแอ้ม หาอะไรก็ได้ ไม่อยากให้มันคิด สมมติถึงจุดที่เราไปจริงๆ คุณหมอบอกว่า 3 เดือนขยายคูณไปสิ้นปีนี้ หรือไม่เกิน ทำให้คุณพ่อคุณแม่ยุ่งยากน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้
ในสภาวะต้องรับมือการสูญเสีย ทำยังไงไม่ต้องให้มายุ่งยากเรื่องงานศพ จะเชิญใคร สวดกี่วันก็เลยตัดสินใจว่า เราจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เอกสาร พินัยกรรม ประกันชีวิต เตรียมพร้อมไว้งานศพ ทุกอย่างยังไง สวดกี่วัน สวดวัดไหน ชุดอะไร พร้อมมีหมด มีชุดโปรด รูป ดอกไม้โทนสีอะไร โทรไปหาวัดว่าค่าศาลาเท่าไร เพราะกลัวว่าจะแพง เพราะสวดหลายวันก็กลัวแพง
ขณะที่คุณแม่ก็มีโรคอยู่แล้วก็ทรุดลงเรื่อยๆ
'เหมือนกับว่าเห็นหน้า 3 คนพ่อแม่ลูกแม่นั่งทานข้าวกันค่ะ อดคิดไม่ได้ว่า วันหนึ่งถ้าไม่มี วันหนึ่งเก้าอี้ตัวนี้ว่างไป วันหนึ่ง เริ่มนับถอยหลัง แม่ก็พูดมาประโยคหนึ่งว่า ไม่น่าเชื่อว่า เราเริ่มนับถอยหลังกันแล้วเนอะ'
เราก็ตกลงกันไว้ว่า ถึงแม้ว่าจะนับถอยหลังแต่เราจะใช้ชีวิตแต่ละวันให้มีรอยยิ้ม ให้มีเสียงหัวเราะ ให้มีความสุขมากที่สุดในช่วงเวลาที่เหลือ ไม่อยากจมอยู่กับความโศกเศร้า เราเสียดายเวลา ก็อยากทำให้บรรยากาศเป็นปกติที่สุด แต่แน่นอนว่ามนุษย์ก็ยังไม่เป็นมนุษย์ ทำไม่ได้หรอกเหมือนหลอกตัวเอง
...
คุณแม่ถึงแม้จะไม่ได้พูดกับเราโดยตรง แต่เข้าใจว่าก็คงได้คุยกับพ่อ ได้คุยกับญาติๆ แม่ว่ายังไง อะไรยังไงแล้วมันเดาว่าคงมีกุนซือ คุณป้าคุณน้า ก็บอกไปตรงๆ ซิ ถ้าไม่พร้อมจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้ยังไง
เพราะญาติๆ ก็มาบอกเรา ต้องสู้กับมันซิ จะยอมแพ้มันได้ยังไง แต่ว่าทุกท่านก็เคารพการตัดสินใจของเราก็ไม่ได้พูดอะไรเยอะมาก แต่ทุกคนเชื่อว่า ถ้าแม่เอ่ยปาก แอ้มก็ต้องเปลี่ยนใจ แม่เองก็อยากจะเอ่ยปาก แต่มันเท่ากับว่า แอ้มต้องเผชิญกับสิ่งที่แอ้มกลัว มันเหมือนการบังคับ
Thairath Talk : โดยที่ชนะหรือเปล่าก็ไม่รู้
ซึ่งจุดจบก็ไม่มีใครบอกได้ว่า มันจะยังไง แต่ในที่สุดคุณแม่ก็เอ่ยปาก
Thairath Talk : จำได้ไหมว่าท่านพูดว่าอะไร
ไม่มีวันลืมหรอกค่ะ แม่บอกว่า ถ้าแอ้มจะทำอะไรให้แม่ เป็นอย่างสุดท้ายในชีวิตแม่ หรือในชีวิตแอ้ม แม่ขอสิ่งนี้ แม่ขอให้แอ้มสู้กับโรค ในรอบนี้อย่างน้อยในรอบนี้ ขอให้สู้กับมัน สักยกนึงก่อน และถ้าแอ้มเชื่อว่ามันจะมียกต่อๆ ไป มันจะต้องเรื้อรังหรือมันจะต้องโผล่มาอีกในอนาคต อันนั้นแม่ยอม แม่ตามใจ แม่จะทำใจ แม่จะพยายามทำใจว่าจะเข้มแข็ง แต่ตอนนี้แม่รับไม่ได้จริงๆ กับการที่แม่จะต้องสูญเสียแอ้มไปในตอนนี้
ประโยคนั้นแหละค่ะ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยน จากการที่พยายามจะไม่คิดว่าเราจะอยู่ต่อไปยังไง มันกลายเป็นเรื่องของ มานั่งคิดแล้วว่า สมมติจะตั้งหลักรักษา เราควรจะไปไหน คุณหมอคนไหนเก่งที่สุด คุณหมอคนไหนสามารถจะเป็นที่พึ่งให้เราได้
บทเรียนที่ 4 การต้องมีชีวิตเพื่อคนอื่น
Thairath Talk : การมีชีวิตอยู่หลังจากที่เราเคยคิดว่าเราจะต้องหลับไปละมันยากไหม เวลาที่ต้องลุกขึ้นมา
เปลี่ยน เพราะว่า จากเดิมเรานับถอยหลัง มันเริ่มต้องหา หาแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างที่จะเปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนจากการนับถอยหลังมาเป็นการฮึดสู้ ซึ่งตอนนั้นมองไปก็มองไม่เห็น
Thairath Talk : ยังไงก็ไม่ชนะ
มีความเชื่ออยู่ สู้ไปก็เท่านั้นทรมานตัวเองไปทำไม แต่เมื่อแม่ขอขนาดนี้ ก็ทำให้เต็มที่แล้วในที่สุด แรงบันดาลใจก็มาจากพ่อแม่มาจากคนรอบข้างที่หลายท่าน เป็นคนที่เราไม่คิดว่า จะมาเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้ จะมาเป็นพลังให้เราได้ เป็นคนที่พยุงเราให้ได้
แต่พอเราพูดไป เราเป็นมะเร็ง เราจะผ่าตัด รักษา สิ่งที่เรารับคือ พลังบวก ที่เข้ามาจากทุกทิศทาง เข้ามาถึงตัวโดยตรงที่เจอในฐานะรู้จัก คนสนิท ไม่สนิท คนที่ไม่เจอหน้ากันเลย แฟนคลับ เขาคงลืมเขาไปแล้วแหละ เข้ามาแบบเป็นอะไรคนที่เราไม่น่าเชื่อ ทำให้เรามีความรู้สึกว่า มีคนเอาใจช่วยเรามหาศาล จากเด็มรู้สึกว่ามะเร็งมันเจ็บจริงๆ คนเดียวนะ แต่ไม่ใช่ พ่อแม่เราเจ็บกว่า คนที่อยู่ข้างหลัง คนที่อยู่รอบข้างเราเจ็บกว่า
แต่เขาก็ยังเข้มแข็งพอ สู้นะ สู้นะ เพื่อนๆ จากการที่เราเป็นเหมือนเพื่อนร่วมงาน เราเพื่อนกิน ไปสังสรรค์ไปเฮฮา กลับกลายเป็นเพื่อนที่บอกกล่าวเราเกี่ยวกับธรรมมะ เรื่องการรับมือกับจิตวิทยา เรื่องของความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย
เพื่อนที่ไม่ได้เจอกัน 20 ปีติดต่อมาถามว่าเป็นไงสบายดีเหรอ แล้วเพื่อนกลุ่มนี้ กลายเป็นคนมาบอกเราจะไม่คุยกับมะเร็งเราจะไม่ปฏิบัติเหมือนเราเป็นผู้ป่วย ไม่ถามว่าคีโมเป็นยังไง ถ้าป่วยบอก แต่เราจะมีคนที่ทำให้บันเทิงเริงใจ เราจะคุยกับสัพเพคุยเรื่องใต้สะดือให้แอ้มมีรอยยิ้มในแต่ละวัน
Thairath Talk : หลังจากตัดสินใจหายใจเพื่อคนอื่นมันยังไงต่อ
ในแง่การรักษาโชคดีที่มีบุญ เรารู้จักได้รับความเมตตา คุณหมอศักดิ์ชัย ลิ้มทองกุล ท่านอยู่ รพ.จุฬาฯมายาวนาน ไปฝากกับอาจารย์กฤษณ์ เป็นมือต้นๆ ของมะเร็งเต้านม ท่านก็รับเราเป็นคนไข้ เข้าสู่กระบวนการผ่าตัดเบื้องต้น คุณหมอท่านไม่เจาะพิสูจน์ชิ้นเนื้อเหมือนกับเป็นรังมด ถ้าไปจิ้มๆ ก็เหมือนรังมด เอาอะไรไปแหย่ๆ มันก็จะกระจาย กว่าคุณจะมาจัดการ มาฉีด มันก็ไปไหนไม่รู้ ผมไม่เจาะ ถ้าจะรักษาผ่าเลย ไปเจออะไรก็เอามาพิสูจน์
วันที่ผ่า 3 เมษา ตอนเช้า เป็นครั้งแรกที่เข้าห้องผ่าตัด ครั้งแรกที่ไปเจอกับหลายอย่าง เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม เข้ารพ. ล่วงหน้า 2 วัน วันที่ 3 ก็ผ่าเสร็จออกมา จำได้ว่าด้วยความที่เป็นห่วงคุณแม่มากฟื้นขึ้นมาในห้องพักฟื้น เขาก็เฝ้าดูอาการ เราจะได้เห็นบุรุษพยาบาลหรือไม่ใส่ชุดเขียว ลืมตาบอกเขาว่ามีโทรศัพท์ไหม เขาบอกว่าทำไมเหรอจะโทรหาคุณแม่ ยังโทรไม่ได้ หลับก่อน พักก่อนไม่เป็นไร เดี๋ยวแจ้งให้ โทรเลย ขอๆ อยากให้แม่ลูกว่าฟื้นแล้วโอเค ปลอดภัยดี บอกเบอร์ ยกหูไป ฟื้นแล้วปลอดภัยดี แต่ว่าคนไข้เป็นห่วงคุณแม่เป็นห่วงให้โทรมา จากนั้นก็หลับต่อไปฟื้นอีกทีอยู่บนหวอดแล้ว
Thairath Talk : สิ่งที่เห็นหลังลืมตา
ญาติๆ เพื่อนๆ ยืนรอเต็มไปหมด จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นการผ่าที่อันตราย ไม่มีความเสี่ยงเราไม่เคย คุณหมอแค่ผ่าออกมาแล้วมาลุ้นกันว่าเป็นยังไง ต่อมน้ำเหลืองผ่าไป 6 ต่อม ติดหรือเปล่า กลัวว่าจะกระจาย ปรากฏว่ามันบวม อักเสบ แต่ไม่มีเซลล์มะเร็งโชคดีไปเปลาะหนึ่ง ซึ่งที่เต้านมเป็นขั้นสองตอนปลายจริง จากคีโมเดิมคุณหมอ
ตั้งใจไว้ว่า 6 เพิ่มเป็น 8 จากฉายรังสี 20 เพิ่มเป็น 25 ล่าสุดก็เพิ่มเป็นขั้นตอนของมันไปตอนแรกก็หงุดหงิด นึกภาพออกไหม เหมือนมีอะไรในใจ มันมีจุดเริ่มต้นแล้วก็มีขีดสิ้นสุดในการรักษารอบนี้ แต่เหมือนมันขยับไปเรื่อยๆ
เริ่มท้อ ว่าแบบไม่เห็นฝั่งสักที หงุดหงิด ว่าคุณหมอบอกตั้งใจว่าเราจะตบ มันก็ยื้อออกไปอีก กระทั่งมาถึงจุดนี้รักษามาหลายเดือน คุณหมอไม่สามารถบอกเราได้จริงๆ เราได้สัมผัสกับผู้ป่วยท่านอื่น คนที่อินบ็อกซ์ เราจะมีสิ่งหนึ่งที่บอกต่อกันเสมอๆ กับคนที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งด้วยกันว่าเราจะสู้ไปพร้อมๆ กันนะคะ ไม่ว่าแต่ละคนจะเจออะไร ก็จะมีบางท่านที่ให้คีโมไม่ได้ ไตทำงานไม่ดี ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการรักษา บางคนบอกว่าให้คีโมไปแล้วแพ้รุนแรงมาก มีอาการชัดคุณหมอหยุดให้คีโม ตอนนี้เคว้งคว้างมากไม่รู้จะทำอะไร เราก็บอกให้ใจเย็น เดี๋ยวคุณหมอจะมีคำตอบให้กับเรา ให้เวลา แต่ละเคสไม่เหมือนกัน ถึงจะเป็นเหมือนกันปฏิกิริยาก็ไม่เหมือนกัน
ท่านก็ไม่ทราบต้องดูจากผลเลือด แต่ละสัปดาห์ ทุกครั้งที่ไป รอผลเลือด คุณหมอดูเม็ดเลือดขาวเป็น ช่วงนี้เกล็ดเลือดต่ำ เอายาไปกิน กับมาก็ตรวจอีกที จะเป็นกระบวนการแบบนี้หมอเหมือนการออกรบ วางแผนแล้วก็มาดูกระบวนการว่าต้องทำยังไง ศัตรูเหลือเท่านี้แล้ว

บทเรียนที่ 5 คีโมยกแรก
Thairath Talk : ร่างกายตอนนี้แค่ยกแรก ให้คีโมทรมานมาก
ที่เขาบอกว่า มีทฤษฎี มีความเชื่อว่า การใช้เคมีบำบัดมันคือการฉีดสารพิษเข้าไปในร่างกายเพื่อให้มันเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็ง แต่ต้องยอมรับให้ได้ มันต้องไปทำลายเซลล์ที่ดีของคุณด้วย ผมคุณจะร่วงระบบคุณจะหยุดทำงาน เราใช้เวลา 4 ชม. ถือว่าเบาะๆ กลับมาบ้าน ระว่างที่ให้คีโมก่อนให้ยา ฉีดยาแก้แพ้เพื่อไม่ให้แพ้มาก แต่ยาแก้แพ้ก็มีผลกระทบต่อร่างกาย แทบจะอาเจียนตรงนั้น
กลับไปบ้านจะเริ่มมีอาหารพะอืดพะอม ร่างกายจะร้อนๆ หนาวๆ เชื่อไม่เราจะร้อนเหงื่อท่วมตัวภายใน 5 นาทีแล้วกลับกายเป็นเย็นจับจิตจับใจจนต้องปิดแอร์ภายใน 10 นาทีถัดมา มันสวิงมาก ระบบย่อยอาหารทำงานน้อยมาก ยาที่เข้าไป มีผลทำให้ระบบขับถ่ายใช้ไม่ได้ ย่อยอาหารไม่ดี ทานอาหารก็ไม่ได้ถ้าไม่กินยาระบาย ก็ท้องผูกไป 7 วันก็ไม่ดี ดื่มน้ำเยอะๆ อะไรที่เป็นส่วนเกินได้ระบายให้มากๆ นี่ไม่พูดถึง อื่นๆ ประจำเดือนไม่มา ไปทำลายเซลล์ในรังไข่ ไข่ไม่ตกตามปกติ จะเป็นอย่างนี้ไป อาจจะไม่มีรอบเดือน 2 ปีเลยนะ
ระบบการรับรสก็เปลี่ยนไปอะไรที่ชอบก็ทานไม่ได้เลย เราชอบ ยำ ส้มตำ ปัจจุบันได้กลิ่นไม่ได้แล้ว หัวหอม แม้กระทั่งแม่บ้านอุ่นทานเองเราได้กลิ่นก็คลื่นไส้ ชอบอาหารหวานก็ไม่ทานของคาวเลย กินแต่ของหวานอย่างเดียวแต่ละอาทิตย์สิ่งเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนไป คีโมล่าสุดจะมีอาการปวดเมื่อยเหน็บชา ชาไปหมดเลย ชา บอกไม่ถูก
Thairath Talk : เล่าเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพราะเราสู้กับมัน
ใช่ ถ้าเรามาโอดครวญมาก

บทเรียนที่ 6 แม่ชีศันสนีย์ วิถีเย็น
Thairath Talk : มีสักแวบไหมที่ฉันไม่น่าสู้กับมันเลย
เพราะว่า ยังไงเราไม่สามารถปฏิเสธแม่ได้ มี มันทรมาน แบบนี้ ทำบาป ทำกรรมอะไรไว้ไหม ทำไมต้องเป็นเรา เหมือนที่ผู้ป่วยทุกคนถาม ซึ่งบางคนอาจจะเจอคำตอบหรือ มันเป็นโรคของกรรม เราอาจจะทำไว้ชาตินี้หรือชาติที่แล้วอะไรก็แล้วแต่้ ทำให้เราต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้นำมาสู่การเริ่มเข้าหาธรรมะ พอเรา ความทรมานเกิดหนัก ใจมันฟุ้ง ไปอยู่ตาม ความทรมานที่เกิด
ทำไมอะไรยังไง เจ็บปวด จะอ้วกมันฟุ้ง มีรุ่นพี่ที่รู้จัก แกศึกษาธรรม เพื่อนๆ ที่ปฏิบัติธรรม แอ้มเคยปฏิบัติไหม เคยฝึกไหม แต่เราเป็นชาวพุทธนะ แต่ไม่ปฏิบัติไม่ฝึกสมาธิ ยังไม่เจออาจารย์ท่านใดที่เราเข้าถึงแล้วสามารถทำตามได้ เพื่อนๆ ใส่ข้อมูลมาว่าลองไหม คนนั้นคนนี้ กระทั่งเราเริ่มพยายามที่จะฝึกด้วยตัวเอง ข้อจำกัดด้านภาษา จะแข็งแรงกว่า ไปค้นหา เพื่อคิดว่า เราจะเข้าใจ ภาษาได้ง่าย ก็ช่วยได้ประมาณหนึ่งปฏิบัติฝึกสมาธิคุณแม่ก็มาบอกว่าที่เสถียร คุณแม่ก็เป็นมะเร็งนะ ท่านก็รักษาด้วยวิธีการของท่าน แผนปัจจุบัน ไม่คีโม สมาธิบำบัด ธรรมชาติ บำบัด เพิ่งได้ไป
Thairath Talk : ได้คำตอบอะไรจากท่าน
อยู่กับท่านแล้วเย็นเคยเป็นไหม บางคนเข้าใกล้แล้วร้อน ได้รับสิ่งเหล่านั้นเช้าใกล้แม่ชีแล้วเย็นจนเรารู้สึกว่าเออ เนี่ยอยากอยู่นานๆ ใกล้ๆ นานๆ แล้วท่านก็มีแต่รอยยิ้มแล้วไปวัดไปที่เสถียรไม่ได้นัด ไปดูสถานที่เข้าคอร์ส ก็มีบุญไปกราบท่าน ท่านก็ถามประโยคแรก เหมือนกับที่ท่านถามทุกคนว่า มีอะไรให้คุณแม่ช่วย เราบอกเป็นมะเร็งค่ะ เป็นที่ไหน ท่านก็บอกว่า ท่านลูบหัวจับใบหู ไม่เป็นไรหรอก หาย
มาปฏิบัติ เดี๋ยวคุณแม่ช่วย เข้าไปร่มเย็นมาก ตัดสินใจนี่แหละ น่าจะเป็นที่พึ่งทางใจให้เราไปเข้าคอร์ส ไปฝึก รู้สึกได้เลยว่าใช่
Thairath Talk : ข้างในก็เปลี่ยน
มันรุ่มร้อนน้อยมันสามารถที่จะรับมือรับรู้แล้วรู้ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา คุณแม่ชี ถ้าเกิดมานั่งหลับตาเฉยๆ ไม่ต้องมาไปนั่งดูจากเฟซบุ๊กไลฟ์ได้
ถ้าจะมา คือมาด้วย ใจที่เปิด แล้วก็ฟัง เรื่องของคนอื่น เรื่องที่เป็นเรื่องที่เราสามารถทำประโยชน์ให้กับคนอื่น ท่านพูดถึงไปอยู่ 3 วันเดินแล้วเทศน์ เดินมาสบตาแล้วท่านก็พูดแบบไม่เอ่ยชื่อ รู้ไหมว่าเราต้องขอบคุณมัน มะเร็ง เพราะมะเร็งให้เรานะ เราฟังก็ ให้เราซิ มันให้เรา ถ้ามันไม่มาหา เราก็ไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ ซึ่งจริงๆ แอ้มเคยคิดว่าจะไปนานมาก ตั้งแต่พูดโม้ เข้าสู่ปฏิบัติ พูดมาเป็นปี จนแม่ก็บ่น ได้ไปได้พบจริงๆ
Thairath Talk : มันมีข้อดีของการกลัวสุดขีดไหม
เรารู้ว่า สิ่งที่เรากลัวที่สุดคืออะไร และสิ่งที่เรากลัวสุดไม่ใช่ความตาย แอ้มเป็นคนที่โชคดีเราไม่กลัวความตาย ไปลงนรกไหมไม่ได้รู้สึก เราไม่ได้กลัวความเจ็บปวด กลัว แต่ไม่ใช่สิ่งดีที่สุด สิ่งที่กลัวสุดความทุกข์ที่เราสร้างให้กับพ่อแม่ เราไม่อยากเห็นสภาพท่านเป็นแบบนี้อยู่ในสภาพที่เราเคยเป็น 4 เข็มแรก แม่มาดู เราอยู่คอนโด แม่ลงมาเยี่ยมมีแม่บ้าน ดูแลอยู่ ท่านก็ลงมาหา ระหว่างที่คุณแม่อยู่กับเราท่านทำตัวเป็นปกติมากเป็นยังไงบ้าง พยายามคุยเรื่องสัพเพเหระ แต่ทุกครั้งที่ท่านขึ้นไปข้างบน ท่านก็จะซบอกคุณพ่อแล้วร้องไห้
เพิ่งมารู้ทีหลังจากที่ผ่านมาแล้ว ทุกครั้งแม่จะร้องไห้กับพ่อ ทำไมลูกเราเจอกับสิ่งนี้ แลถ้าเราเป็นแทนลูกได้ก็จะดีเน้อ ที่เราจะสามารถถอดความเจ็บปวดจากลูกไปได้ แล้วรับแทนเขา อันนั้นเป็นความกลัวที่สุด แล้วมันไม่ใช่ความลำบาก มันไม่ใช่ความยากจน มันไม่ใช่การตกลง เคยบกลัวตกงานไม่มีงานทำ เคยกลัว แฟนคลับไม่ชอบ แฟนคลับไม่รัก ไม่มีชอบนิยม เนื่องจากเราทำอาชีพนี้ กลับกลายเป็นเรามีตระหนักความกลัวที่สุดเป็นการทำให้คุณพ่อคุณแม่เสียใจ

บทเรียนที่ 7 วิถีชีวิตเปลี่ยน แต่ไม่มาก
Thairath Talk : วิถีชีวิตคุณเปลี่ยนไปมากน้อย กินอยู่หลับนอน
พยายามไม่เปลี่ยนเพราะจริงๆ คุณหมอ 2 ท่านบอก ท่านหลังดูแลเรื่องเคมีบำบัด พยายามใชัชีวิตให้เป็นปกติที่สุดหลายครั้งเวลาเราสุดโต่งเกินไปมันยืนระยะไม่ได้ ไม่สามารถบอกได้ ไม่เคยกินชีวจิต ไม่เคยงดเนื้อสัตว์มาในชีวิตนี้ฉันชอบมาก เป็นมะเร็งแล้วเลิก ให้เป็นเรื่องปกติ เป็นแล้วเราเลิกน้อยคนที่จะทำได้ ภายใต้เงื่อนไข ทำให้สะอาดสุข กลัว ติดเชื้อ กลัวเป็นพยาธิ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำไม่ควรเอาใส่ตัว ซูชิ ของโปรดงดไปเลย ไม่คิดว่าจะได้ทานได้เร็วๆ นี้
แต่เรื่องอื่นใช้ชีวิตให้ปกตินอกจากนั้น ทำให้ปกติ เราต้องอยู่กับมันให้ได้ ไม่ใช่อยู่กับมันแบบคับแค้นใจอึดอัด อยู่แบบนั้นนี้ก็ทำไม่ได้ อยากไปกับเพื่อนไปได้ วันไหนอยากเปิดดื่มไวน์สักแก้วหนึ่งก็ได้ เราก็ถาม คุณหมอบอกว่าแล้วมีใครบอกไหมล่ะว่าแอลกอฮอล์ทำให้เป็นมะเร็ง แต่ไม่ใช่ไปกินที 2-3 ขวดนะ กินพอประมาณสังสรรค์กับเพื่อนแก้วหนึ่งครึ่งแก้วก็ทำได้ อย่าบีบคั้นตัวเองจนไม่อยากสู้กับโรค โลกไม่น่าอยู่แล้ว เรามีความรู้สึกว่าเราพยายามทำให้ตัวปกติที่สุด
Thairath Talk : กินอยู่หลับนอนปกติ
จะมีเรื่องนอนที่อาจจะผิดปกตินิดหนึ่งเราโชคดีที่ไม่ได้ทำงาน คีโมทำให้นอนไม่หลับ กลางคืนไม่หลับ มานอนตี 3-4 ออกกำลังกายอ่อนๆ ได้ หนักๆ ไม่แนะนำ เพราะเดี๋ยวต้องไปฉายรังสี แล้วตรวจที่เป็นพังผืด ก็ต้องไปทำกายภาพบำบัด เพื่อให้ขยับได้ปกติ
Thairath Talk : ขั้นตอนตอนนี้ขั้นไหน
ตอนนี้ผ่านไปแล้ว เหลืออีก 7 เข็มย่อย 7 สัปดาห์ให้คีโมแล้วก็พัก 3-1 เดือนฉายแสง 35 ครั้งต้องติดกันด้วยจันทร์-ศุกร์
จนกระทั่งครบแล้วประเมินได้อีกครั้งหนึ่งว่าจะเป็นอย่างไร
Thairath Talk : พัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าเกิดไม่แต่งคุณเรย์ แบบมะเร็งพุ่ง จะโทรม เพราะอาจจะผมไม่มีโทรม เราก็พยายาม ด้วยความชอบนิดหนึ่ง มีคนทัก ไม่เหมือนคนป่วย

บทเรียนที่ 8 กำลังใจผู้ป่วยมะเร็ง
Thairath Talk : ถ้าเป็นได้อยากจะบอกอะไรกับคนไม่สู้ ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับมันบ้าง
ทุกคนมีพลังอยู่ในตัว และทุกคนมีพลังอยู่รอบตัว มีทั้งบวกและลบ เวลาเราป่วยเวลาเราเจ็บไข้ทุกข์ทรมาน ไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งก็ได้ เรื่องงาน อุปสรรคในชีวิต สิ่งที่เราจะคิดกับตัวเอง เรื่องลบๆ ที่เกิดขึ้น
เมื่อไหร่มันจะจบ ทำไมมันเกิดกับเรา แต่ว่า ถ้าเรามองพยายามมองข้าม แหวกหมอกออกไป เราจะเจอพลังบวกเยอะเยอะไปหมดเลย คนที่พร้อมจะส่งรอยยิ้มให้กับเรา พร้อมที่จะโอบกอดให้กำลังใจ คนที่พร้อมจะไปนั่งรอเราคีโม 4 ชั่วโมงโดยที่ไม่ได้ทำอะไร
หรือไม่รู้จะทำอะไร หรือเขา ถ้าเขาเจ็บแทนเราได้ก็จะเจ็บแทน เราควรจะเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นกำลังใจที่จะสู้เพื่อเขาแล้วก็เพื่อตัวเราเอง พลังในตัวเรา ถ้าเราไม่ใช้มัน ถ้าเราไปเปิดมัน ฝามันออกมา ก็จะถูกเก็บไว้ มันก็จะถูกล้อมไว้ด้วยพลังลบเต็มไปหมด แต่ถ้าเราปล่อยพลังบวกจากภายใน มันจะแง้มฝาใส่หัวใจเรานิดหนึ่ง ว่าพลังบวก มันอาจจะเปิดขึ้นมา เปิดขึ้นมา อาจจะช้าหน่อยช่วงแรกๆ
ในที่สุดมันจะไปสะกิดอะไรบางอย่างให้ฝาที่มันเปิดออก พลังพุ่งกระจายขึ้นมา แล้วเราก็จะสามารถบอกตัวเองได้ว่า ฉันสู้ได้วะ มะเร็งก็มะเร็งเถอะมาๆ สู้กันสักยกหนึ่ง ยกนี้ฉันอาจจะชนะเธอ ยกนี้เธอชนะฉัน ยกหน้ายังมาไม่ถึง ฉะนั้นมาสู้กันมาดู
Thairath Talk : สำหรับคนที่เป็นมะเร็ง สิ่งที่เขาอยากได้ เราต้องการอะไรมากที่สุดสำหรับคนรอบข้าง
ความเข้าใจว่า ว่าบางครั้ง เราอาจจะไม่ได้อยู่ในสภาวะยิ้มแย้มแจ่มใสได้ตลอดเวลา เรามีอารมณ์ที่แปรปวน มีผลทางวิทยาศาสตร์ เรื่องการให้คีโมมันเข้าไป มีผลกระทบทางจิตใจ และอารมณ์ทำให้คนไข้มีฉุนเฉียวผิดปกติ ทำให้อารมณ์แปรปวนกว่าปกติ สิ่งเหล่านี้ แอ้มว่าถ้าหากเรามี คนรัก คนรอบข้างเป็นผู้ป่วยมะเร็งเราอาจจะทำการบ้านสักนิดหนึ่งในการปฏิบัติตัวกับเขา
หลายๆ ครั้งเขาอยู่ในสภาวะของร่างกายที่ไม่พร้อมที่จะยิ้มให้กับเรา หรือว่าหยอกล้อ พูดเล่นกับเรา บางครั้งเขาอยากอยู่คนเดียวอยากพักผ่อน นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขากีดกันไม่ให้เขาไปยุ่งกับชีวิตเขา เพียงแต่ว่ามันเป็นแค่ช่วงเวลาๆ หนึ่งที่เขาขออยู่แบบเงียบสงบ คนที่อยู่รอบๆ กาย
ขอความเข้าใจเห็นใจและเอื้ออาทรที่จะเข้าใจว่าเราไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ เต็มร้อยแล้วบางอย่างที่เราได้พูดหรือแสดงออกไปเราอาจจะไม่ได้ตั้งใจ หรือเจตนามันอาจจะเป็นผลข้างเคียงของโรค ถ้าความเข้าใจมันเกิดมันก็ทำให้คนไข้อารมณ์ดีไปโดยปริยายอยู่แล้วละ มันทำให้เรารู้สึกว่าได้รับความรักความเข้าใจ
มันมีอยู่ช่วงหนึ่งแรกๆ ที่คุณแม่จะเป็นห่วง แม่ก็ถามว่าเป็นยังไงบ้างลูก คำว่าเป็นไงบ้างลูก ทำให้สโรชาปรี๊ดมากเพราะเราไม่รู้จะอธิบายได้อย่างไรให้แม่เข้าใจว่ามันคืออะไรบ้างที่เกิดขึ้นอยู่กับร่างกาย จิตใจเราก็เคยมีแว้ดใส่แม่ เรารู้สึกผิด ชั่วโมงนั้นอย่างถาม หลุดออกไปเลย ถามไปก็ไม่เข้าใจหรอก แอ้มก็ไม่รู้จะอธิบายแม่อย่างไรหรอก เราก็เห็นสีหน้าแม่ว่า แรงกระทบหนักหนาขนาดไหน แล้วเราก็พยายามที่จะใจเย็นๆ ลง
แต่ว่าในทางกลับกันมันคือทั้งสองฝ่ายที่จะต้องเข้าใจซึ่งกันและกันที่ผู้ป่วยก็ต้องเข้าใจเหมือนกันว่ามันก็ไม่ง่ายสำหรับการที่จะอยู่และดูแลผู้ป่วยมะเร็งในขณะที่เราเป็นอยู่เนี่ย แม่เป็นมากกว่าเรา ทุกข์มากกว่าเรา เจ็บมากกว่าเรา อย่างเนี้ย ความเข้าใจซึ่งกันละกัน ต่างฝ่ายต่างส่งพลังบวกใส่กันเนี่ยให้ซึ่งกันและกัน แอ้มว่ามันน่าจะเป็นทางออกที่ทำได้ ในทุกครอบครัวในทุกกรณี

บทเรียนที่ 9 ฆ่าตัวตาย คำที่ไม่เคยคิด
Thairath Talk : ระหว่างที่ต่อสู้มันมา 7-8 เดือนเนี่ยมีสักแวบไม่เอาแล้วไม่อยู่แล้ว ฆ่าตัวตายไหม
เรื่องฆ่าตัวตายไม่เคยคิดเราเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้า เชื่อว่ามันเป็นบาปที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถามว่าคิดจะไม่รักษาต่อไหม ปล่อยให้มันเป็นไปธรรมชาติ แต่ถามว่าคิดจะเลิกรักษาไหมช่วงเข็ม 4 มันก็มี ในลักษณะที่ว่าไม่ถึง เราจะยุติ การรักษา มีถามตัวเองว่าเราจะไหวไหม โดยสภาพร่างกายแย่มาก เจอกับแค่นึกภาพว่า จะต้องไปให้คีโมวันนั้นวันนี้แล้วต้องไปเจออะไร มันทำให้เราจิตตกเป็นอาทิตย์ตั้งแต่ก่อนอาทิตย์จะไปถึงวันนั้น
ฉะนั้นในชีวิตประจำวัน มันแทบจะไม่สามารถอยู่แบบปกติสุขได้ เพราะว่าเรามัวแค่คิดว่าเราต้องทรมานอีกกี่วันคืน กี่อาทิตย์กี่เดือนว่าจะครบตรงนั้นเป็นจุดต่ำสุดของช่วงรักษา แต่โชคดีที่พอเราตกอยู่ในสภาพแบบนั้น มีคนช่วงพยุงแล้วก็บอกว่ามันมีทางออกนะธรรมะช่วยเราได้ แล้วจริงๆ ธรรมะเนี่ย
แอ้มไม่ได้ใช่เพียงแค่คนที่เป็นศาสนาพุทธ แต่ว่าผู้ป่วยที่เป็นศาสนาอื่นๆ สมาธิ เป็นเรื่องที่ใครก็ทำได้ ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา การที่เราจิตนิ่งพอ ตอนนี้รู้ว่าเราเจ็บนะ ตอนนี้ปวด แต่ว่าขณะนี้เรารู้ว่าเราเจ็บเดี๋ยวมันก็หาย แล้วก็ผ่านไป เรามีสติพอที่เราจะรู้ว่า เดี๋ยวมันเจ็บมาชั่วโมงแล้วมันก็ใกล้หายแล้วล่ะ แล้วที่สุดมันก็หายจริงๆ มันไม่มีอะไรที่เจ็บแบบที่ไม่มีสิ้นสุด ไม่มีอะไรที่สุดแบบสิ้นสุด ไม่มีอะไรที่มันหัวเราะแล้ว ไม่มีงานเลี้ยงไหนที่ไม่มีวันเลิกรา ใช่ไหมคะ
ฉะนั้นถ้าเราสามารถที่จะใช้ตรงนั้นมาเตือนสติตัวเองได้ว่าความเจ็บของเรา มันมีจุดสิ้นสุดเดี๋ยวมันจะต้องยุติ เดี๋ยวมันก็จะหาย เดี๋ยวมันจะดีขึ้น มันทำให้เรามีกำลังใจที่จะนึกไปในอนาคตว่า เดี๋ยววันศุกร์เดี๋ยวก็มาเจอคุณเรย์ละ เดี๋ยววันเสาร์ เดี๋ยวเราก็เจอเพื่อนละ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเดี๋ยวเราก็ไปทำบุญแล้ว
มันมีสติพอที่จะทำให้คิดถึงเรื่องนั้น ฉะนั้นแอ้มว่าไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหนก็แล้วแต่ ถ้ามีสติแล้วฝึกจนมันถึงจุดหนึ่งที่ว่าเราสามารถใช้เป็นที่พึ่งได้เนี่ย มันจะบอกได้ตลอดเวลาว่า มันไม่มีอะไรที่ไม่มีจุดจบ ทุกอย่างมีจุดจบ
และเมื่อความเจ็บปวดที่เราเผชิญอยู่ตรงนี้ประสบอยู่นี้มันถึงจุดจบ เราก็จะสบายตัวแล้ว มีกำลังใจที่จะเดินสู้ต่อได้
Thairath Talk : เห็นคำพูดแบบนี้ คุณแอ้มจะชนะเร็วๆ นี้
หวังไว้ว่าเราจะเห็นคุณแอ้ม กลับมาทำงาน ขอให้พระคุ้มครองนะครับ.