ก็เพิ่งรู้ว่าวิธีการเล่าข่าวในยุคโซเชียลเฟื่องฟูนั้น นักเล่าข่าวทีวีจะต้องแสดงความกล้าหาญชาญชัยมากกว่ายุคก่อนๆ กล้าพูด กล้าวิจารณ์ชนิดเปิดเผยธาตุแท้ของตัวตน!!
นัยว่าเพื่อดึงสถานะของทีวีลงไปฟัดกับสื่อโซเชียลมีเดีย หวังเรียกกระแสคนดูว่างั้น
บางคำไม่เคยได้ยินจากนักเล่าข่าวในอดีตก็เพิ่งมาได้ยินในยุคนี้
อาทิ “สมควรตาย...” บ้างล่ะ “คนอะไรจะเลวได้ขนาดนี้...” บ้างล่ะ ฯลฯ
นี่แค่บางประโยคจากนักเล่าข่าวบางคน บางช่อง แถมเป็นผู้หญิงทั้งคู่ซะด้วย อารมณ์ช่างดุดัน เกรี้ยวกราด ฟาดฟันกับเนื้อหาข่าวได้ถึงพริกถึงขิงดีแท้
ไม่ทราบว่าเป็นนโยบายของสถานีหรืออย่างไร ที่ส่งเสริมให้นักเล่าข่าว (ผู้หญิง) คู่หนึ่ง ตกแต่งบุคลิกต่อหน้ากล้องให้ดูเอาจริงเอาจัง ใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวปลุกเร้าผู้ชมคนดูให้อินไปกับข่าว!!
โดยเฉพาะข่าวอาชญากรรมและคลิปข่าวจากโลกออนไลน์ จะพานพบบุคลิกดังกล่าวข้างต้นเต็มๆโสต จนอยากจะบอกว่า...
คุณเพี้ยนไปแล้วหรือ??
บุคลิกเกรี้ยวกราดไม่พอ...ยังทำตัวเป็นศาลเตี้ย “พิพากษา” บุคคลในข่าวอย่างสนุกปาก ชนิดกล้าได้กล้าเสีย เสมือนว่าข้านี้แน่มาก นักเล่าข่าวสำนักไหนก็สู้ไม่ได้
ขอเรียนว่ามันไม่ใช่อย่างที่เข้าใจ...อย่างที่สถานีโทรทัศน์แห่งนี้ต้องการนำเสนอ
นักเล่าข่าวเป็นแค่ตัวกลางนำข่าวมาบอกเล่า หรือรายการความเคลื่อนไหวข่าวสารที่เกิดขึ้นด้วยความถูกต้อง ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง
การที่นักเล่าข่าวใส่อารมณ์เข้าไปในเนื้อหาข่าว หรือแม้กระทั่งใส่ความเห็นส่วนตัววิพากษ์วิจารณ์ข่าว หรือบุคคลในข่าว ย่อมไม่ใช่นักเล่าข่าวมืออาชีพ
พวกคุณทำเกินหน้าที่ ทำเกินวิชาชีพ เปลี่ยนแปลงความถูกต้องไปสู่ความเพี้ยน หวังแค่ว่า นี่คือการเริ่มต้นของโลกใหม่ทีวี เพราะยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน
...
คุณจะเอาความเห็นส่วนตัวมาตัดสินคนอื่นว่า ดี-เลวไม่ได้เด็ดขาด เพราะคุณกำลังทำหน้าที่สื่อข่าวอยู่...
อย่างนี้ไม่เรียกว่าเก่ง แต่มันคือพฤติกรรมเสื่อม!!
แจ๋วริมจอ