เรียกว่าเป็นชีวิตฟ้าหลังฝนของนักแสดงหนุ่มหน้าใส กัปตัน ชลธร คงยิ่งยง หลังจากที่อดีตคนรัก มิ้ง ศวภัทร สุนทรนันท์ ออกมายอมรับว่าที่ผ่านมาโกหกเรื่องตั้งท้อง และเมื่อได้เจอ 2 ผู้บริหารจากค่ายนาดาว บางกอก ซึ่งเป็นต้นสังกัดของกัปตัน ทั้ง ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด, บอมบ์ จงจิตต์ อินทุ่ง รองผู้อำนวยการแผนกดูแลศิลปิน บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด ในงานแถลงข่าวละคร "เลือดข้นคนจาง" ที่สยามพารากอน เลยถามถึงเรื่องดังกล่าว รวมทั้งถามถึงกรณีที่พระเอกหนุ่ม นนกุล ชานน สันตินธรกุล ไม่ต่อสัญญากับทางนาดาว บางกอก ด้วย

ถามถึงเรื่องเมื่อวานที่มิ้งสารภาพว่าไม่ได้ท้อง?
บอมบ์ "จริงๆ แล้วเจตนาของเราก่อนหน้านั้นที่ยื่นฟ้องคืออยากรู้ความจริง เหตุการณ์เมื่อวานคือได้ตามสิ่งที่เราต้องการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตัวครอบครัวกัปตันเองหรือแม้กระทั่งเรา เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ได้รู้ถึงเจตนาที่เราอยากได้คือความจริงค่ะ"

คุยกันนานมั้ยกว่าจะถึงขั้นตอนการไกล่เกลี่ย?
บอมบ์ "อ๋อ ปกติมันเป็นขั้นตอนของศาลอยู่แล้วว่าพอเรายื่นฟ้องไปแล้วก็จะมีเรื่องของการนัดไกล่เกลี่ยก่อน"

...

ก่อนหน้านั้นที่ต้องการให้ตรวจ อันนั้นคือเพื่อพิสูจน์ใช่มั้ย?
บอมบ์ "จริงๆ ช่วงตอนนั้นเป็นช่วงที่เราอยากจะตรวจอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจนถึงตอนนี้ที่ไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วค่ะ พอมันถึงจุดที่ว่าทุกอย่างคลี่คลายไปหมดแล้วก็คืออยากให้เป็นเรื่องอนาคตของทั้งสองคนแหละว่าในอนาคตข้างหน้าเขาจะเดินไปยังไง ทุกอย่างที่ผ่านมามันเป็นบทเรียนของเขาค่ะ"

ที่ผ่านมาตอนนั้นกระทบอะไรมั้ย?
ย้ง "จริงๆ ถ้าพูดถึงมันก็คงกระทบกระเทือนความรู้สึกและจิตใจ กัปตันเป็นน้องที่พวกเรารัก ช่วงนั้นเราทำงานอยู่ด้วยกัน รู้สึกว่าเหมือนช่วงนั้นแทบจะไม่ได้ช่วยพี่บอมบ์เลย

ตัวเองออกกองอยู่ มีเวลาติดตามเรื่องนี้น้อยมาก ก็พอรู้มาบ้าง แต่จริงๆ ช่วงนั้นเรายังไม่รู้ความจริง แค่ได้ยินมา เราด่วนสรุปอะไรไม่ได้เลย เราก็เลยทำได้แค่ว่าฟังทั้งสองฝ่ายแล้วแค่พิสูจน์ความจริงตรงนั้น

ทีนี้พอเรื่องราวดำเนินต่อไป ระหว่างที่ผ่านมาคืออยากบอกว่าพอมันอยู่ในเหตุการณ์ที่ยากลำบาก จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องว่าถึงจุดนึงเราก็ให้ทางคุณพ่อคุณแม่ ญาติๆ น้องกัปตัน เป็นคนตัดสินใจเองว่าจะเลือกไปทางไหน ทางตัวผม พี่บอมบ์ น้องๆ ที่ทำงานร่วมกันมีหน้าที่ซัพพอร์ตให้กำลังใจกัน

เพราะช่วงนั้นเวลาไปออกกองดูเขานิ่งๆ เศร้าๆ เราก็มีหน้าที่แค่เชียร์อัพ เวลากัปตันทำงานก็เต็มที่ตลอด ไม่อยากให้น้องอยู่ในภาวะแบบนั้น รู้สึกดีที่เมื่อวานเหตุการณ์ต่างๆ มันคลี่คลายไปในทางที่ดี จริงๆ แล้วมันน่าจะเป็นบทเรียนของวัยรุ่นทุกคนเนอะ เราน่าจะใช้ชีวิตอย่างมีสติและรักตัวเองให้มากๆ กันทุกคน"

เขาได้มาปรึกษากับทางนาดาวมั้ย?
ย้ง "จริงๆ ก็มาปรึกษาและแจ้งให้ทราบ อันนี้ให้พี่บอมบ์เล่าจะดีกว่า"

บอมบ์ "เราอยู่ในทุกกระบวนการของการเข้าไปรับรู้ทุกๆ เรื่องนะคะ จะได้รับฟังถึงรายละเอียดว่าไปถึงไหนแล้ว อย่างที่ทราบกันว่าทั้งหมดจะเป็นทางครอบครัวตัดสินใจค่ะ"

ถือว่าเรื่องจบได้ด้วยดี?
ย้ง "โชคดีมากเลยครับ"

ทั้งพี่ย้งและพี่บอมบ์ก็โดนหนัก ด้วยความที่ทำซีรีส์วัยรุ่น แต่ก็โดนว่าทำไมเด็กในสังกัดเป็นแบบนี้?
ย้ง "ก็อยากจะบอกว่าที่ผ่านมาไม่ได้ตั้งใจจะสอนใครเลยครับ หมายถึงว่าที่ผ่านมาเวลาเราทำเรื่องราววัยรุ่น เราแค่อยากเล่าเรื่องเรื่องนึง แล้วแต่ว่าวัยรุ่นเขาจะมีความคิดวิจารณญาณในการรับชมสื่อยังไง

...

ถ้าถามพี่ว่าเหตุการณ์นี้เราได้เรียนรู้ยังไง ตัวพี่เอง พี่บอมบ์เอง ทุกคนในนาดาว หรือแม้กระทั่งตัวกัปตันล้วนเติบโตและเรียนรู้ผ่านสิ่งนี้ว่าใช้ชีวิตมันต้องมีสติ มันต้องระมัดระวัง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ดีไม่เหมาะ แต่เราควรจะเรียนรู้จากมันว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ควรเกิดขึ้นกับเราอีก แต่พี่ก็ไม่รับปากนะว่าจะไม่เกิดกับน้องอีก"

ต้องมีการประชุมหรือเปลี่ยนกฎใหม่ในสัญญามั้ย?
ย้ง "ถ้าน้องเป็นศิลปินในสังกัดพี่ น้องจะรู้ว่าพี่เข้มงวดมาก แต่อย่างที่รู้แหละว่าวัยรุ่นแต่ละคนมีฮอร์โมนความพลุ่งพล่านที่บางทีบางจังหวะขาดสติยับยั้งชั่งใจ

ซึ่งเวลาสอนน้องๆ ทุกคนก็จะพยายามสอนว่าเราอย่าต้องไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง เราควรจะเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นผ่านประสบการณ์ที่คนอื่นเขาผ่านมา เราควรมีเคสนี้เป็นบทเรียน โดยไม่จำเป็นต้องไปเจอสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง"

แสดงว่ามันกระทบภาพลักษณ์บริษัทนาดาว?
ย้ง "มันกระทบอยู่แล้วครับ เพียงแต่ว่ามาถึงวันนี้ผมเชื่อว่าคนทั่วไปพอทราบความจริงแล้วน่าจะเข้าใจมากขึ้น ในฐานะที่เป็นบริษัทที่ดูแลน้องอยู่ เอาจริงๆ ตอนนั้นวางตัวลำบากมาก ในพาร์ทนึงเราอาจจะรู้อะไรบางอย่างมา แต่มันก็ไม่ใช่ความจริงที่พิสูจน์ได้ ดังนั้นเราทำได้ดีที่สุดเท่านั้น

มาวันนี้รู้สึกดีใจกับกัปตันด้วยที่ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างราบรื่น เพราะช่วงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่เศร้ามากๆ คือช่วงเวลาที่กัปตันจะไปทำงานหน้ามันไม่ไหวแล้ว รู้สึกสงสารน้อง คิดว่าพอเหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี หลังจากนี้อยากให้กัปตันทำงานได้เต็มที่จริงๆ"

...

ต่อไปนี้บอกน้องๆ ให้ระวังตัวเองมากแค่ไหน?
ย้ง "พี่ว่าการห้ามไม่ได้ช่วยอะไรมั้งครับ พี่แนะนำว่าการอธิบายให้เขาเข้าใจการใช้ชีวิตว่ามันต้องระวังตัวยังไง มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะไปห้ามเขาทำนู่นนี่

เพียงแต่ว่าที่รู้ๆ คือต้องมีสติ สมมติถ้าเขาอยากใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยง เขาต้องพร้อมที่จะเจอและรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น ถ้าเด็กฉลาดก็ไม่น่าจะต้องเสี่ยง ก็เรียนรู้เหตุการณ์ของคนอื่นได้"

ถามถึงเรื่องนนกุลที่ไม่ต่อสัญญากับนาดาว?
ย้ง "จริงๆ โดยปกตินักแสดงในสังกัดนาดาวก่อนหมดสัญญา จะมีการชวนคุณพ่อคุณแม่รวมถึงตัวน้องเองมาพูดคุยกันก่อนครับ คือในสัญญาจะระบุว่าถ้าไม่พูดคุยกัน สัญญาจะถูกต่อโดยอัตโนมัติ

ทีนี้ในช่วงที่ทางพี่บอมบ์ชวนทางคุณพ่อคุณแม่กับตัวนนกุลเข้ามาพูดคุย ตอนนั้นนนกุลทำงานอยู่ที่จีน ทำให้การพูดคุยตรงนี้ยังไม่ถึงการนัดหมาย พอยังไม่ถูกนัดหมาย เราเลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคุณพ่อคุณแม่หรือตัวน้องมีความตั้งใจอะไรไว้

มันก็เลยมาจนกระทั่งระยะเวลาของสัญญาจะหมด คุณพ่อเลยทำจดหมายมาที่นาดาวว่า อาจจะขอยังไม่ต่อสัญญาในตอนนี้ เพราะในสัญญาระบุว่าถ้าตัดสินใจยังไม่ต่อสัญญา ให้ทำจดหมายแจ้งเข้ามา ทางเราเองรู้จากทางจดหมาย

...

พอพี่บอมบ์รู้จากจดหมาย ก็เลยโทรหาคุณพ่อคุณแม่ เพราะอยากเข้าใจเหตุผลว่า เรามีการดูแลที่ขาดตกบกพร่องยังไง และเกิดการพูดคุยและเข้าใจปัญหา เข้าใจนนกุล เข้าใจคุณพ่อคุณแม่ว่าทำไมถึงเลือกที่จะไม่ต่อสัญญาในวันนี้"

บอมบ์ "ก็คืออย่างที่น้องให้สัมภาษณ์แหละว่าเป็นช่วงเวลาที่น้องออกไปดูแลตัวเองค่ะ ในอนาคตก็คือเดี๋ยวเราค่อยรอดูกันว่าเป็นประมาณไหนยังไงค่ะ"

เสียดายมั้ยเพราะนนกุลก็กำลังมา?
ย้ง "จริงๆ ไม่ได้เสียดายเรื่องที่นนกุลกำลังมาครับ แต่เสียดายที่จริงๆ นนกุลเป็นนักแสดงที่เราอยากทำงานด้วย น้องๆ นักแสดงที่นาดาวฯ ชวนเข้ามาอยู่ในสังกัด เป็นน้องที่เรามีความคาดหวังว่า เป็นนักแสดงที่เราจะทำงานด้วยในอนาคต

นนกุลเป็นนักแสดงที่หลายคนในจีดีเอชสนใจอยากร่วมงานด้วย แต่พี่ว่าอาจจะไม่มีปัญหานะ เพราะต่อให้นนกุลเป็นนักแสดงอิสระก็สามารถทำงานกับเราได้ครับ

ถ้าจะพูดกันตรงๆ เท่าที่คุยกับทางคุณพ่อคุณแม่ พี่คิดว่าปัญหาเรื่องที่น้องยังไม่ต่อสัญญาในวันนี้ คือมันแค่วันนี้นะ อนาคตเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำ มันเป็นเรื่องว่ามันเหมือนระบบการทำงานของนาดาวเองมันล่าช้า การทำงานเลยเกิดความไม่ราบรื่น

เหมือนเราคุยกันเองอยู่แล้วว่าช่วง 8-9 ปีที่นาดาวเปิดบริษัทมาในเรื่องพัฒนาศิลปิน วันนึงจีทีเอชฝากน้องๆ นักแสดงที่เคยเล่นหนังมาอยู่กับเรา น้องกลุ่มนี้เป็นเด็กที่เก่ง

จีดีเอชเอากลับไปเล่นหนัง เราหมกมุ่นอยู่แต่กับการปั้นนักแสดงให้เก่งจนเราลืมพัฒนาระบบเราเอง พัฒนาตัวเองให้เก่งเท่าทันน้อง พอวันนึงที่น้องล้ำหน้าไปกว่าเรา หมายถึงว่าเขาพัฒนาตัวเองไปไกลมาก เราอาจจะเป็นตัวที่ถ่วงอะไรบางอย่างของเขา

ผมรู้สึกว่าเคสนี้พอเราประชุมบริษัทกัน เราก็บอกว่านาดาวต้องเรียนรู้จากเคสนี้ ต้องก้าวผ่านเคสนี้ไปให้ได้ เราอยากให้นนกุลอยู่กับเรา ถ้าวันนั้นมันไม่เกิดขึ้น พี่เชื่อว่าเราควรจะเก่งขึ้นจากการที่นนกุลจากเราไปในวันนี้ คือเราต้องพัฒนาตัวเองให้ได้ครับ".