หลายคนคงจะคุ้นหน้า คุ้นตากันเป็นอย่างดี สำหรับ เจษ เจษฎ์พิพัฒ ที่ผ่านมามีละครหลายเรื่องให้ได้ติดตามอยู่เสมอๆ แต่ใครจะรู้ว่า ในชีวิตจริงของหนุ่มเจษนั้น มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ใครๆ ก็แปลกใจ เพราะหนุ่มหล่อคนนี้เป็นถึงทายาทเจ้าของตลาดรังสิตเลยทีเดียว ล่าสุดในรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง one31 เจษ ก็ให้สัมภาษณ์ว่า

เห็นว่าเป็นทายาทเจ้าของตลาดรังสิต ชีวิตเป็นยังไง?

"ผมขออธิบายก่อน เราไม่ได้เป็นคุณหนูเลยครับ หมายถึงว่าทั้งการทำตัวเราด้วย แล้วก็ที่บ้านด้วย จริงๆ ครอบครัวผมเป็นแค่ส่วนหนึ่งของตลาดรังสิตครับ"

เรามีส่วนไปช่วยเหลือธุรกิจที่บ้านบ้างไหม?

"ไม่มีเลยครับ เพราะว่า พ่อให้เลือกว่าจะทำอะไรในชีวิต ตอนเรียนจบ ก็เลยเลือกที่จะทำงานตรงนี้ พอมีโอกาสได้ลองทำ ก็เลยชอบ แล้วก็ผมเป็นเด็กที่ไม่ชอบยอมแพ้อะไร คือทำอะไรต้องทำให้สุดทำให้ดีที่สุดอะไรประมาณนี้ พอรู้สึกว่าทำไม่ได้ ก็จะต้องทำให้ได้"

เคยถูกเปลี่ยนตัวจากละคร เรื่องนึงด้วย เกิดอะไรขึ้นตอนนั้น?

"ประมาณปี 51 ครับ ตอนอยู่ค่าย Exact เราก็คาดหวังว่า เราอยู่ในค่ายละครที่ค่อนข้างใหญ่แล้ว เราอยากจะมีละครเล่นอย่างจะขึ้นไปเป็นพระเอกให้ได้ในสักวันนึงอะไรแบบนี้ ได้มีโอกาสแคสละครได้เรื่องนึง แต่ก็มีปัญหาอยู่ คือเราอาจจะเล่นไม่ถึง แล้วก็ฝีมือการแสดงเราน้อย

เพราะเราไม่เคยเล่นละครมาก่อนเลย ก็ได้มีการ workshop กัน แล้วก็มันมีช่วงหนึ่งที่ผมต้องไปอเมริกา ไปหาพี่ผม ซึ่งผมจะไปทุกปี พอกลับมาก็ถูกถอดจากละครเรื่องนี้เลย เขาให้เหตุผลว่าเราเล่นไม่ได้"

...

เจอเหตุการณ์แบบนี้ความรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?

"ตอนนั้นเป็น attitude ที่ผมรู้สึกแย่มากครับ ผมจะโทษคนอื่นหมดเลย ผมโทษที่ค่าย คุณครูที่สอน acting ตอนหลังก็คิดได้ คือเขาหวังดีกับเราทุกคน เขาจะมานั่งจ้ำจี้จ้ำไชสอน acting เราทำไม

เขาก็ไม่ได้เงิน เราก็ไปเรียนฟรี เราจะเป็นฝ่ายได้ชื่อเสียงได้เงินจากเขาซะมากกว่า การนั่งโทษคนอื่นมันไม่ทำให้ตัวเราลุกขึ้นกลับมา ก็เลยสู้อีกครั้งนึง"

เป็นคนมุ่งมั่นตั้งแต่เด็กเลยไหม?

"ใช่ครับ ถามว่ามุ่งมั่นไหมผมไม่แน่ใจนะ แต่เรื่องยอมแพ้ผมไม่ยอมแน่ๆ ผมจะไม่ยอมอะไรเลยไม่ว่าผมจะทำอะไร ต้องการอะไร ผมต้องทำให้ได้ ต้องไปให้สุด"

ทางบ้านว่ายังไงบ้างที่เข้ามาในวงการบันเทิง?

"ก็คุณพ่อคุณแม่บอกตั้งแต่เด็กแล้วครับว่าอยากทำอะไรให้ทำเลย แต่ว่าต้องทำให้สุด เหมือนกันครับมันเลยทำให้ผมต้องทำให้สุดเหมือนกัน"

เห็นว่า ครอบครัวเคยเจอเหตุการณ์วิกฤติ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?

"วิกฤติปี 40 ครับ เมื่อก่อนพ่อผมก็จบเมืองนอกมาเหมือนกัน แล้วพ่อผมก็กลับมาทำธุรกิจส่วนตัว เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ทำพวกหมู่บ้านจัดสรรเพราะพ่อผมเป็นวิศวกร

ตอนนั้นมีเงินเยอะมากๆ เลยครับ แล้ววันหนึ่งคุณพ่อไปกู้เงินเพื่อทำโครงการนึง แล้วโครงการยังไม่เสร็จ แล้วมันล่ม เราก็เลยไม่มีเงินที่จะทำ process โครงการให้มันแล้วเสร็จไปต่อได้ ก็เลยติดหนี้แล้วก็ล้มละลาย ซึ่งปีนั้นก็ล้มกันเป็นโดมิโนเลย"

แล้วชีวิตเราเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง?

"ผมนับถือพ่อผมมากเลย ชีวิตผมไม่เปลี่ยนเลยครับ คือที่บ้านเมื่อก่อนรวยมาก ที่บ้านจะมีรถ volvo หลายคันเลย แต่ตอนนี้ไม่ได้รวยขนาดนั้นครับ ตอนนั้นเราไม่รู้ พ่อแม่ปิดไว้ เด็กๆ ก็ไม่รู้สึก เราก็แค่แบบเออรถมันหายไปแค่นั้น ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับที่บ้าน แต่ที่รู้สึกได้คืออารมณ์ของพ่อแม่เหมือนจะหงุดหงิดง่ายขึ้นอะไรแบบนี้"

แล้วเรามารู้ความจริง ว่าพ่อแม่ผ่านวิกฤติตอนนั้นมา ตอนไหน?

"ตอนนี้พ่อก็ยังไม่บอกผมนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่รู้ความจริงคือผมไปถามเขา เพราะว่าผมเรียน Finance ต้องเรียนเกี่ยวกับวิกฤติปี 40 และเขาก็บอกว่าเขาเจออะไรมา ก็เล่าอย่างละเอียดเลยครับว่าเจอมายังไง แต่ว่าพ่อจะไม่ได้เล่ามุมดราม่านะ แม่จะเป็นคนเล่าให้ฟังตอนหลังมากกว่า"

...

กว่าครอบครัวจะสามารถลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง ใช้เวลานานไหม?

"สำหรับตัวผมมันเหมือนเดิมมาตลอดครับ แต่ว่าถ้าสำหรับเขา ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากวัตถุจากสิ่งของต่างๆ นานา พวกรถ ของใช้ในบ้านอะไรแบบนี้ ก็ค่อยๆ เปลี่ยน ค่อยๆ ดีขึ้น ที่เรารับรู้ได้ น่าจะประมาณตอนผม ม.ปลาย เพราะช่วงที่เกิดวิกฤติผมเพิ่งอยู่ตอนประถมเอง"

พ่อแม่มีความสำคัญกับความสำเร็จ ของเราขนาดไหน?

"สำคัญที่สุดเลยครับ ทุกวันนี้ก็ทำเพื่อครอบครัวอยู่ ปัจจุบันนี้ผมจะคิดถึงตัวเองน้อยมาก ผมรู้สึกว่าผมคิดถึงแค่ตัวเองมันไปได้นิดเดียว ผมจะทำไปทำไม ผมก็ไม่ได้ลำบากอะไร แต่ว่าถ้าเพื่อเขา ให้เขารู้สึกภูมิใจที่เห็นเราประสบความสำเร็จ อันนั้นตัวเราจะหนัก แต่เราจะผลักตัวเองให้ไปได้ไกลกว่าเดิม".