แม้เวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 จะไม่ได้ตำแหน่ง แต่ก็ไม่ทำให้ นิต้า อนิพรรณ เฉลิมบูรณะวงศ์ พี่สาวของ แนท อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2015 ท้อใจ เดินหน้าเข้าสู่เวทีการประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2018 ต่อทันที จนสามารถเข้ารอบ 30 คนสุดท้าย และเข้าร่วมกิจกรรมเก็บตัวผู้เข้าประกวดที่ จ.เพชรบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ งานนี้นิต้าจะมาเผยถึงประสบการณ์ในการประกวดเวทีนางงามให้ฟังกัน
ถามถึงการมาประกวดครั้งนี้?
"หนูมาประกวดเวทีนี้เป็นเวทีที่ 2 ค่ะ ครั้งแรกคือการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อเร็วๆ นี้ ตอนนั้นเข้ารอบ 10 คน แล้วก็มาเวทีนี้ต่อค่ะ"
ตอนเด็กๆ ใฝ่ฝันอยากมาประกวดนางงามอยู่แล้วรึเปล่า?
"ไม่เลยค่ะ เป็นคนที่ไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก คือเรารู้ว่าเราไม่สวยอะ ตอนเด็กเป็นเด็กอ้วน ส่วนแนทจะผอมกว่าหนูค่ะ ของหนูคือเป็นเด็กอ้วนดำ หนูจะไม่ค่อยทำกิจกรรมเพราะว่ามันไม่ค่อยรอด ก็เลยเน้นเรียนค่ะ เป็นเด็กเรียน วิชาการแน่นมาก (ยิ้ม) ส่วนแนทจะเป็นเด็กกิจกรรม ชอบเป็นดรัมเมเยอร์ เชียร์ลีดเดอร์"
...
แล้วอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เราตัดสินใจมาประกวด เกี่ยวกับน้องเรารึเปล่า?
"ไม่เกี่ยวค่ะ คือปกติเป็นเด็กเรียน กิจกรรมเราไม่เริดอะ คือด้านนี้เราไม่สามารถ แต่พอเราอายุ 25 ปีแล้ว มันถึงขีดจำกัด คือมันจะไม่มีโอกาสแล้ว หนูก็เลยรู้สึกว่าเฮ้ย ไม่ได้แล้วแหละ มันต้องลองทำสักครั้งในชีวิต ตอนที่กลับไปบอกแม่กับน้อง แนทก็ตกใจเพราะไม่คิดว่าอยากมาประกวดจริงๆ"
พอมาเวทีนี้ต่างจากครั้งที่แล้วยังไงบ้าง?
"ด้วยความที่เวทีที่แล้วเป็นครั้งแรก เราไม่ค่อยรู้เลยว่าจริงๆ แล้วต้องทำยังไงบ้าง เพราะตอนของปีที่แนทประกวดกับปีนี้ไม่เหมือนกัน ปีนี้ค่อนข้างจะโซเชียลฯ มาก อะไรก็โซเชียลฯ หมด แต่ตอนของแนทมันยังไม่บูมขนาดนี้
ทีนี้นางงามทุกคนที่ได้ก็คือความคาดหวังของไทยหมด เราก็ไม่ค่อยรู้ว่าเราจะต้องวางตัวยังไง คือถามแนทก็ไม่บอกอยู่แล้วเพราะว่าแต่ละปีมันไม่เหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่าไปเอาประสบการณ์ค่ะ
พอมีคนถามว่าหวังมงมั้ย คือก็พอรู้ตัวว่ามันมีโอกาสน้อยมากที่จะได้มงกุฎ เพราะน้องเราเคยได้มาแล้ว เราแค่อยากลอง พอได้ลองก็สนุกน่ะ มันมีมุมนึงที่ไม่เคยทำแบบนี้ หนูก็เลยรู้สึกว่าก็รอดนะ คือสามารถเอาตัวรอดมาได้ถึงรอบ 10 คน เพราะตอนแรกหนูคิดว่าจอดแค่รอบ 16 คน หนูคิดว่าไม่น่าจะเข้าได้แน่นอน
แต่พอมาครั้งนี้คือต่างมาก ด้วยความที่เรามีประสบการณ์แล้ว เราก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วนางงามเขาเป็นแบบนี้เพราะหนูค่อนข้างติดแฟชั่น เพราะเป็นคนทำงานสายแฟชั่นอยู่แล้ว คือหนูเป็นนางแบบและเล่นละครด้วย เล่นซีรีส์วัยรุ่น แต่เวทีนางงามเขาจำกัดถึงอายุ 26 ปี ถ้าไม่ทำตอนนี้คือไปไหนต่อไม่ได้แล้วนะ
สำหรับโชว์ของหนูในเวทีนี้คือ Kangoo Jumps แต่ว่าเราผสมกับมวยแอ็กชั่นเข้าไป แล้วเป็นเพลงของบียอนเซ่ ก็เอามาใช้กับเวทีนี้เพราะหนูรู้สึกว่าเวทีนี้มันต้องใช้แอ็กติ้ง ต้องใช้กีฬา ต้องใช้หลายๆ อย่างค่ะ"
...
คาดหวังอะไรจากเวทีนี้?
"ก็คาดหวังถึงมงกุฎแหละค่ะ ด้วยความที่เรามีประสบการณ์ เวทีนี้คือได้ใช้สิ่งที่เราสะสมมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้เราจะไม่ใช่เด็กกิจกรรมค่ะ
ถามว่าด้วยความเป็นพี่สาวแนท เราคาดหวังมั้ย คือเวทีนี้ไม่เกี่ยวกับแนทเลยเพราะคนละเวทีเนอะ อย่างที่บอกว่าเรามีประสบการณ์มาแล้วว่าเราควรทำแบบไหน ปรับปรุงตรงไหนของเราบ้างค่ะ แต่ก็ไม่กดดันอะไรนะคะ สบายๆ"
...
ถ้าได้ตำแหน่ง เราอยากทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง?
"ถ้าเป็นกิจกรรมเพื่อสังคม ทางกองประกวดเขามีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่หนูอยากทำคือหนูอยากผลักดันโครงการของหนูเข้าไปสู่เวทีระดับประเทศค่ะ โครงการของหนูคือเกี่ยวกับ Food Waste หรือขยะอาหารค่ะ อย่างเวลาที่เรากินบุฟเฟต์และเหลือเศษอาหาร เราก็อยากจะผลักดัน คือปรับเปลี่ยนค่านิยมของคนให้ทานอาหารให้หมด ให้รู้คุณค่าของอาหาร เผื่อวันนึงเกิดอุทกภัย วาตภัย แล้วไม่มีอาหารกิน ถ้าเราเริ่มตั้งแต่วันนี้ ในอนาคตเราก็จะมีกินค่ะ"
ถ้าเกิดไม่ได้ตำแหน่ง เราจะเดินหน้าต่อไปกับชีวิตอย่างไร?
"ก็วางแผนไว้ว่าหนูอยากจะเรียนต่อปริญญาโท และคงกลับไปเป็นนักแสดงค่ะ และก็อยากทำเกี่ยวกับท่องเที่ยว เพราะชอบเที่ยวต่างจังหวัด อารมณ์ไปเป็นแพ็กคู่กับน้อง ทำเป็นแชนแนล เดี๋ยวนี้ก็ทำกันเยอะ แต่ทาร์เก็ตของเราคือพี่น้องเพราะสายแฟชั่นทั้งคู่ ก็จะเป็นพากันไปเที่ยวหรือแต่งตัวพาไปช็อปปิ้งอะไรแบบนี้ค่ะ".