สุดสยองเกินบรรยาย สะเทือนธุรกิจแสนล้านศัลยกรรมเกาหลี กับกรณีศัลยกรรมนมพังที่โรงพยาบาลเกาหลี กลับมาถึงไทยเกือบตาย! ของอดีตนักร้องดังจากค่ายอาร์เอส RS เม จีระนันท์ กิจประสาน เป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ของคนที่คิดจะบินไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีไม่มีใครอยากให้เหตุร้ายปางตาย เกิดขึ้นแบบนี้อีกแล้ว

ศัลยกรรมพลิกชีวิตในด้านดีหรือด้านร้าย ในเบื้องต้นเราสามารถลดความเสี่ยงที่จะซวยขึ้นได้อยู่ ถ้าเราใส่ใจรอบคอบมากๆ กับการเลือกหมอและโรงพยาบาล คลินิกที่จะไปทำศัลยกรรม บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ จะพาไปคุยกับศัลยแพทย์แถวหน้าของประเทศไทย ที่คลุกคลีทำงานเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมมานานหลายสิบปี รู้ดีรู้จริงเรื่องการทำศัลยกรรมทั้งในไทยและต่างประเทศ ไปคุยลึกๆ สาระเข้มข้นกันเลยกับ หมอสอง นพ.นพรัตน์ รัตนวราห

"ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่า ไม่ได้ต้องการที่จะมาซ้ำเติม หรือตำหนิว่าคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ใดที่หนึ่ง เพราะความผิดพลาดจากการทำศัลยกรรมมันเกิดได้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องควบคุมให้มันน้อยมากๆ ต้องขอแสดงความเสียใจกับน้องในข่าว ที่เกิดความผิดพลาดขึ้น และขอให้หายเป็นปกติโดยด้วยครับ 

"ผมขอพูดในภาพรวม ไม่ได้ว่าที่ไทยหรือต่างประเทศ และไม่ได้ว่าสถานพยาบาลความงามที่ใดที่หนึ่งนะครับ ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน เรื่องของความสวยความงามและศัลยกรรม ถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นปัญหาแล้วก็ว่าได้ เพราะมีการแข่งขันกันสูงมากและเป็นธุรกิจที่รายได้ดี จึงทำให้มีคนหันมาลงทุนทางด้านธุรกิจศัลยกรรมมากขึ้น และมีเรื่องการตลาดที่รุนแรงเหมือนการขายสินค้า

"เมื่อทำการตลาดได้ดีแล้ว ก็ต้องทำผ่าตัดมากจนเป็นเหมือนโรงงานอุตสาหกรรม เร่งรีบทำ ความเสี่ยงและโอกาสในการเกิดความผิดพลาดก็ยิ่งสูง และบางครั้งเจ้าของธุรกิจไม่ได้เป็นหมอเป็นนักธุรกิจ ก็อาจมองแต่ในแง่ธุรกิจ คิดถึงแต่เรื่องกำไรขาดทุน พยายามลงทุนให้น้อย รายได้ต้องเยอะ ไม่ได้มองในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้เหมือนในอดีต

...

"ปัจจุบันมีการสร้างค่านิยมในการทำศัลยกรรม ปลูกฝังในหัวคนไทยมานาน หลายช่องทาง ทั้งสื่อออนไลน์ต่างๆ และแม้รายการทีวี ทำให้คนหลงเชื่อได้โดยง่ายปัจจุบัน การตลาดมาถึงขั้นที่มีทีมงานคอยเชิญชวน หรือจ้างให้คนดัง ดารา เน็ตไอดอลไปทำศัลยกรรมฟรีอะไรก็ได้ โดยออกค่าใช้จ่ายให้ แม้บางครั้งดูว่าไม่น่าทำก็ตาม แต่หลังจากทำแล้วต้องโฆษณาให้ว่าไปทำที่นี่มา ซึ่งทำให้คนไข้หรือคนทั่วไปมองว่า ใครๆ ก็ไปทำที่นี่และออกมาได้ผลดี และคนก็แห่ไปทำกันตาม

"บรรดาเหล่าคนดังก็คิดว่าตัวเองไม่ได้เสียหายอะไร ได้ทำศัลยกรรมฟรี แต่จริงๆ แล้วกลายเป็นเครื่องมือการโฆษณาให้คนอื่นไปทำตาม ซึ่งบางครั้งอาจไม่ได้ผลอย่างที่คิด อันที่จริงแล้ว มีความผิดพลาดจากการทำศัลยกรรมแบบผิดวิธี และไม่ได้มาตรฐานอีกมาก แต่อาจไม่ได้เป็นข่าวเท่านั้น

"หลายคนอาจมีประสบการณ์เมื่อเวลาไปคลินิกความงาม จะมีเซลส์เข้ามาชักชวนศัลยกรรม หรือทำทรีตเมนต์ต่างๆ พยายามพูดโน้มน้าว ถ้าไม่ได้ทำอย่างหนึ่ง ก็แนะนำให้ทำอีกอย่างหนึ่งหรือเชิงบังคับ ให้ต้องจ่ายเงินให้ได้หรือรูดบัตรเครดิตซื้อคอร์สไว้ แล้วมาทำทีหลัง

"หรือแม้แต่บางครั้งถึงขนาด ติการทำศัลยกรรมที่ทำมาดีแล้วว่าไม่ดี และชักชวนแก้ไข ซึ่งตามหลักแล้ว โดยจรรยาบรรณหากคนไข้ไม่พูดถึง เราไม่ควรไปแตะ เพราะจะเป็นการทำลายความมั่นใจของคนไข้ ในสิ่งที่เขามีความสุขอยู่แล้วนั่นเอง

"เซลส์เองหากขายได้มาก หรือทำยอดได้ดีรายได้ก็จะสูง แต่ถ้าขายไม่ได้ ก็อาจต้องออกจากงานอารมณ์เหมือนเซลส์ขายฟิตเนสหรือขายของซึ่งมันต่างจากการพูดคุยระหว่างหมอกับคนไข้เพื่อทำการรักษา ซึ่งเราจะทำเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์กับคนไข้จริงๆ เท่านั้น และส่วนใหญ่อาจไม่จำเป็นต้องทำด้วยซ้ำ ซึ่งไม่ต้องเสียเงินและไม่เจ็บตัว ไม่เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆ 

"มีอีกหนึ่งอาชีพซึ่งเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับการบูมเรื่องศัลยกรรมก็คือ นายหน้าหรือเอเจนซี่ ซึ่งเป็นอาชีพที่รายได้ดีมากๆ ทำให้คนอยากหันมาทำอาชีพนี้กันมาก หน้าที่คือชักชวนไปทำศัลยกรรม ซึ่งนายหน้าจะติดต่อไปยังคลินิกต่างๆ แล้วติดต่อขอค่าส่วนแบ่ง ทราบหรือไม่ครับว่าบางครั้งอาจสูงถึง 35% ของค่าใช้จ่าย

"คิดง่ายๆ ว่า ถ้าทำศัลยกรรมจ่าย 1 ล้านบาท นายหน้าอาจได้ถึง 3 แสนบาท เรียกว่าพาคนไข้ไปทำเดือนละคนก็อยู่ได้สบายๆ นายหน้าบางคนอาจมีแนวโน้มที่จะโน้มน้าวให้คนเลือกไปทำศัลยกรรมในสถานพยาบาล ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า อาจคำนึงถึงผลการรักษาเป็นประเด็นรอง และหากเกิดความผิดพลาดในการรักษา นายหน้าเองก็อาจไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เป็นเรื่องระหว่างหมอกับคนไข้เป็นหลัก

"แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้พูดเหมารวมทั้งหมด นายหน้าดีๆ หรือนายหน้าที่มีจรรยาบรรณก็มีมาก คอยช่วยเหลือดูแลคนไข้ และคนไข้เองอาจรู้สึกอุ่นใจกว่าถ้ามีคนพาไป และมีคนช่วยดูแล แต่หากมองในอีกแง่ ถ้ามีเอเจนซี่ คนไข้ก็ต้องจ่ายเงินมากขึ้น ย่อมมีความคาดหวังสูงขึ้นตามค่าใช้จ่าย ประกอบกับคำชักชวน ซึ่งการคาดหวังสูงเกินกว่าความจริง ก็จะตามมาด้วยความไม่ตรงตามที่หวังนั่นเอง

...

"จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ตำหนิการบินไปทำศัลยกรรมในต่างประเทศ แต่ก่อนไปควรพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ หลายๆ ประการด้วย หมอไทยหรือหมอในต่างประเทศก็มี ทั้งที่ฝีมือดีและไม่ดีแตกต่างกันไป ซึ่งหมอไทยจำนวนมากก็ฝีมือดีมากๆ การบินไปทำศัลยกรรมในต่างประเทศอาจมีข้อเสียบ้าง เรื่องค่าใช้จ่ายสูงทั้งเรื่องการเดินทางตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พัก การสื่อสารด้านภาษาอาจไม่ชัดเจน

"ถ้าหมอดังๆ คิวแน่น ก็อาจแทบมีเวลาคุยน้อยมากๆ หากเกิดความผิดพลาดก็ต้องพักในต่างประเทศเพิ่มเติม หรือบินไปแก้ไข ค่าใช้จ่ายยิ่งบานปลาย ซึ่งปกติค่าใช้จ่ายก็สูงอยู่แล้ว บางครั้งอาจเข้าถึงหมอยาก อาจดูแลไม่ทั่วถึง และก็เรียกร้องในการรับผิดชอบก็ทำได้ยากลำบาก

"เมื่อเทียบกับผ่าตัดในเมืองไทยหากเกิดปัญหาสามารถเข้ามาตรวจเช็กได้ตลอดเวลา การสื่อสารคุยกันได้ง่ายเข้าใจง่าย ซึ่งผมคิดว่าการตรวจเช็กตามนัดหลังผ่าตัด ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ควรจะมีหลายรอบและตรวจเช็กในระยะยาวด้วย เพื่อความเรียบร้อยและปลอดภัย

"ไม่ใช่ว่าผ่าตัดในเมืองไทยจะไม่เสี่ยงที่จะเกิดปัญหา เพียงแต่ว่าถ้าเกิดปัญหา แล้วหลังผ่าตัดได้ตรวจซ้ำอย่างใกล้ชิด มันก็จะตรวจพบความผิดปกติได้เร็ว และรีบตัดสินใจแก้ไข ก่อนที่ปัญหาจะรุนแรงเพิ่มขึ้น

"ในส่วนตัวผมคิดว่าหมอไทย ก็มีฝีมือมากๆ อยู่แล้วในเรื่องการผ่าตัดศัลยกรรมทุกอย่าง และทำได้ดีมากๆ ไม่แพ้หมอต่างประเทศ แต่ควรเลือกคุณหมอที่มีประสบการณ์เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และมีสถานที่ผ่าตัดที่สะอาด เพราะความสะอาดคือหัวใจอย่างหนึ่งของการทำศัลยกรรม หากเกิดติดเชื้อ ที่ทำมาสวยเท่าไรก็จบ และอาจเกิดเนื้อเยื่อเสียหายด้วย

"อย่าหลงเชื่อคำโฆษณา รีวิวมากเกินไป เพราะมันคือภาพลวงที่ทำให้เราหลงได้ง่าย เคยมีผู้บริหารสถานพยาบาลในต่างประเทศ มาติดต่อคลินิกผมให้ช่วยดูแลเคสหลังผ่าตัดให้แต่ผมไม่ได้ตอบตกลง เพราะ มองว่า เทคนิคการผ่าตัดของหมอแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นหากผ่าตัดกับหมอท่านใด ควรเป็นหมอท่านนั้นดูแลหลังผ่าจะดีที่สุด เพราะทราบรายละเอียดการผ่าตัด รวมไปถึงคอนดิชั่นเงื่อนไขของคนไข้แต่ละคน

...

"ผมมีโอกาสได้รับปรึกษาเคสจำนวนมาก ที่ทำศัลยกรรมแล้วเกิดความผิดพลาดหรือที่ชอบเรียกกันว่าเคสหลุดเคสพังทั้งที่ทำจากในและต่างประเทศ ซึ่งก็ต้องบอกว่า ไม่ว่าจะผ่ากับหมอคนไหน โอกาสผิดพลาดเกิดได้เสมอ เพียงแต่ควรรีบไปพบหมอ หากมีอาการผิดปกติ และแก้ไขให้ทันท่วงที

"เมื่อผมเจอเคสแบบนี้ ผมก็จะแนะนำให้รีบไปพบหมอท่านเดิมที่ผ่าตัดให้ เพราะจะทราบปัญหาดีที่สุด ไม่พูดตำหนิหมอเดิมให้คนไข้เกิดความไขว้เขวอคติ บอกว่ามันเกิดได้ ไม่พูดให้คนไข้เกิดความหวาดกลัวจนเกินไป แต่แนะนำให้รีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ซึ่งมันก็จะจบปัญหาได้

"การทำศัลยกรรมความงาม มันไม่ได้สวยหรูทุกอย่างเหมือนภาพที่เราเห็น ซึ่งหลายคนต้องทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า และบางคนเค้าเองก็จะมีเหตุผลต่างๆ ในการแก้ไขในแต่ละครั้ง บางคนทำมาก จนเราเรียกว่าเสพติดศัลยกรรมคือ ทำแล้วไม่จบ ต้องแก้ไขไปเรื่อยๆ จนไม่มีพื้นที่จะทำ หรือทำจนหน้าแปลก 

"ต้องขอเตือนคนทำศัลยกรรมด้วยครับว่า ยิ่งทำมากยิ่งเสี่ยงเนื้อเยื่อยิ่งเสียหาย ความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนยิ่งสูง และแน่นอนเจ็บหลายครั้งเสียตังค์หลายครั้ง จนบางครั้งทำมากจนใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติหรือเรียกว่าโป๊ะ

...

"ในมุมมองผมการทำศัลยกรรม ควรทำแค่ครั้งเดียวในอวัยวะนั้น แล้วหยุดถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรแก้ไขบ่อย และอย่าคาดหวังมากจนเกินไปกับการทำศัลยกรรม ถ้าผลออกมาดีขึ้นใช้ได้ก็ควรพอ ควรทำให้ออกมาแล้วดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นหน้าแบบพิมพ์นิยมหรือดูหลอกจนเกินไป ถึงแม้ทำแบบให้ใบหน้าเปลี่ยนแปลงได้มากจากเดิม ก็ต้องออกมาแล้วดูสวยหล่ออย่างเป็นธรรมชาติ

"ผมไม่ได้ห้ามและไม่ได้สนับสนุนการทำศัลยกรรม ต้องยอมรับว่าปัจจุบันคนยอมรับการทำศัลยกรรมมากขึ้น และถ้าทำแล้วหากได้ผลดีโอกาสในชีวิตในด้านต่างๆ มันเพิ่มมากขึ้น เลยทำให้คนอยากไปทำศัลยกรรม

"โดยสรุปแล้วหากเรามีความมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่งแล้ว เราไม่จำเป็นที่จะต้องทำศัลยกรรมใดๆ เลยครับ หากอยากดูดีอาจฝึกแต่งหน้า ซึ่งช่วยมากๆ ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายให้รูปร่างดี พัฒนาบุคลิกภาพ มีความคิดจิตใจที่ดีต่อผู้อื่น ก็ทำให้เรามีเสน่ห์ได้เหมือนกันครับ".