เรียกว่าเป็นคนสู้ชีวิตคนหนึ่งของวงการบันเทิง สำหรับนักแสดง-พิธีกรสาว แพท ณปภา ตันตระกูล เพราะต้องแบกรับภาระเลี้ยงคนทั้งบ้านตั้งแต่ยังวัยรุ่น อีกทั้งพี่สาวและคุณแม่ก็ป่วย

แถมยังเคยถูกพ่อแท้ๆ ฟ้องร้องมาแล้ว และถึงแม้จะเข้าสู่ประตูวิวาห์กับนักแข่งรถหนุ่ม เบนซ์ อัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง ชีวิตคู่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะฝ่ายหนุ่มเบนซ์กลับต้องกลายเป็นจำเลยในความผิดฐานสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน ทำให้ แพท ต้องเลี้ยงลูกชาย น้องเรซซิ่ง ด.ช.อัครนันท์ วรโรจน์เจริญเดช เพียงลำพัง

ล่าสุดรายการ “เจาะใจ” เทปวันที่ 28 เม.ย. 2561 พิธีกรดัง ดู๋ สัญญา คุณากร ได้เชิญสาวแพทมาร่วมพูดคุยในรายการถึงมรสุมชีวิตของเธอที่เกิดขึ้นมานานนับสิบปี ว่าเธอรับมือและผ่านมันมาได้อย่างไร พร้อมทั้งถามถึงแพลนต่อไปในอนาคตของเธอด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อเข้าวงการใหม่ๆ เราเข้ามาได้ยังไง?
“เข้ามาตั้งแต่อายุ 15 ปี ตอนนี้ 32 ค่ะ ผลงานแรกๆ ก็เป็นโฆษณา เอ็มวี ถ้าจะเอาแบบเปรี้ยงๆ เลยคือเอ็มวีเพลง “คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ...” ศิลปิน Taxi เราไม่คิดว่าจะดัง ส่วนละครถึงวันนี้น่าจะเล่นมาได้ 30 เรื่องมั้งคะ”

...

แต่สิ่งที่แรงมากกว่าละครคือกระแสข่าวต่างๆ ที่ว่ากันว่าเหมือนละคร?
“เริ่มจากเรื่องศัลยกรรม ตอนนั้นอายุ 19-20 เพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ เริ่มดัง ตอนนั้นเราไปฉีดสลายไขมันที่แก้ม แต่ไม่ได้ศัลยกรรม ปรากฏว่ามันบวม คนก็เข้าใจไปว่าเราศัลยกรรม เราก็บอกไปว่าไม่ใช่ แต่ตอนนี้พอเราทำไม่เห็นมีใครด่าเลย (ยิ้ม)

ส่วนเรื่องพ่อฟ้องว่าไม่เลี้ยงดู จริงๆ พ่อแม่หย่ากันไปนานแล้วตั้งแต่จำความได้ แต่ตามพฤตินัยเขายังอยู่ในรั้วเดียวกันในช่วงระยะเวลานึง เนื่องจากคุณแม่เห็นว่าคุณพ่อไม่รู้จะไปไหนก็เลยอยู่เป็นเพื่อนกันไป

พอถึงวันนึงคุณพ่อมีครอบครัวใหม่ เขาก็ออกไป ทีนี้ช่วงจังหวะนึงแพทก็เลี้ยงดูเขา และเกิดปัญหาในครอบครัว แพทเลยตัดสินใจไม่ส่งเงินให้ต่อ หลังจากนั้นเราคิดว่าไม่น่ามีปัญหาเพราะเขามีครอบครัวใหม่

แล้วสักพักหนึ่งก็มีหมายมาหาเราว่าฟ้องเรากับแม่ คือต้องการฟ้องเพื่อเอาสมบัติของแม่คืน โดยที่สมบัติส่วนนั้นแม่โอนมาให้เรา ซึ่งตัวตึกที่แม่แบ่งให้ลูกคือเขาได้มาก่อนที่จะแยก คือเป็นการฟ้องเรื่องทรัพย์สิน

สุดท้ายศาลไกล่เกลี่ยให้แพทให้เงินสดคุณพ่อก้อนนึงและเลี้ยงดูคุณพ่อไปตลอดชีวิต เรื่องเกิดเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ก่อนคุณพ่อเสียสักพักค่ะ คือคุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งลำไส้จนลำไส้แตก มันก็เลยกระจายเร็ว แกอยู่ได้ประมาณไม่เกิน 3 อาทิตย์ก็ไปค่ะ”

เมื่อเทียบกับข่าว เรื่องคุณพ่อหนักกว่าใช่ไหม?
“อันนี้หนักเพราะเรารู้สึกว่าเราพ่อลูกกันทำไมถึงเลือกที่จะไปฟ้อง ทั้งๆ ที่เดินเข้ามาหาเราก็ได้ ตอนแรกโกรธคุณพ่อเหมือนกัน แต่พอรู้ว่าท่านป่วย กลับกลายเป็นเราโทษตัวเอง ร้องไห้หนักมาก

เนื่องจากเรารู้สึกว่าทำไมเราทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ เรารู้ช้าว่าเขาอยู่คนเดียว ทำไมเราไม่ดึงเขากลับมา เราจะได้มีเวลาที่ดูเขาเหมือนที่เราดูแม่ แต่สุดท้ายก็กลับมาคุยกับตัวเองและถามพี่ๆ น้องๆ ก็คิดว่ามันก็เป็นทางที่คุณพ่อเขาเลือก เราก็ทำหน้าที่ของเราเต็มที่แล้ว”

เรื่องคุณแม่ที่ป่วย?
“คุณแม่ป่วยก่อนคุณพ่อ คุณแม่ป่วยอัลไซเมอร์ช่วงที่แพทอายุจะ 21 พอดี แม่เป็นมา 10 ปีแล้วค่ะ ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ พูดไม่ได้แล้วค่ะ จำหนูไม่ได้ค่ะ ยิ้มได้อย่างเดียว ช่วงแรกแพทต้องปรับอารมณ์ตัวเองอย่างรุนแรง เพราะแพทจะทะเลาะกับแม่ตอนป่วยตลอด เนื่องจากเค้าจะไม่มีเหตุผลจากอาการป่วย

ที่รู้ว่าแม่ไม่โอเคเพราะปกติแม่จะขี้เหนียวมาก มีอยู่วันนึงแกลืมตังค์ 2 หมื่น ซึ่งเมื่อก่อน 200 ยังถามแล้วถามอีก แพทก็เริ่มรู้แล้วว่าแปลกๆ พอเริ่มเป็นเยอะขึ้น หลังจากนั้นไม่นานก็พาไปทำบททดสอบ ปรากฏว่าคุณแม่เป็น เราก็พยายามเอาแกไปรักษา ซึ่งแกก็ไม่ยอม แพททำงานไม่ได้เลย เครียดมาก แกปีนรั้ว รพ. ปีนห้องหนีทุกวัน พยาบาลโทรหาแพททุกวัน

พออยู่บ้านก็หาคนเฝ้า ซึ่งเขาก็ตีกับคนเฝ้าตลอด ตอนนี้ท่านอายุ 68 แล้วค่ะ เป็นตั้งแต่อายุ 58 ที่เป็นเร็วเพราะคุณแม่เครียด เราไม่เคยรับมือกับคนป่วยแบบนี้ แพทรับมือกับคนป่วยคือพี่สาว แต่นั่นเขาไม่เหวี่ยง เขาพิการตั้งแต่กำเนิด เขาไม่พูดอะไรเลย เขาทำอะไรไม่ได้ ปรบมือได้อย่างเดียว

แต่ตอนแม่ป่วยใหม่ๆ ช่วงจังหวะแรกเขาจะหลงๆ ลืมๆ แล้วโมโหตัวเองว่าทำไมลืม ก็จะทะเลาะกัน หลังจากนั้นก็จะเล่าเรื่องเก่าๆ จนตอนหลังก็จะจำเรื่องปัจจุบันไม่ได้ ตอนนี้เขาจะไม่อ้าปากแล้ว จะลืมกลืน คุณหมอบอกว่าเพื่อความปลอดภัยจากการสำลักก็ให้ใส่สายเลยจะได้ปลอดภัย

...

แต่แพทรู้สึกว่าถ้าใส่สายจะยิ่งทำให้แกลืมเร็วขึ้น สมองยิ่งไม่ได้ใช้ แพทเลยบอกที่บ้านว่ายอมลำบากเพื่อเขาหน่อยดีกว่า จะได้ยืดระยะเวลาให้ช้าลงกว่านี้อีก ซึ่งคนป่วยอัลไซเมอร์ส่วนใหญ่ 80 เปอร์เซ็นต์จะไม่ค่อยมีโรคแทรกซ้อน แต่จะเสียชีวิตเนื่องจากลืมหายใจ”

กับเรื่องที่เราท้อง แต่งงาน คลอดลูก สามีโดนจับ?
“อันนี้หนักสุดค่ะ แพทอยู่ในวงการ แพทเชื่อว่าทุกคนก็คาดหวังว่าดาราจะต้องแต่งงานก่อนแล้วค่อยท้อง ซึ่งเราดันแหวกออกมาเลย บอกว่าเราท้องแล้วกำลังจะแต่ง

แต่เนื่องจากประเด็นของแพทคุยกับที่บ้าน เขาไม่ซีเรียสเรื่องแต่งงาน เพราะว่าญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัวไม่ค่อยมี แล้วญาติฝั่งพ่อฝั่งแม่แพทก็ไม่ค่อยติดต่อด้วย ก็ไม่รู้จะเชิญใครด้วยค่ะ เรื่องงานแต่งสำหรับแพทมันกลายเป็นเรื่องเล็กมาก

แต่เรื่องท้องแล้วแต่งแพทไม่ได้แนะนำให้ทุกคนทำนะคะ แพทท้องเพราะอยากท้อง แพทกินยาคุมตลอดเพราะเป็นช็อกโกแลตซีสต์ในมดลูก มันต้องปรับระดับฮอร์โมนตัวเอง แล้วแพทตั้งใจจะมีอีกปีนึง ซึ่งคุณหมอบอกว่าให้คุมวิธีอื่น แต่เราลืมคุมวิธีอื่นไงคะ เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่ติด

...

พอท้องแล้วอีก 10 วันจะคลอด สามีโดนจับ คือตอนนี้สามีของแพทยังไม่ได้ขึ้นศาลเพื่อตัดสินนะคะ อยู่ระหว่างรอขึ้นศาล ตอนนี้อีก 2 เดือนก็จะครบ 1 ปี ก็ไปเยี่ยมทุกอาทิตย์เท่าที่จะไปได้ค่ะ เขาให้เยี่ยมอาทิตย์ละวัน วันละ 1 ชม.

ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วได้เยี่ยมใกล้ชิด ซึ่งจะมีปีละครั้ง แล้วน้องเรซซิ่งได้ไปเจอพ่อแล้ว เป็นการเจอตัวครั้งแรก ที่ตื่นเต้นกว่าการเข้าไปคือลูกได้เจอพ่อแล้วจะมีปฏิกิริยายังไง

พอเข้าไป ความโชคดีคือเรซซิ่งไม่ร้องเลย ให้พ่ออุ้ม ให้พ่อเดินเล่น มันเลยเป็นภาพที่เรารู้สึกว่านี่แหละเป็นเป้าหมายที่เรามาวันนี้ คืออยากให้คุณสัมผัสว่าลูกคุณน่ารักขนาดไหน และสิ่งที่เราแฮปปี้คือเราสอนเขาแล้วใช้ได้ผลวันนั้น แล้วพ่อยิ่งชอบเลยคือสอนลูกว่าป๋าป๊ะ”

เจอปัญหามาขนาดนี้ คุณผ่านมาได้ด้วยอะไร?
“กำลังใจค่ะ การมองโลกบวก อย่างเรื่องพี่สาวก็ถือเป็นความโชคดีที่เรายังมีโอกาสได้ดูแลเขา มันทำให้มีประสบการณ์จนมาถึงคุณแม่ ทำให้รู้ว่าทุกวันนี้แพททำงานเพื่อใคร อยู่เพื่อใคร ดีกว่าถ้าเขาจากไปแพทก็ไม่เหลือใครแล้ว

...

หรือเรื่องคุณพ่อ การที่เขาฟ้องเราทำให้เรารู้ว่าที่เราคิดว่าเขาสุขสบายดีกับครอบครัวใหม่มันไม่ใช่ เขาลำบากและต้องการความช่วยเหลือของเรา เพราะฉะนั้นเราไม่ควรปฏิเสธแม้แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง เรายังได้ใช้ชีวิตช่วงนึงทำหน้าที่ลูกให้เขาเต็มที่

พอมีเรื่องสามีเข้ามา แล้วด้วยความที่พ่อแม่แพทแยกทาง สิ่งนึงที่แพทคาดหวังคืออยากมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แต่วันนี้มันไม่เกิดขึ้นกับเราก็ไม่เป็นไร เพราะแพทก็มีของขวัญที่ดีมาก ในจังหวะที่เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมา จุดสนใจของแพทไปอยู่ที่ลูกหมดเลย มันทำให้แพทผ่านเรื่องนี้ไปโดยที่ไม่เครียดกับมันค่ะ”

ต้องแอบไปร้องไห้คนเดียวไหม?
“มันก็มีบ้างในตอนนั้น มันเป็นความสงสารมากกว่า เวลาเราเห็นแม่เจ็บป่วยมันก็จะเสียใจว่าอยากให้เขาพูดได้ วันนี้ที่แพทอยู่จุดนี้แล้วแพทเจอเรื่องมากมาย แต่แพทยังมีโอกาสที่ดี มีทุกอย่างที่ดีที่ทำให้เดินผ่านไปได้ เราจะมาฟูมฟายอะไร

แค่ทำโอกาสที่เราได้มันมาให้ดีที่สุด ตอนนี้ความสุขของเราคือการได้เห็นลูกหลาน พ่อแม่ ทุกคนอยู่ดีกินดีมีความสุข ไม่เจ็บป่วย ทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้”

ทุกวันนี้วางแผนให้ลูกยังไงบ้าง?
“เงินที่แพทเก็บได้ ก้อนแรกครบแล้วสำหรับคุณแม่กับพี่สาวที่ป่วย เพราะแพทมองว่าในอนาคตมันจะต้องได้ใช้เงินก้อนนี้ และแพทจะได้ไม่ต้องรบกวนใครเลย ตอนนี้เหลือก้อนของลูกชายที่จะต้องเก็บให้ครบ แล้วก้อนที่เหลือจะเป็นของขวัญให้เรา

ซึ่งตอนนี้ก้อนของเขาเนี่ยแพทก็วางไว้ว่าต้องเท่าไหร่ถึงจะเรียนจบปริญญาตรี แพทแพลนไว้แค่นี้ก่อน แพทแพลนไว้ว่าแพทน่าจะมีปัญญาในการส่งลูกเรียนอินเตอร์ 6 ปีค่ะ หลังจากนั้นว่ากันอีกทีว่าจะโยกเขาไปทางไหนค่ะ”.