จากกรณีการเสียชีวิตของนักแสดงสาว น้องอิน ณัฐนิชา เชิดชูบุพการี จากอุบัติเหตุรถชนต้นไม้เสียชีวิตคาที่ ต่อมามีการพาดพิงถึงกรณีที่น้องอินขับรถออกจากพัทยาด่วนเพื่อไป จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อนสนิทเผยว่าน้องอินไปหาคุณพ่อ ในขณะที่ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า น้องไปหาแฟนทอม ทำให้เกิดกระแสดราม่า ว่าบิณฑ์ออกมาพูดแบบนี้ทำไม 

ล่าสุด บิณฑ์ ก็ได้ขอชี้แจงอีกรอบเป็นครั้งสุดท้าย และจะไม่พูดเรื่องนี้อีก โดยได้บอกถึงเหตุผลว่าทำไมต้องออกมาพูด และพูดเพื่ออะไร หลังจากนี้ขอให้ทุกคนจบเรื่องนี้ เพราะวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่น้องอินได้อยู่ และพรุ่งนี้ทุกคนจะไปส่งน้องอินขึ้นสวรรค์กันแล้ว โดยบิณฑ์บอกว่า

เรื่องดราม่าที่เกิดขึ้น? “ผมไม่ติดใจนะครับ ไม่โกรธใครด้วย ที่จะไปว่าผมไปเสือกหรือเข้าไปยุ่ง ผมอยากให้มันยุติในสิ่งที่พูดกันไปต่างๆ นานาโดยไม่เป็นความจริงครับ แล้วเรื่องที่ผมพูดมันเป็นความจริงทั้งหมด อยากจะพูดในสิ่งที่มันควรจะรู้ จะได้ไม่ต้องไปมโนนะว่าเป็นเพราะคนนั้นคนนี้ เอาเป็นว่าจบแล้วกัน

ถ้าผมพูดแล้วมันทำให้เสียหายกับใครหรือว่าใครไม่พอใจ ผมต้องขอโทษด้วยครับ แต่ใครจะมาว่าว่าไม่น่าพูด ผมก็ยืนยันว่าผมอยากจะพูด เพราะผมพูดในสิ่งที่ผมไม่อยากให้ใครมาว่าน้องผม ไม่อยากให้ใครมาว่าต่างๆ นานา อีกอย่างพวกคุณต้องในกำลังใจคุณแม่เค้า ไม่ใช่มาดราม่าซ้ำเติมกัน เท่านั้นเอง แต่ก็อย่างว่า เวลาเกิดอันนี้ขึ้นมา ก็ไปขุดคุ้ยมา จะด่าผมก็ด่าผมคนเดียวพอ ผมไม่เป็นไร”

ที่พี่บิณฑ์ออกมาพูด ได้คุยกับครอบครัวก่อนมั้ย? “ผมคุยแล้ว คุยกับทางคุณแม่แล้ว ตอนนั้นคุณแม่คงอยู่ในสภาพที่พูดอะไรไม่ได้ ผมเลยบอกงั้นผมพูดแทนแล้วกัน แต่ก่อนนั้นผมไม่รู้ว่าคุณแม่พูดอะไรกับสื่อมวลชนไปบ้าง และตอนหลังรู้สึกว่าเริ่มชักจะไม่ดีแล้ว แต่ผมรู้ความจริงมา

...

ผมก็เลยออกมาพูดความจริงว่า หยุดพูด หยุดมโนกันได้แล้ว ปรากฏว่าคนมองว่าไปเสือก พูดมากไปรึเปล่า แต่ผมอยากพูดความจริง ก็ไม่เป็นไร ถ้าพูดไปแล้วแล้วคุณแม่จะออกมาบอกว่า มันไม่ใช่เลย โอเค ผมยอมรับ”

ได้มีโอกาสคุยกับคุณแม่มั้ย หลังเกิดดราม่า? “คุยครับ ผมก็บอกว่า คุณแม่ตามสบายนะ สบายใจอะไรก็พูดเลย ผมจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว เอาเป็นว่าที่ผมพูดให้น้องอิน ให้ทุกคนเข้าใจ ส่วนน้องอินเป็นยังไง มันเป็นเรื่องส่วนตัวเค้า น้องอายุ 21 แล้ว โตแล้ว จะมีใครจะคบใครมันเรื่องของเค้า

แต่ที่ผมออกมาพูด มาพูดให้น้องอินว่าไม่ใช่อย่างที่คิดกัน คุณแม่ก็เข้าใจเจตนาเรา แต่เค้าไม่อยากให้ขุดคุ้ยกันอีกแล้ว ถ้าจะพูดให้พูดถึงแต่สิ่งดีๆ ผมรู้น้องอินเป็นคนกตัญญูมาก ที่ผมสัมผัสมากว่า 15-16 ปีกับแม่ กับน้องอิน ผมว่าเค้าดีที่สุด แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องถึงต้องมาเกิดกับน้องอิน”

เรามีเครียดหรือซีเรียสมั้ย? “เชื่อมั้ยผมไม่เคยซีเรียสเลย ผมก็ปล่อย คนก็สามารถคิดได้ ไม่เป็นไร คนที่เข้าใจและไม่เข้าใจก็มี มันธรรมดา คนรักคนเกลียดก็มีเป็นธรรมดา ถ้าเราทำใจตรงนี้ไม่ได้ อย่าไปพูดดีกว่า”

ความสัมพันธ์กับคุณแม่เป็นยังไงบ้าง? “เหมือนเดิมครับ เมื่อวานไม่ได้ไปเพราะผมไม่สบาย แล้วผมก็แคนเซิลรายการที่จะไปออกทั้งหมด แต่ผมก็ต้องไปรายการของคุณหนุ่ม กรรชัย เพราะรู้สึกต้องพูด เสร็จก็กลับมานอน เพราะไปร่วมงานศพน้องอินไม่ได้ ไปไม่ไหวจริงๆ แต่วันนี้จะไป ไม่ได้โกรธไม่ได้อะไรเลย ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง”

เป็นบทเรียนมั้ย?​ “ไม่ครับ ผมถือว่าสิ่งที่ผมทำงานไปทุกอย่าง มันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำ ใครจะคิดอะไรก็เไม่เป็นไร แล้ววันหนึ่งสิ่งนั้นที่ผมพูด มันจะมีประโยชน์ให้กับคนอื่น”

“ส่วนที่ตำรวจจะเรียกฝั่งน้องไทม์ไปสอบ เค้าก็แค่เรียกไปสอบถามเฉยๆ เพื่อที่จะลำดับเส้นทาง จะได้ไปดูกล้องวงจรปิดว่าไปตรงไหน เมื่อไหร่ แล้วเกิดอุบัติเหตุยังไง ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติของตำรวจ ส่วนผมก็ถามตำรวจว่าจะเรียกผมมั้ย เค้าบอกว่าอยู่ที่น้องไทม์จะให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับตำรวจมากแค่ไหนเท่านั้นเอง”

หลังจากนั้นได้คุยกับน้องไทม์มั้ย? “ไม่ได้คุยครับ เพราะว่าคนอยากรู้ความจริงจากน้องไทม์ เมื่อรู้ความจริงแล้วก็โอเค แต่น้องไทม์เค้าไปให้สัมภาษณ์ว่าพูดกับผมจริง แต่ไม่รู้ว่าผมจะไปพูดกับสื่อมวลชน เพราะว่าผมเป็นผู้ใหญ่ ผมก็ถือว่าเป็นความจริงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าผมเป็นผู้ใหญ่ แต่ผมได้ความจริงมา คือถ้าพี่ไม่พูดความจริง คนจะขุดคุ้ยไปเรื่อยๆ ผมพูดเหมือนกับช่วยเค้าด้วยนะ ซึ่งมันไม่ใช่”

“ผมไม่ได้ไม่พอใจที่น้องเค้าพูดนะ เพราะสิ่งที่ผมพูดคือปกป้องน้องไทม์ด้วย แต่มันไม่ใช่ เพราะมีกระแสหลายทางมาเหมือนกันว่าน้องอินมาหาคนนี้”

คนมองว่าเป็นตราบาปของน้องไทม์? “ไม่ใช่เลยนะ คือน้องไทม์ไม่ได้มีส่วนตรงนี้เลย ขอให้หยุดตรงนี้พอ เพราะมันคืออุบัติเหตุที่เดินทางไปหาคนที่เค้าอยากไปหาแค่นั้นเอง มันมีแค่นี้จริงๆ”

...

พี่บิณฑ์ไปตามหาโทรศัพท์รึยัง? “ผมยังไม่ได้ดู แต่บอกแม่แล้วว่า หลังเสร็จงานจะไปตามหาให้ แล้วที่ถามว่าติดต่อไปทางแบมบี้ได้ไง คือกู้ภัยเค้าบอกว่า เค้าเอาบัตรประชาชนเสิร์ชเป็นชื่อภาษาอังกฤษ แล้วไปเจอน้องแบมบี้ คนที่คุยกับน้องอิน ก็เท่านั้นเอง

แล้วคนก็ไปเข้าใจว่า กู้ภัยเอามือถือน้องอินเสิร์ชหา หรือเอามือถือน้องอินไป เค้าก็เสียใจ มันเหมือนตราบาปเค้า เค้าไม่ได้ทำอ่ะ แล้วพอหาเจอว่าโทรศัพท์อยู่ไหน คนที่ด่าเค้าก็ไม่ออกมาขอโทษหรอก หายหัวไปหมด แต่กู้ภัยเค้าเสียใจไปแล้ว นี่คือสิ่งที่สังคมเป็น”

ที่เราถ่ายวิดีโอ คนมองว่าทำไมต้องขนาดนั้น? “การที่เราถ่ายวิดีโอให้เห็นผู้ที่เสียชีวิต หรือว่าสถานที่เกิดเหตุ มันมี 2 กรณี คือให้รู้ว่าการทำงานเป็นยังไง อันนี้สำหรับแชร์ในกลุ่ม ส่วนอันที่ 2 คือ ถ้าเราไม่รู้ว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร เราก็เอารูปนั้นพร้อมกับเขียนแคปชั่นว่าขอโทษคนในภาพ

เพื่ออยากจะรู้ว่าบุคคลที่เสียชีวิตเป็นใคร ให้ติดต่อมานะครับ ที่ไลฟ์สด ณ ตอนนั้นมันไม่ดี มันแย่ ซึ่งเราก็พยายามบอกว่าห้ามเห็นผู้บาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิต แต่ถ้าในกรณีจำเป็นเราก็ต้องบอกเค้าก่อน

...

แต่คุณมาด่ามูลนิธิเค้าก็เสียใจ เพราะเค้าทุ่มเทให้ แต่ถ้าถามว่าคนมูลนิธิที่ไม่ดี มีมั้ย มันก็มี แต่มันส่วนน้อย เพราะฉะนั้นขอกำลังใจให้กับคนมูลนิธิที่เค้าตั้งใจทำงานจริงๆ อย่าไปว่าเค้าเลยครับ อะไรที่มันหายไปจริงๆ เราค่อยๆ มาสืบหาดู ถ้าเป็นมูลนิธิจริงๆ ค่อยๆ มาสืบหากัน”

ตอนนี้ทางครอบครัวยังสงสัยอะไรอยู่มั้ย? “ไม่นะครับ คุณแม่ขอแค่ว่าอย่ามาขุดคุ้ยอะไรก็พอแล้ว แม่ก็ไม่ติดใจอะไรเคย ขอให้มันจบ พรุ่งนี้น้องอินจะไปเกิด ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว ก็ขอให้มีแต่สิ่งดีๆ ให้น้องอิน ที่พูดวันนี้ขอเป็นวันสุดท้ายนะครับ”

พี่บิณฑ์ได้บอกน้องอินมั้ย? “ผมพูดกับเค้าตลอด วันแรกที่เจอก่อนใส่โลง พี่ก็เข้าไปลูบหัว เพราะรู้ว่าน้องอินอยากให้พี่พูดแทน ว่าเรื่องมันเป็นยังไง ขอโทษแทนคนที่มาว่าน้องอินด้วย น้องอินจะได้ไปสบาย”.