มานั่งเปิดใจเล่าชีวิตในแง่มุมของความรักเป็นครั้งแรก สำหรับ แด๊ก ร็อกไรเดอร์ อดีตนักร้องนำวงบิ๊กแอส ในรายการ Club Friday SHOW ทางช่อง GMM25 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แด๊กเล่าเรื่องราวชีวิตของตนเองให้ฟังมากมายขนาดนี้ เพราะตัวเขาเองนั้นปกติเป็นคนไม่พูดเรื่องของตัวเองให้ใครฟัง และเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมาก แม้กระทั่งตัวภรรยา แจง สาวิตรี วงศ์ฉลาด ยังบอกว่า กว่าจะได้มาอยู่จุดนี้มันยากมาก เพราะแด๊กเป็นผู้ชายที่นิสัยไม่เหมือนใคร

“ผมเป็นคนง่ายมากครับ คนภายนอกเห็นยังไงก็อย่างนั้น พูดง่ายๆ ก็บ้านๆ ติดดิน ผมชอบอะไรที่เป็นธรรมชาติครับ ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนักร้องเป็นร็อกเกอร์

ถ้าจะย้อนจริงๆ ผมได้บุคลิกตัวเองมาจากการอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น ตัวการ์ตูนผู้ชายที่เคร่งขรึม แต่จิตใจดี ไม่ยิ้ม สุดท้ายเลยรู้สึกว่ากลายเป็นคนหน้านิ่งๆ แต่ไม่โหดตามหน้า อาจจะเป็นคนที่คิดอะไรหรือรู้สึกอะไรก็จะแสดงออกแบบนั้นมากกว่า อย่างคนนี้พูดไม่ถูก ผมก็จะแย้งเลย”

มีข่าวว่า แด๊ก ออกจากวง? “เป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ของชีวิตเหมือนกัน เหมือนกับว่าเราก่อตั้งกับเพื่อนมาด้วยความรู้สึกที่ท้าทาย พอเดินทางมาถึงจุดหนึ่งด้วยมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันไป พอรู้สึกว่ามันไม่ตรงกัน ก็ปลีกตัวออกมาดีกว่า

...

จริงๆ แล้วมันเป็นเหตุผลส่วนบุคคล บางคนก็มองว่ามันเป็นอย่างนี้เลยโดนไล่ออก มันเป็นเหตุผลของคนที่โตขึ้น มีความคิดแตกต่างกันไป แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน แน่นอน ถ้าเจอก็คุยกันได้อยู่แล้ว หลังออกมาจากวง ผมก็เข้าป่าเลยครับ ผมเป็นคนชอบอิสระสูง

ปัญหาของเรื่องเส้นเสียงก็ดีขึ้นครับ มันไม่ใช่เรื่องเส้นเสียงอย่างเดียว มันอยู่ที่สภาพจิตใจ เหมือเราถูกกดดันจากปัญหาบางอย่างของการใช้ชีวิต อีกอย่างเรื่องปัญหาการได้ยินด้วย เลยทำให้กระทบกับการร้องเพลง อีกทั้งเรื่องการใช้ชีวิตส่วนตัว มันก็ต้องมีบ้าง”

ผู้หญิงที่คิดว่าชอบเป็นแบบไหน? “ไม่มี ไม่มีเคสเลยครับ ชอบผู้หญิงผมสั้น ต้องดูดี มีสไตล์ มีอะไรที่โดดเด่นขึ้นมา”

ไม่เคยเรียกใครว่าแฟนเลย? “จริงครับ ผมว่ามันตลก ส่วนใหญ่ถ้าบอกจะแนะนำชื่อเลย อย่างภรรยาว่า นี่อ่ะแจง อีกอย่างผมไม่เคยจับมือใครเลย”

ความรัก? “เป็นนักร้องออกอัลบั้มแล้ว รู้จักกัน 5 ปีแล้ว ตอนนั้นเป็นนักร้องแล้ว เหมือนเค้าเป็นคนเข้าใจเราง่ายๆ แต่ผมจะไม่ค่อยอยู่เป็นหลักแหล่ง เราเข้าใจกัน ไม่เคยบังคับ ไม่เคยทะเลาะกันเลย ผมรู้สึกว่าคนนี้พิเศษมาก ตอนที่จีบ เดินเข้าไปดื้อๆ เลย นั่งคุยไปมา ไม่รู้ยังไงขอเบอร์ เค้าก็ให้ ก็มีผู้ชายมาจีบเค้านะ

แต่เค้าไม่ชอบคนนั้น เพราะผู้ชายคนนั้นเหมือนถอดแบบมาจากหนังสือเลย พากินข้าวดูหนังตามแบบหนังสือเป๊ะ แต่กับผมจะเป็นอีกแบบกับคนนั้น ผมพาเค้าไปกินข้าวข้างทาง กินก๋วยเตี๋ยว ขับมอเตอร์ไซค์เก่าๆ ใส่รองเท้าแตะ เค้าบอกว่าผมเป็นคนดูมีอะไร แต่ไม่มีอะไรเลยครับ”

มีคนเข้ามาเยอะ เรามีชื่อเสียง ในตอนนั้นมีข่าวใหญ่หน้าหนึ่ง เราพรากผู้เยาว์? “หลายคนไม่รู้ครับ อันนั้นยกฟ้องนะครับ คือความสัมพันธ์เรารู้จักกันจริง มันมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย เราห่างกันไปแล้วปีนึง แล้วเค้าก็มีลูกขึ้นมา ซึ่งตอนนั้นเราก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ก็เลยเป็นหน้าหนึ่งขึ้นมาครับ

พอเสร็จจากเรื่องนั้นหลังคดีความในแง่กฎหมาย เราก็โอเค เต็มใจทำตามที่กฎหมายลงโทษ เค้ามีลูกจริงๆ เป็นผู้ชาย แต่พอไปตรวจแล้วมันไม่ใช่ ก็จบไปตามที่ยกฟ้อง”

ย้อนกลับไปเรื่องผู้หญิงที่เราคุยตอนนั้น เค้าอยู่ในช่วงเรามีข่าวด้วยมั้ย? “อยู่ครับ แต่เราไม่มีปัญหานะ เพราะเค้ารู้ผมเป็นคนยังไง และรู้ว่ามันไม่ใช่ เค้าไม่ได้มีคำถามอะไรกับผมเลย ด้วยความที่เค้าให้อิสระผมเต็มที่ด้วย ปล่อยผมเต็มที่ ผมก็ปล่อยเต็มเหนี่ยวเลยครับ ไปไหนก็ได้ ยังหนุ่มๆ อยู่ครับ

...

คนก็พอรู้จัก เงินทองก็หาได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร จนผมเริ่มทำมากขึ้น ไม่มีความพอดีแล้ว จนสุดท้ายเค้าบอกว่า ถ้าเค้าทำใจได้ เค้าจะไป คือเค้าเริ่มรู้แล้วว่าเราไปทำอะไรมาบ้าง ก่อนหน้านั้นก็เริ่มมีสัญญาณมาบ้างแล้ว คือเค้ามีคอนโดอยู่ แล้วผมไปหา เค้าก็บอกว่าเดี๋ยวจะไปต่างจังหวัด ตื่นเช้ามาผมก็อยู่คนเดียว ก็อาบน้ำ ออกไปงาน

พอเสร็จตอนมืดกลับไปที่คอนโดนั้น แล้วเดินเข้าไปคอนโด รปภ.ก็เดินออกมาว่า ขออนุญาตครับ ไม่ให้พี่เข้าไป เค้าก็บอกว่าขออภัยจริงๆ เจ้าของห้องแจ้งมา ผมก็เลยโทรไปหาเค้า เค้าก็ไม่รับ เค้าส่งข้อความมาบอกว่า เค้าทำใจได้เค้าจะไป ก็ทีเดียวเลยครับ

แล้วเค้าก็หายไปเลย ตอนนี้เพิ่งรู้สึกว่าในนั้นมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เครียดน้ำตาไหล ตาแดง รู้สึกว่าคนดีๆ มันหายไปไหน หายไปจากชีวิตเลยนะ คือถ้าจะตามจริงๆ อ่ะได้ แต่ผมรู้สึกว่าถ้าคนมันไม่อยู่เราจะไปบังคับเค้าได้เหรอ จากเหตุการณ์นี้เรียกว่าทำตัวเองครับ สมควรแล้ว”

รู้สึกผิดมั้ย? “ก็รู้สึกครับ จะเปลี่ยนมั้ย มันเป็นแบบนี้แล้ว จะเปลี่ยนยังไง เหมือนหลอกตัวเอง มันยากครับถ้าไม่มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อาจจะยากเลย ถ้ารู้ว่าเค้าจะไป อย่างน้อยก็แก้ไขตัวเองได้มากขึ้น ที่เคยทำกับเค้า”

...

ความรักครั้งที่เปลี่ยนชีวิตเรา? “กับภรรยาก็รู้จักกันมาก่อนแต่แรกอยู่แล้ว แต่ไม่ได้พูดคุยกันขนาดนั้น รู้จักกันที่คอนเสิร์ต มีพี่น้องแนะนำมา”

จากนั้นทางรายการก็ได้เชิญ คุณแจง สาวิตรี วงศ์ฉลาด ภรรยาของแด๊กมาร่วมพูดคุย ซึ่งแจงก็ได้เล่าเหตุการณ์ของการเจอกันในวันนั้น จนมาเป็นสามีภรรยากันทุกวันนี้

เจอกันยังไง? “เรารู้จักกันมานานมาก ไม่ได้สนิทเป็นแฟนนะคะ เหมือนชอบพี่เค้าก็ไปขอถ่ายรูปหลังเวที เราชอบพี่เค้าตั้งแต่นั้นเลย แต่เค้าไม่ได้มีปฏิกิริยาชอบเรานะ เค้าก็ถ่ายรูปเฉยๆ ถามว่าเราอายุเท่าไหร่ เราก็บอก 24 เค้าก็บอกว่าหน้าแก่จัง

จากนั้นเราก็พยายามตามหาเบอร์โทรเค้า จนสุดท้ายเราไปได้เบอร์โทรก็โทรหาเลย พอโทรไปเค้าก็เหมือนไม่ได้ประทับใจอะไรกับเค้า แต่เราแค่มีความรู้สึกว่า ถ้าเราได้คุยกับเค้า เค้าอาจจะจำเราได้ และก็อาจจะแบบว่าเรามีโอกาสได้โทรไปคุยกับเค้าอีก แล้วโทรไป เค้าก็ไม่ได้ชอบเราเลย ก็เลยไม่โทรไปอีก

...

แต่ก็ไม่รู้ทำไมเรายังชอบเค้าอีก เราอยู่ห่างกันไกลมา และด้วยสถานะทางสังคมด้วย เราเป็นแค่เด็กต่างจังหวัด พี่เค้าเป็นร็อกเกอร์คงไม่มาสนใจเราหรอก นานๆ ทีก็มีแอบส่งข้อความไปบ้าง บางทีเค้าก็ตอบ เค้าก็ไม่ตอบ

เราก็พยายามส่งข้อความไปบ้าง แต่เค้าก็พยายามห่างเราเอง เราก็รู้ว่าเค้าไม่ชอบเราแล้ว เราก็ไปดูคอนเสิร์ตเค้านะ แต่ไม่ได้ถึงขั้นเสร็จงานชวนไปกินข้าว เพระาเรารู้สึกว่า เค้าก็ไม่ได้ชอบเรา มันก็เลยกลายเป็นแบบว่าห่างกันออกไป

หลังจากที่เรียนจบแล้วเราก็ได้ไปดูคอนเสิร์ตบ่อยขึ้น เหมือนเรามีเวลาว่างมากขึ้น ก็ได้ไปเจอเค้าบ่อยขึ้น ก็กลายเป็นว่าเราสนิทเค้ามากขึ้น แต่ว่าไม่ได้เป็นแฟนกันนะคะ ก็มีไปกินข้าวด้วยกันบ้าง แต่ไม่ได้ถึงขั้นฉันเป็นแฟนเธอนะ เธอห้ามมีใคร”

ได้ยินเรื่องความเจ้าชู้ของเค้ามั้ย? “ไม่ได้ยิน แต่เรารู้ด้วยตัวเราเอง ก็คือเค้าเป็นคนแบบว่าจะไม่ให้ความสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ เค้ามีกรอบของเค้าว่าอย่าเข้ามา อย่าคิดมโนอะไรไปเอง เราก็เลยรู้แล้วว่าเค้าต้องมีอะไรที่แปลกจากคนอื่น เลยรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเค้าต้องเป็นคนเจ้าชู้ และซ่อนอะไรไว้เยอะ”

พอท้าทายขึ้นเริ่มอยากเอาชนะมั้ย?​ “ไม่คิดค่ะ เหมือนเรารู้จักเค้าไปมากขึ้น กลายเป็นว่าเรามีความรู้สึกว่า มันไม่ได้อะไรอ่ะ มันไม่ได้มีสถนะที่ชัดเจน จะว่าเป็นแฟนมันก็ไม่ใช่ จะเป็นแฟนเพลงมันก็มากกว่านั้น มันก็เลยมีความรู้สึกว่า เราจะเสียเวลาตามเค้าทำไมเยอะแยะ ตอนนั้นเราก็ถอยค่ะ ใช้เวลานานหลายปีที่สนิทกัน จะเป็นแฟนก็ไม่ได้เป็น จะเลิกเจ้าชู้เค้าก็ไม่ได้บอก งั้นก็ถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า ไปดีกว่า”

ตอนนั้นแด๊กรู้สึกยังไง? แด๊ก “ความสัมพันธ์เริ่มท้ายๆ แล้ว เราเริ่มรู้จักมากขึ้น จริงๆ กับแจงที่บอกว่าเป็นคนพิเศษจริงๆ ช่วงปีสองปีหลัง จากที่รู้จักกันมานานกว่า 12 ปีได้ นานจนเค้าไปอยู่รัสเซีย”

แจง “ใช่ค่ะ เราไปอยู่รัสเซีย แต่ก็ยังมีอีเมลมาทักนะ แต่ในตอนนั้นเรามีความรู้สึกว่า ฉันไม่ได้อยากเป็นแฟนเธอแล้ว ไปดีกว่า ก็จบไป เราไม่ได้ติดต่ออะไรเลย พอเราไปเค้าก็ไม่ได้ทวงทักอะไรเลย เค้าก็หายไป จนเวลาผ่านไป 2-3 ปี เค้าก็เริ่มโทรมา โทรหนักมาก

จากที่ไม่เคยโทรหาเราเลย เราก็งงว่ามีอะไร แต่ไม่รับ จนเรารับเค้าก็ถามว่าหายไปไหน เราก็บอกว่า อยู่ตรงนี้แล้วนะ ทำงาน มีคนคุย ชีวิตทุกอย่างโอเคแล้ว เรามีแฟนแล้ว ถึงขั้นจะแต่งงานแล้ว เค้าก็ถามว่าเอาเราไปทิ้งไว้ไหน เราก็งงมาก มีความรู้สึกว่ามีตัวตนตั้งแต่เมื่อไหร่

แล้วบังเอิญพอพี่แด๊กเข้ามา เราก็กลับมาคุยกัน แต่ความสัมพันธ์เรากับแฟนก็ไม่ค่อยดี โดยบังเอิญนะ ไม่มีพี่แด๊กมาเป็นมือที่สาม กลายเป็นว่าเราก็อกหักจากฝั่งโน้นมา แล้วมาเจอคนนี้จังหวะมันพอดี”

แด๊ก “จังหวะมันพอดี ชีวิตผมก็เร่ร่อน ก็เลยได้เจอกันบ่อย เจอกันบ่อยนี้หมายถึงเดือนละ 1-2 ครั้งนะ เยอะกว่าเมื่อก่อน แล้วสนิทกว่าเมื่อก่อน”

แจง “เราก็โสดพอดี แล้วเราก็กลับไป เค้าก็เคว้งคว้างอยู่ ก็เลยกลายเป็นเจอกัน กลายเป็นว่าทุกคนเปิดใจมากขึ้น พี่แด๊กก็เปิดใจให้เรามากขึ้น แต่ยังไม่ได้เป็นแฟน ก็คบกัน 4-5 ปี”

สถานะที่ไม่เป็นแฟน แต่คบกันมา 4 ปี เราเป็นผู้หญิงเรารู้สึกยังไงบ้าง? แจง “ตอนนั้นเรายังวัยรุ่นอยู่ เรารู้สึกโอเคกับความสุขตรงนั้น มีความสุขที่ได้อยู่กับเค้า ไปเที่ยวกับเค้า เราก็โอเค ณ จุดนั้น พอเราอายุ 30 แล้ว เราก็คิดว่าเราจะอยู่กับเค้าเพื่ออะไร เพื่อให้เราแก่ขึ้นแล้วเค้าไปหาคนใหม่เหรอ

เราก็เริ่มคิดแล้วบอกเค้าว่า เค้าเราจะยังอยู่แบบนี้ เราไม่เอาแล้วนะ เราขอเลิกดีกว่า ขอแยกดีกว่า ทางใครทางมันดีกว่า พี่แด๊กก็ถามว่าทำไม เราก็บอกว่าไม่เอาแล้ว แล้วเราก็อายุมากขึ้นแล้ว เราก็เลยยื่นคำขาดไปว่า ถ้าไม่แต่งเราเลิกนะ เหมือนพี่แด๊กก็อึ้งแล้วเครียดไปช่วงหนึ่ง เค้าก็กลับไปแล้วไปคิดอะไรสักอย่าง แล้วเค้าก็กลับมาอีกวัน เค้าบอกว่าไม่แต่งได้มั้ย แต่ขอจดทะเบียนเฉยๆ”

แด๊ก “ผมก็ไปคิดหลายตลบนะครับ คือผมไม่ได้กลัวการแต่งงาน แต่ผมกลัวการสูญเสียอิสรภาพของตัวเอง คิดว่าชีวิตมันอยู่ในกรอบ แล้วไม่ชอบจัดงานแต่งงาน ผมว่ามันดูแปลกๆ กลับบ้านมาก็ต้องมาอยู่ 2 คนอยู่ดี เลยมาคิดร้อยแปดตลบ สรุปไม่แต่ง ก็ชิงพูดก่อน แต่จดทะเบียน ผมว่าการจดทะเบียนเป็นอะไรที่ดีกว่าการจัดงานอีกครับ เพราะการจดมันถูกต้องทางกฎหมายหมดเลยนะครับ จัดงานนี้จะเบี้ยวเมื่อไหร่ก็ได้”

ตอนนี้จับมือกันมั้ย เพราะเคยบอกแด๊กเป็นคนไม่ชอบจับมือ? แจง “ก็ยังไม่เคยค่ะ เดินห้างเค้าก็จับมือกับลูก มีลูกเป็นตัวกลาง แล้วเราก็เดินคนเดียว นอกจากจะหาไม่เจอก็ค่อยโทรตาม”

เรื่องแต่งงานเราร้องไห้เลย? แด๊ก “ใช่ครับ รู้สึกว่ามันต่อสู้กันภายในจิตใจครับ ก็คิดว่าเราต้องเสียทุกอย่างในชีวิต และก็เครียด แหกปากน้ำตาไหล”

ถ้าเกิดมาเครียดขนาดนั้น ทำไมไม่ตัดใจปล่อยเค้าไป? “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ก็มีความรู้สึกว่าไม่อยากปล่อยเค้าไป เหมือนในอดีต”

ทางแจงเองก็เผื่อใจด้วย? แจง “เผื่อใจค่ะ ไม่ได้คิดว่าเค้าจะตกลงด้วยซ้ำ เราก็รักเค้านะ 12 ปีที่รู้จักกัน ถ้าเกิดเค้าปฏิเสธเราก็ไม่เป็นไร เราไปเอง เพราะเราเสียเวลามาเยอะแล้ว ซึ่งวันที่เค้าบอกว่า จดทะเบียนกับเรา แต่ไม่แต่ง เราก็โอเคนะคะ ที่เค้าไม่ปล่อยให้เราไป เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเค้าไม่สามารถใส่สูทเดินไหว้แขกในงานได้”

ทางบ้านว่ายังไง ที่ไม่แต่งงาน? แจง “พ่อแม่เราก็โอเคมาก สบายมากค่ะ ไม่อะไรเลย หลังจากจดทะเบียนเค้าก็ขับมอ'ไซค์ไปบ้านเราเลย เราก็คิดว่าพ่อแม่เค้ามาด้วย เค้าก็พูดแค่ 3 คำ ผมดูแลแจงเอง พ่อกับแม่ก็ไม่ได้อะไรนะคะ เค้าว่าโตๆ กันแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ”

พอมีลูก? แจง “ก็เหมือนเค้าไม่ได้ปรับตัวอะไรเลย ยังใช้ชีวิตเดิมๆ เราก็ปล่อย ขนาดมีลูกแล้วยังได้ยินข่าวแว่วๆ มาอยู่เหมือนไปซนอะไร เราก็ไม่ได้โวยวาย เราก็เก็บๆ ไว้ จนมีร็อคกี้ เราก็ยังจับได้อีก

จับได้ทางไลน์ ก็มีทะเลาะกันรุนแรง วันนั้นเราโมโหมปรี๊ดแตกจริงๆ ปกติไม่เคยทะเลาะกับสามีต่อหน้าคนอื่น เราให้เกียรติสามีมาก แต่เราปรี๊ดแตกจริงๆ วิ่งทะเลาะรอบบ้าน มุ้งลวดขาดเลย แต่สุดท้ายแล้วปัญหานี้ก็จบลง คือเราพยายามที่จะไม่พูดแล้วนะ แต่อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก เค้าก็รับปาก หลังจากนั้นมันก็ดีขึ้นนะคะ”

แด๊ก “มันก็เป็นธรรมชาติเนอะ อย่างที่บอก ความสนุกนอกบ้าน เดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่ามันไม่สนุกแล้วเดี๋ยวนี้ กลับมาบ้านเพื่อนมาหาที่บ้านมากินเหล้าที่บ้านได้หมด พอลูกโตขึ้น ก็กลายเป็นว่าลูกแต่ละคนมาจอยกัน พ่อแม่ปาร์ตี้กันได้”

มันรู้สึกดีมากขึ้นมั้ย? แด๊ก “ก็ดีครับ กว่ามรสุมจะผ่านไป กว่าอากาศจะเย็นสบายเหมือนอย่างนี้ก็ต้องผ่านร้อนนิดนึง”

เคยบอกรักภรรยามั้ย? “ยากมากครับ ไม่รู้จะบอกไปทำไม ให้ความรู้สึกมันบอกดีกว่า”

แล้วรักมั้ย? “มันเกินคำถามนี้แล้วครับ ไม่จำเป็นต้องมานั่งบอกฉันรักเธอ เธอรักฉันนะ มันมีลูก มีครอบครัวแล้ว มันยิ่งกว่านั้นแล้ว”.