เป็นคู่แม่ลูกที่รักและผูกพันกันมาก สำหรับ แม่โบว์ แวนดา กับน้องมะลิ พาขวัญ ลูกของ ปอ ทฤษฎี สหวงษ์ ซึ่งน้องมะลิเป็นที่รักและเอ็นดูของคนไทยเกือบทั้งประเทศ ด้วยบุคลิกที่เหมือนพ่อ ขี้เล่น และทะเล้นสุดๆ หากใครเห็นมะลิก็ต้องทำให้คิดถึง ปอ ทฤษฎี พระเอกผู้ล่วงลับอย่างแน่นอน
ล่าสุดในรายการ ชีวิตดี๊ดี ทางช่อง 3HD โบว์ แวนดา ก็ได้มาพูดคุยถึงมุมมองการใช้ชีวิตของตนเองและลูก เมื่อไม่มี ปอ ทฤษฎี แล้ว โดยแม่โบว์ยังบอกด้วยว่า ตนเคยโดนคนในสังคมมองว่า หลังจากผัวตายเดี๋ยวก็หาคนใหม่แล้ว ซึ่งกว่าจะก้าวข้ามผ่านจุดนั้นมาได้ ก็มีบุคคล 2 คนที่คอยให้กำลังใจมาโดยตลอดนั่นเอง
ตอนที่แม่โบว์อยู่กับพี่ปอ เราไม่ได้ออกสื่อ มีความรู้สึกยังไงบ้าง? “มีความสุข (ยิ้ม) คือตั้งแต่แรกที่เราเริ่มคบกัน จริงๆ มันก็มีกระแสมาบ้างนิดหน่อย โบว์ก็โดนคนด่าตามโซเชียลก็มี เราทำผิดอะไร แค่เราเป็นแม่ม่าย เราผิดขนาดนั้นเลยเหรอ เราผ่านช่วงที่คนส่วนหนึ่งตัดสินเรา ซึ่งไม่รู้ว่าเราเป็นยังไง
ทั้งคำด่าแบบหยาบๆ คายๆ นู่นนี่นั่นพี่ปอก็บอกให้เราอดทน เราก็อดทน สังคมส่วนหนึ่งเค้าก็อาจจะยอมรับไม่ได้ที่เราเป็นแม่ม่ายลูกติด แล้วพี่ปอเค้าก็เป็นพระเอก สิ่งหนึ่งคือเราไม่อยากทำให้พี่ปอเค้าหนักใจ เหนื่อยใจ
กลัวว่าภรรยาตัวเองจะน้อยใจมั้ย เราก็บอกเค้าตลอดว่าเราไม่อยากให้ใครมารู้จักเรา แค่เราทำหน้าที่แม่บ้าน ทำหน้าที่แม่ ทำหน้าที่ดูแลคุณก็พอแล้ว คือเราไม่อยากเพิ่มภาระทางความรู้สึกให้กับสามีตัวเอง”

...

ไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ตอนอยู่ด้วยกัน ทำอะไรบ้าง? “คือเราก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งนะที่แฟนกลับมาแล้วอีกวันแฟนว่าง เราไปดูหนังกันมั้ย เที่ยวโน่นนี่นั่นมั้ย แต่ว่าทุกครั้งที่ไปเราจะแยกกันเดินอยู่แล้ว จะมีแค่โทรศัพท์ที่ไว้สื่อสารกัน
เวลาไปซื้อตั๋วหนังพี่ปอจะไปซื้อก่อน เราก็จะเดินรออยู่ร้านหนังสือ พอซื้อเสร็จเค้าก็โทรมา เราก็บอกว่าให้เอาไปเสียบไว้ที่ล็อกหนังสือแม่และเด็กนะ แล้วเราก็เดินไปเอา คือความรู้สึกแรกมันก็ไม่โอเคหรอก
เห็นคนอื่นเค้าเดินด้วยกันแบบไม่ต้องมาเป็นแบบนี้ แต่อีกความรู้สึกคือเราเลือกแล้วที่จะเป็นแบบนี้ ไม่เห็นจะต้องมานอยด์เลย และเราก็เลือกแล้ว ก็ทำความสุขตรงนี้ให้มันมีได้
มีครั้งหนึ่งเราจะไปเที่ยวกัน แต่จะไม่มีพี่เลี้ยงหรือใครเลยนะ พี่ปอเค้าชอบเวลาที่เราดูแลลูกแล้วเค้ามีความสุข เหมือนไม่ต้องมีใครดูแลแทน แล้วเราขับรถผ่านนครปฐม พี่ปอเค้าบอกว่าร้านนี้อร่อย เราก็บอกว่าลงไปกินสิ แต่เค้าอยากให้โบว์กับมะลิลงไปด้วย
คือที่ร้านคนมันเยอะ เราก็เลยมาคิดว่าจะทำยังไงให้เค้ากินอย่างสบายใจที่ไม่ได้รู้สึกว่าเค้าลงไปกิน แล้วลูกเมียเค้านั่งรออยู่บนรถ เราเลยบอกว่า งั้นเอาอย่างนี้ ให้ไปจอดรถที่ใกล้โต๊ะริมฟุตปาทมากที่สุด แล้วบอกให้เค้าลงไปสั่งเล็กน้ำให้โบว์ด้วย
พอได้มา พี่ปอเค้าก็ยื่นมาให้เราผ่านกระจกรถ แล้วเราก็นั่งกินในรถ ส่วนมะลิหลับอยู่หลังเบาะ เราก็นั่งกินกันผ่านกระจกรถ มองหน้ากัน มันก็สนุกนะ เป็นความรู้สึกที่เราไม่เคยทำแบบนี้ มันก็โอเคนะ”

“ส่วนเที่ยวต่างประเทศ เป็นทริปที่เราได้ไปหลังคลอดมะลิได้ 3 เดือน เป็นทริปฮันนีมูน เราก็จินตนาการเลยว่าโรงแรมจะต้องหรูมาก มีรถมารับ บรรยากาศดีๆ พอไปถึงเสร็จเค้าก็พาเราขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟ พอไปถึงโรงแรมห้องเล็กมากน้ำตาจะไหล พี่ปอเค้าก็บอกเรามาเที่ยว เราไม่ได้มานอน เค้าก็พาเราเดินทุกวัน
คือเราเป็นไขข้อไม่ดีมานานแล้วแต่ไม่ได้บอกเค้า จนวันสุดท้ายก่อนที่จะกลับมันเจ็บหนักมาก เราก็ทรุดลงไปกองกับพื้นแล้วร้องไห้ เค้าก็หันมาถามว่า เป็นอะไร เราบอกเจ็บมากเป็นมา 3 วันแล้ว
เค้าก็ให้เรานั่งรอแล้ววิ่งไปซื้อผ้าพันแผลที่ร้านสะดวกซื้อมาพันให้เรา สรุปก็คือต้องขี่หลังแล้วขึ้นรถไฟกลับโรงแรม ก็ประทับใจค่ะเป็นโมเมนต์ที่ดีของเรา”
ย้อนเวลากลับไปตอนที่พี่ปอเข้าโรงพยาบาล 70 วันนั้นมันเริ่มต้นยังไง? “ตอนแรกน้องป่วยก่อน เราก็ไปเฝ้าไข้กัน แล้ววันที่ 3 พี่ปอก็ป่วยตาม หมอสรุปว่าเป็นไข้เลือดออก ที่นี้รักษาไปมาอาการไม่ดีเลย เลยย้ายโรงพยาบาลไปอยู่รามาฯ หลังจากนั้นก็เริ่มวิกฤติ ตัวเราไม่มีแรงทำอะไรเลย เราไม่ปกติ ร้องไห้ตลอดเวลา
...
แล้วพ่อแม่พี่ปอเค้ายังไม่ร้องไห้เลย เค้าเข้มแข็งมาก เราก็เลยรู้สึกว่าพ่อแม่เค้าอายุเยอะมากแล้ว แล้วนี่เป็นลูกชายเค้าด้วย เค้ายังไม่ร้องเลย เราก็คิดได้และกลับมาดูแลผู้หญิงที่พี่ปอรักมากที่สุดก็คือคุณแม่กับคุณพ่อบ้าง นี่เลยเป็นจุดที่เรานิ่งแล้ว ก็มีคุณหมอมาช่วยดูแลสภาพจิตใจเรา
เวลาผ่านไปใน 70 วันเราก็เจอเหตุการณ์ต่างๆ รู้เลยว่าไม่มีวันที่ไหนบอกว่าเค้าปลอดภัยเลย ตามข่าวที่ออกไปคือไม่มีวันที่ดีเลย มีแต่ทรงตัวแล้วก็ทรุด บางวันอาจจะทรุด แล้วเสียชีวิตแล้วนะ แล้วก็ดีดขึ้นมาใหม่
เราได้เรียนรู้ความอดทนที่คุณปู่คุณย่าสอนโบว์ให้เรามีสติตลอดเวลา จนวันหนึ่งที่หมอบอกว่าไม่ไหวแล้ว ไม่รอดแล้ว ก็เลยเอามะลิออกมา เพื่อให้คนทั้งประเทศรู้ว่า ถ้าพี่ปอเป็นอะไรขึ้นมา คนคนนี้ ลูกสาวคนนี้ คือลูกของ ทฤษฎี สหวงษ์

คือทุกครั้งที่เอามะลิเข้าไป เค้าจะดีขึ้นแล้วยิ้มได้ ตลอด 70 วันพี่ปอไม่สามารถพูดอะไรได้เลย สั่งเสียอะไรใครไม่ได้เลย มันโหดร้ายมาก เราไม่เคยร้องไห้กับเค้าเลย ไม่เคยให้เค้าเห็น
เพราะเรารู้สึกว่า คนที่อยู่ในสภาวะนั้น ถ้าเห็นเราร้องไห้ สภาพจิตใจเค้าจะแย่มาก ถ้าเราพามะลิเข้าไป เราก็จะเต้นให้เค้าดู บางทีก็จะเล่าเรื่องให้เค้าฟัง พยายามทำทุกอย่าง ถ้าจะร้องไห้ก็ไปร้องข้างนอก ไม่ให้ใครเห็น
...
วันที่พี่ปอไป เราอยู่คนเดียว แล้วคุณหมอปั๊มหัวใจอยู่ เราก็รู้สึกว่ามันวันนี้แล้วใช่มั้ย แล้วคุณแม่พี่ปอมาพอดี เพื่อจะบอกว่าจะไปนอนที่บ้านนะ แล้วเค้ามาเจอภาพที่คุณหมอกำลังปั๊มหัวใจพอดี
เราก็กอดคุณแม่ไว้ ไม่อยากให้เค้าดู ณ วินาทีนั้น คุณหมอก็เดินออกมาบอกว่าไม่ได้แล้ว เราก็บอกว่าไม่เป็นไร พี่ปอเค้าเหนื่อยมามากพอแล้ว ให้เค้านอนพักเลย สิ่งที่พี่ปอให้ไว้มันได้อะไรเยอะมาก เค้าเปลี่ยนความคิด ปรับทัศนคติเรา แต่ก่อนการให้ตัวเองมันมีขีดจำกัด พอมาตอนนี้เราได้ให้คนอื่น เค้ายิ้ม เค้ามีความสุขอะ”

หลังจากเราอยู่คนเดียวแล้ว คนก็จะมองว่า เราโสดแล้ว มีเงิน มีตังค์ มีชื่อเสียง มีลูกดังแล้ว เค้าจะมองว่าเราต้องมีแฟนใหม่ แต่งงานใหม่แน่นอน? “โอ๊ย เยอะมากค่ะ ประเด็นพวกนี้ เดี๋ยวก็มีผัวใหม่ มันเสียใจได้ไม่นาน ดังแล้วหยิ่ง ดังแล้วเยอะ ชอบสร้างกระแส คือบอกตรงนี้เลย ไม่มีใครอยากดังเพราะผัวตายนะคะ ถ้าเลือกได้ โบว์อยากกลับไปเป็นแม่บ้านคนเดิมด้วยซ้ำ
เราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆ ยึดครอบครัว คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย ก็จะบอกเค้าตลอดว่า พ่อแม่ไม่ต้องกลัว อนาคตมันคืออนาคต แต่ในตอนนี้ความรักที่โบว์มีต่อพี่ปอยังเหมือนเดิมและมากขึ้น แต่สิ่งที่โบว์ได้มาคือรักคุณปู่คุณย่ามากกว่าเดิม 70 วันที่ผ่านมาคนที่ประคองใจโบว์ก็คือคุณปู่คุณย่า เค้าสอนอะไรโบว์หลายอย่าง
...
ตอนนี้โบว์ไม่ต้องการให้สังคมมาชื่นชมเรา แค่เราดูแลคนที่เรารักสองท่าน ความรู้สึกที่ดีๆ มันก็มากขึ้นด้วย เวลาที่เราเจอข่าวหรือกระแสที่ไม่ดี คุณปู่คุณย่าก็บอกให้เราอดทน เพราะเราไม่สามารถที่จะทำให้ถูกใจใครไปซะทุกอย่าง แต่ให้พยายามยึดความดีและความถูกต้อง”



“อย่างหนึ่งที่โบว์อยากจะบอก ก็คือทุกรายการจะเอาเรื่องแบบนี้มาพูด รู้จักโบว์กันเพราะว่า พี่ปอ ทฤษฎี สหวงษ์ และทุกวันนี้ที่คนยังจำโบว์ได้ เพราะเป็นแม่ของมะลิ โบว์เป็นบุคคลที่อยู่เคียงข้าง 2 คนนี้
ที่ประชาชนรู้จักโบว์ แต่เป็นเพราะพี่ปอและมะลิ เราไม่เคยคิดว่าตัวเองดัง เพราะฉะนั้นความเป็นโบว์ก็ยังเหมือนเดิม ณ วันหนึ่งถ้าเราทำไม่ถูกใจใครก็ต้องขอโทษ”.