รายการ “คลับฟรายเดย์โชว์” ทางช่อง GMM25 3 พิธีกร ดีเจพี่ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา, ดีเจพี่อ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล, อั๋น ภูวนาท คุนผลิน พาไปพูดคุยกับนางร้ายสาว เอมมี่ มรกต กิตติสาระ ถึงเรื่องราวชีวิตตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน รวมถึงเรื่องราวความรัก 11 ปีกับสามี หนุ่ม จิรายุทธ แสงทวีป ที่เป็นความรักที่สมกับแฮชแท็ก #ยิ่งกว่าลมหายใจ ถึงขั้นว่าหากใครคนใดคนหนึ่งจากไปคงอยู่ไม่ได้แน่นอน
ซึ่ง เอมมี่ เผยว่า เข้าวงการมาจากการประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2004 คือตอนนั้นเรียนอยู่อังกฤษ แล้วปีนั้นคุณแม่ประสบอุบัติเหตุเข้า รพ. ก็เลยต้องบินกลับมาดูแลคุณแม่ 3 เดือน แล้วช่วงนั้นมีการรับสมัครผู้เข้าประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สพอดี แม่ก็อยากให้ประกวด เพราะแม่เป็นคนผลักดันมาตั้งแต่เด็กๆ
และเคยมีคนทาบทามให้เข้าวงการตั้งแต่สมัยตอนอยู่อังกฤษตั้งแต่เด็กๆ แต่แม่ไม่ให้เพราะยังเด็ก สุดท้ายก็เลยตัดสินใจสมัครประกวดนางงาม พอรู้ว่าได้ตำแหน่งทุกอย่างมันเร็วมาก จำได้แค่ว่าเราทำไปเพื่อความสุขของคุณแม่ วันนั้นคุณแม่ของหมอออกจาก รพ.นั่งวีลแชร์เพื่อมาดูการประกวด จำได้แม่พยายามลุกขึ้นยืนปรบมือแต่ตอนนั้นยังเจ็บอยู่ หลังจากนั้นก็เตรียมเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์ส และเข้าวงการบันเทิง
...
ความรักครั้งแรกเกิดขึ้นตอนอายุ 17-18 มันเกิดจากตอนเรียนอังกฤษ แต่มี่อยู่ในสังคมไทยส่วนมาก จะมีเพื่อนคนไทยเยอะ ตอนนั้นก็ไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนๆ แต่พ่อแม่ก็ไปเฝ้า ตอนนั้นเลยเป็นที่ขึ้นชื่อในกลุ่มเพื่อนๆ ว่าแม่มาคุมตลอด เราก็อยู่กับเพื่อนๆ แล้วมีรุ่นพี่คนไทยที่เรียนอังกฤษ ซึ่งตอนที่ตนเจอเขาครั้งแรกรู้สึกยี้เพราะไม่อยากเหมือนคนอื่นที่ชื่นชอบเขา
เลยเกิดการท้าพนันว่าถ้าจีบเขาจนเป็นแฟนกันได้เพื่อนจะเลี้ยงข้าว แต่จริงๆ เป็นแผนของเพื่อนทั้งสองฝ่าย ซึ่งในช่วงแรกก็จะไปร้องเพลงคาราโอเกะกัน แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น หลังจากนั้นพฤติกรรมก็ใกล้เคียงคำว่าแฟน แต่พ่อแม่ยังไม่ให้เรียกแฟน ให้เป็นเพื่อนเป็นพี่ไป
ก็คบกันมา 2 ปีกว่าๆ เกือบ 3 ปีได้ แต่จบกันไปคือตอนนั้นเขาเรียนปริญญาโทและต้องทำงาน แล้วเราก็บินกลับมาดูแลคุณแม่ที่เมืองไทยและประกวดนางงามเลยห่างๆ กันไป
พอมาเล่นละครก็มีคนมาจีบบ้าง ส่วนมากจะเป็นนักแสดงมาจีบ ซึ่งต่างจากหนุ่มนอกวงการ เพราะพระเอกมาจีบคือเขามีทุนดีอยู่แล้ว ความพยายามที่จะดูแลเรามันน้อย ถ้าเป็นคนนอกวงการเขาจะใส่ใจเรามากกว่า
ส่วนพระเอกอาจจะมองเราเป็นช้อยส์ของเขา ตอนนั้นที่เริ่มมาถ่ายละครก็มีลูกพี่ลูกน้องมาคุมบ้าง แต่เราก็มีแอบใต้โต๊ะเขาให้ไปที่อื่นบ้าง บางทีเรามีแอบไปเดทบ้างเบาๆ แต่ลึกๆ เราไม่ได้คิดจะคบพระเอก และไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้เพราะรู้สึกไม่จริงใจ เราชอบคนที่รักเดียวใจเดียว
เข้าวงการมาได้ 2-3 ปีก็ได้เจอพี่หนุ่ม ซึ่งเป็นสามีในปัจจุบัน วันนั้นไปแคสงานแล้ว ผจก. ไม่ว่าง เราก็ไป แล้วเขาก็บอกว่าพี่หนุ่มจะมาแคส พอได้เจอเขาก็รู้สึกว่าเขามีเสน่ห์มาก ตอนนั้นแคสงานไม่ถึง 15 นาทีเพราะตอนนั้นไปแคสงานยาสระผม แล้วผมเสียเยอะมาก เขาคงเพลียกับเรา
สรุปแล้ววันนั้นเขาแคสงานเราแค่ 15 นาที ที่เหลือคุยกัน 3 ชม. ซึ่งเขามาบอกตอนนั้นว่าชอบเรามากตอนเห็นเราประกวดและเป็นพิธีกรในทีวี หลังจากนั้นก็แลกเบอร์กันเพราะว่าจะคุยเรื่องเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งถ้าวันนั้นผู้จัดการไปด้วยคงไม่ได้แลก มันคงเป็นพรหมลิขิตจริงๆ
จำได้ว่าตอนที่แยกออกมาเพราะเขาต้องทำงานต่อ ถ้าไม่มีงานต่อน่าจะอยู่คุยกันยาวๆ สรุปวันนั้นไม่ได้ถ่ายโฆษณา แต่ได้สามีในปัจจุบันมาแทน ตอนที่ขับรถออกมา เขาก็ส่งข้อความว่ายินดีที่ได้รู้จัก แล้วคุย sms ไปมาแล้วก็โทรคุยกันยาวจนพี่ๆ บ่นว่าจะคุยอะไรนักหนา
แล้วตอนนั้นต้องไปเดินแบบต่อ เขาก็รอสาย พอเสร็จกลับมาเขาก็ยังรอสายอยู่ หลังจากนั้นไม่วางสายไป 3 วัน ใครตื่นก่อนก็ทักทายกัน คือตอนนั้นรู้สึกเลยว่าเขาเป็นคนที่ใช่เลย
แต่ตอนที่วางสายก็เพราะว่าเริ่มกลับมาอยู่ในโลกความเป็นจริง ต่างคนต่างทำงาน ตอนนั้นมี่ขอวางก่อน ถามว่าอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าใช่ คงเป็นเพราะว่ามีอะไรคล้ายกันเยอะมาก
...
คุยกันแล้วมันคลิกไปหมดเลยค่ะ ตอนนั้นไม่เช็กประวัติเลยว่าเขาเจ้าชู้เลย เราใช้ความรู้สึกเราเข้าสู้ เพราะถ้าเช็กอาจจะเจอเรื่องที่ทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบ ตอนนั้นไม่มีแม้แต่รู้สึกเอะใจอะไรเลย เพราะเราใสๆ ไปหมดทุกเรื่อง
ดูเหมือนเป็นความรักที่ลุ่มหลงมาก แต่กลับคบกันนานมากก่อนแต่งงานคือคบ 11 ปี และอายุห่างกัน 13 ปี แต่ตอนที่คบกันระหว่าง 11 ปีมีเลิกกันไป 2 ปี คือมี 2 ปีที่ไม่เรียกว่าแฟน เป็น 2 ปีที่ค่อนข้างสับสนใจชีวิต ช่วงคบ 4-5 ปีแรกไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่เรื่องที่ทะเลาะกันคือเรื่องความคิดเรื่องอนาคต
ซึ่งเราอยากมีครอบครัวมีลูก แต่เขาไม่อยากมีเลย พอมองกลับไปตอนนี้เราก็เข้าใจเขาแล้วเพราะว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ถ้าหากว่ามีลูกมันก็จะมีความกังวลหลายๆ อย่าง พอคบกันไป 6-7 ปีก็ทะเลาะกันแล้วตนไม่ไหวแล้ว เราก็คิดว่าในเมื่อไม่โอเคก็เลิกกันไปเลย เพราะตนมองเรื่องอนาคต ตนอยากเป็นแม่คน อยากมีลูก
ตอนนั้นเสียใจมาก ร้องไห้เป็นเดือน เสียใจว่าฟ้าทำแบบนี้กับเราทำไม ตอนนั้นไม่ต่อรองเพราะทะเลาะมาเยอะแล้ว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็รับรู้ว่าคบกัน และพอมีเรื่องทะเลาะก็เล่าให้ฟังตลอด เขาก็แนะนำให้ถอยออกมาคนละก้าวให้คิดว่าเราอยู่โดยไม่มีเขาได้ไหม แล้วเขาอยู่โดยไม่มีเราได้ไหม ตอน 2 ปีที่ห่างไปก็ไปคุยกับคนอื่นบ้าง
ช่วงที่เลิกเพื่อนต้องพาไปโน่นนี่ จนเริ่มมีคนเข้ามาจีบบ้าง เราก็ส่องตลอดว่าเป็นยังไง แต่ลึกๆ ก็อยากกลับมาคืนดี แต่ไม่คาดหวังมากเพราะกลัวเสียใจ เขาเองตอนนั้นก็ยังดูแลเราอยู่ โดยเฉพาะเรื่องเติมน้ำมันรถ เขาจะคอยดูแลตลอด ซึ่งเขาก็รู้เรื่องเรามีหนุ่มๆ มาจีบบ้าง แต่รู้มาจากคนอื่น แล้วเอามาถามเรา
แต่พอเราไปคุยกับคนอื่นแล้วมันไม่เวิร์ก แล้วเหมือนเขาจะไปแล้ว เราก็รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ต้องเรียกให้เขากลับมา เลยโทรไปหาเขานัดกินข้าว แต่เขาไม่ว่างเพราะติดประชุมหุ้นส่วน แต่เพื่อนๆ หุ้นส่วนก็เข้าข้างเราอยู่แล้ว เราก็เลยบุกไปที่ห้องประชุมเลย เพื่อนๆ ของเขาก็เลยยอมให้เรา เหมือนตอนนั้นเราลดศักดิ์ศรีเราลงมา
...
เพราะเรารู้สึกว่าเราจะเสียเขาไปไม่ได้ หลังจากนั้นก็เลยคุยกันว่าในเมื่อถ้าเราอยากมีลูก แล้วเขาไม่อยากมี เราเจอกันครึ่งทางว่า 2 ปีต่อจากนี้ไปเราจะเปิดอู่มีลูก แต่ถ้า 2 ปีผ่านไปแล้วไม่มีก็อยู่แบบไม่มีลูก
ซึ่งตอนหลังตนเข้าใจแล้วว่าที่พี่หนุ่มไม่อยากมีลูกเพราะว่าต้องมีการวางแผนเรื่องการเงินและเรื่องอื่นๆ เยอะมาก แล้วเรากับเขาเองก็เป็นคนชอบเที่ยวด้วย อีกทั้งอายุที่ห่างกัน เขาต้องเกษียณก่อนเรา เขาก็ไม่อยากนั่งเลี้ยงลูกตอนอายุมากแล้ว
แต่ตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงปฏิบัติการ แต่ลดเหลือ 1 ปี โดยแลกกับของที่อยากได้ ตอนนี้ผ่านไป 7 เดือนแล้ว เหลืออีก 5 เดือน ช่วงที่ขอเขาคืนดี เขาเป็นคนเอ็นดูเรา ตอนนั้นเราง้อเขาหนักมาก ใช้สารพัดวิธีง้อ แต่เขาก็ขำเพราะความที่เอ็นดูเรา
ส่วนคนที่เราไปคุยอยู่ตอนนั้นก็มีเพื่อนๆ ไปช่วยเคลียร์ให้ ส่วนเขาเองก็มีคนเข้ามาเหมือนกัน ตอนนั้นว่างๆ เราก็จะเอามือถือเขาไปอันฟอลโลว์ผู้หญิงที่เขาคุยอยู่ พอกลับมาคืนดีก็เลยรู้หมดว่าใครไปอันฟอลโลว์ไอจี
หรือใครเป็นคนทำให้รถเสียจนเขาไปหาผู้หญิงที่คุยอยู่ไม่ได้ ซึ่งก็เป็นฝีมือตนใช้ให้คนอื่นไปช่วย มี่ว่าความรักทำให้มี่เข้าใจตัวเขาว่าเรารักเขามากแค่ไหน แล้วเราไม่อยากให้เขาทำงานหนักมากเพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูกคนนึง
...
ส่วนแฮชแท็ก #ยิ่งกว่าลมหายใจ เกิดจากที่รายการคลับฟรายเดย์มาถามตน ที่บอกไปก็เป็นเพราะเขาเป็นยิ่งกว่าลมหายใจ เรารักเขามากจนไม่ต้องมีคนอื่นก็ได้ เผยทำงานทุกวันนี้เพื่อเอาเงินมาให้สามีหมด ซึ่งตรงข้ามกับหลายครอบครัว เพราะพี่หนุ่มเก่งเรื่องบริหาร
ส่วนตนโง่เลขมาก แล้วเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เงินเขาก็เหมือนเงินเรา ทุกวันนี้ทำงานก็ไม่เคยเห็นเงินเลย เวลา ผจก.รับงานแล้วได้เงินก็ส่งต่อให้พี่หนุ่ม แล้วพี่หนุ่มโอนเงิน 50,000 บาท/เดือน มาให้เรา แต่บางทีเราก็รูดบัตรเครดิตไปเยอะจนบางทีเขาก็บ่นบ้าง
แต่พี่หนุ่มเป็นคนน่ารัก ว่างจากทำงานเขาก็ทำอาหารให้ทาน แล้วเขาเรียนกอร์ดองเบลอมาด้วย เขาก็ทำอาหารคลีนให้เราทานแล้วเอาไปทานที่กองถ่ายด้วยเพื่อควบคุมน้ำหนัก แต่เราก็พยายามที่จะเป็นแม่บ้านบ้างด้วยการโทรถามว่าจะไปซุปเปอร์จะเอาอะไรไหม เขาก็บอกว่าซื้อมาหมดแล้ว
กับเรื่องที่เขาเรียกว่า My Princess จริงๆ คงเป็นเพราะเขาดูแลเราทุกอย่าง แต่เขาก็คงเรียกประชดบ้างประมาณว่าจะทำอะไรในบ้านบ้างไหม ยอมรับเมื่อก่อนดื้อรั้น หัวแข็ง อีโก้สูงมาก
แต่เขาเป็นคนที่น่ารักและดูแลเรา คนอาจมองว่าเราเอาแต่ได้ แต่ถ้าเราไม่ใช่คนน่ารักระดับนึงแล้วเขาก็คงไม่รักเรา และจริงๆ แล้วเราก็เอาใจใส่กันและเราก็ให้เขาเยอะเหมือนกัน
เขาเองโตอเมริกาแบบไม่มีพ่อแม่ พอแต่งงานเขาอยากแยกออกมาจากครอบครัว ส่วนเราโตมาอยู่กับพ่อแม่ เราก็พยายามทำให้เขากับครอบครัวอยู่ด้วยกันได้
สิ่งที่เราไม่พอใจเขาคือเรื่องการกิน บางทีเราเป็นคนสนุกกับการกิน แต่เขาจะเตือนว่ากินเยอะไปแล้วนะ บางทีเราก็จะบอกว่าเดี๋ยวจะกินให้อ้วนเลย บางทีสั่งพิซซ่า 8 ชิ้น เขากินชิ้นเดียว แต่เรากิน 7 ชิ้น เขาก็บ่นว่าบางทีทำตัวไม่งามนะ
ส่วนเรื่องที่เราตั้งใจจะทำคือจะไปเรียนทำอาหาร และจะทำตัวเป็นคนน่ารักในสายตาพี่หนุ่มตลอดไป กับเรื่องแฮชแท็ก #ยิ่งกว่าลมหายใจ เราเคยบอกเขาแล้วว่าถ้าใครคนหนึ่งต้องตายก่อนขอให้เป็นมี่ตายก่อน
ส่วนพี่หนุ่มบอกว่าพี่หนุ่มก็อยู่ไม่ได้ แต่ก็จัดการตัวเองให้ตายได้ อย่างการมารายการนี้เราก็กังวลที่เขาไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เพราะเขาบินไปญี่ปุ่น พออยู่คนละประเทศก็รู้สึกว่ามันไกล ซึ่งเวลาที่เขาไม่อยู่ ตนก็พยายามทำงาน ไม่อยู่บ้าน เพื่อทำให้ตัวเองยุ่งๆ
สิ่งที่อยากบอกเขาแต่ไม่เคยบอก ส่วนมากจะบอกทุกเรื่องทุกอย่าง แต่อาจมีบางข้อที่ไม่ค่อยพูดเพราะมันตลกตัวเอง มันอายที่จะพูด แต่อยากบอกว่าซาบซึ้งกับทุกอย่างที่เขาทำให้ แม้บางครั้งที่เราอาจทำเหมือนไม่ซาบซึ้ง แต่จริงๆ เราซาบซึ้งที่เขาทำให้ทุกอย่าง
ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เราเป็นทุกวันนี้ ทำให้รู้สึกภูมิใจในตัวเอง ส่วนนิยามความรัก มี่ว่าสำหรับคู่มี่เราเหมือนกันมากจนชอบทุกเรื่องที่เหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนเราก็เติมเต็มกัน ทำยังไงก็ได้ที่ทำให้อยู่ร่วมกัน ถ้าตอนนั้น 2 ปีที่ผ่านมาไม่กลับมาคืนดีกันก็คงเสียดายมาก แต่คงเป็นพรหมลิขิตที่กำหนดมาให้เป็นแบบนั้น.