เป็น 12 ชั่วโมงที่ครบรส
บ้าคลั่งแต่ก็บันเทิงมาก
ส่วนตัวคิดว่าเป็นซีรีส์ซอมบี้ที่ดีที่สุดจาก Netflix หลังจาก Kingdom ซีซั่น 1
ฮอตฮิตสุดเวลานี้ คงหนีไม่พ้น “All of Us Are Dead” ซีรีส์ซอมบี้ สัญชาติเกาหลี ที่ทำสถิติติด Netflix Top 10 ใน 91 ประเทศ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งครั้งแรกที่เห็นข่าวเราไม่ได้แปลกใจมาก เพราะกระแส K-Zombie ในระยะหลัง (หลังปรากฏการณ์ Train to Busan) ก็ค่อนข้าง Mass หรือเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างจากผู้ชมทั่วโลก จนหลายประเทศแห่กันทำแข่ง จึงไม่น่าแปลกใจว่า “All of Us Are Dead” จะฮิตติดชาร์จในเวลาอันรวดเร็ว ส่วนตัวแอบคิดด้วยว่าอาจจะแค่ช่วงแรกที่จะฮิต เพราะหลายเรื่องในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นแบบนั้น แต่ใครจะคิดล่ะว่ามันจะดีกว่าที่คิด!
“All of Us Are Dead” เป็นซีรีส์ที่สร้างจากเว็บตูนชื่อดังของ “จูดงกึน” เป็นเรื่องราวของกลุ่มนักเรียนที่ต้องฝ่าฝูงซอมบี้คลั่งออกจากโรงเรียนเพื่อเอาตัวรอดไปสถานที่กักกัน ซึ่งกว่าจะหนีตายได้ก็ต้องผ่านเรื่องราวเลวร้าย สะเทือนขวัญ และสะเทือนใจไปหลายยก กว่าจะเหลือผู้รอดชีวิต ซึ่งผู้กำกับ “อีแจคยู” และนักเขียนบท “ชอนชองอิล” ก็ได้หยิบเรื่องราวนี้มาสร้างเป็นซีรีส์ 12 ชั่วโมงสุดระทึก ที่ทำเอาเราต้องกำรีโมตแน่น เพราะทำใจกดปิดไม่ได้
...
อะไรมันจะสนุกขนาดนั้น?
หลายคนคงถามแบบนี้ เราก็เป็นคนหนึ่งที่แอบคิดแบบนั้นก่อนดู เพราะเอาเข้าจริงก็ตามดูหลายเรื่องหลังจากปรากฏการณ์ “Kingdom” แต่ก็ไม่ได้ปลื้มอะไรนักหนา แต่เรื่องนี้ทำให้ผิดคาดไปเหมือนกัน เพราะเนื้อเรื่องสนุก ตัดกระชับ แบ่งสัดส่วนได้ดี คาแรกเตอร์มีความกลมทุกตัว (แม้แต่ตัวที่ออกมาไม่กี่ฉาก) ที่สำคัญมีการทิ้งระเบิด...เอ๊ย...ทิ้งไฮไลต์ฉากเด็ดตอนท้ายทุกตอนทำให้เราอดใจไม่ไหว ต้องดูต่อรวดเดียวจนจบ!
โดดเด่นที่สุดสำหรับเราคงเป็นกลุ่มนักแสดง และการออกแบบคาแรกเตอร์ ที่ทำได้ดีสมเป็นซีรีส์สัญชาติเกาหลี ที่มีความแข็งแรงเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ละคนมีคาแรกเตอร์ชัดเจน มีความเป็นมนุษย์มากจนน่าตกใจ มีแรงผลักที่เข้าใจได้ไม่ยาก ทำให้เราค่อนข้างเชื่อในตรรกะการกระทำ ซึ่งทั้งหมดทำให้การผูกเรื่องมัน make sense ในตัวมันเอง แม้จะมีบางจุดที่ดูเหมือนตั้งใจจะทวิสต์มากไปหน่อย แต่ก็นับถือในความพยายามจะไม่ซ้ำ และความพยายามจะทำให้เรื่องไม่น่าเบื่อ เพื่อตรึงคนดูไว้จนจบให้มากที่สุด
ไม่ใช่แค่ทีมนักแสดงเด็กที่เป็นจุดเด่น น่าสนใจว่า “All of Us Are Dead” เป็นซีรีส์ที่มีการรวมตัวของนักแสดงชั้นนำอีกหลายคนที่คอซีรีส์หรือหนังเกาหลีก็น่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาพวกเขาดี แต่น่าเสียดายที่หลายคนอาจจะไม่มีบทบาทเด่นมากในซีซั่นนี้ ก็น่าจับตามองว่าพวกเขาและเธอเหล่านั้นจะมีบทบาทมากขึ้นในซีซั่นถัดไปหรือไม่
อีกความแข็งแรงของ “All of Us Are Dead” คงเป็นการออกแบบฉากหนีตายที่ทำเราพูดไม่ออกไปหลายฉาก แน่นอนว่าหลายฉากก็เป็นการหนีตายฝ่าฝูงซอมบี้แบบเดิมๆ ที่เราคุ้นกันดี แต่ก็มีฉากไฮไลต์หลายฉากเหมือนกันที่เราต้องยอมรับว่าเป็นสุดยอดแห่งการสร้างสรรค์ ซึ่งแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเท่าไหร่ แต่ก็อีกนั่นแหละ เป็นอีกครั้งที่เนื้อเรื่อง การออกแบบตัวละครและการกระทำต่างๆ มัน make sense คือในความเป็นเด็กนักเรียน ม.ปลาย ที่กล้าได้กล้าเสีย และเต็มไปด้วยพลังแห่งความหุนหันพลันแล่น การออกแบบวิธีหนีแบบนี้ก็ดูเหมาะสมดี ใครอยากรู้ว่ามีฉากไหนบ้าง ต้องไปตามดูกันเองนะ
...
นอกจากการออกแบบฉากหนีตายที่เราน่าจะไม่เคยเห็นจากซีรีส์ซอมบี้เรื่องไหน เราจะได้เห็นการดีไซน์คาแรกเตอร์ใหม่อย่าง “เสี้ยวบี้” หรือคนที่โดนซอมบี้กัดแต่ไม่กลายร่าง ซึ่งถือเป็นความแปลกใหม่หนึ่งของซีรีส์แนวนี้ เพราะจะว่ามันกลายพันธ์ุก็ไม่เชิง น่าจะเรียกว่ามี “วิวัฒนาการ” ในการอยู่ร่วมกับเซลล์ของมนุษย์มากกว่า ส่วนตัวคิดว่าทำให้เรื่องมันคาดเดาได้ยากขึ้น เพราะเอาจริงๆ จนจบก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าทำไมถึงมีคนบางคนที่กลายเป็น “เสี้ยวบี้” ไม่ได้กลายพันธ์ุหลังโดนกัดเหมือนเคสทั่วๆ ไป
รวมๆ เอาเป็นว่างานออกแบบศิลป์ และงานโปรดักชั่นดีงามมาก อลังการ และจัดเต็มตามมาตรฐานเกาหลี ที่เป็นหนึ่งในผู้นำในการสรรค์สร้างซีรีส์ซอมบี้ แต่ที่ทำให้เราประทับใจมากกว่าเดิม คือการสอดแทรก Soft Power ในแง่มุมต่างๆ ไปในเนื้อหา โดยเฉพาะการสะท้อนปัญหาความรุนแรงในโรงเรียน ปมปัญหาช่องว่างระหว่างวัย ทัศนคติในการใช้ชีวิต รวมไปถึงที่อัปเดตสุดๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องการรับมือกับวิกฤติโรคระบาดที่โหมกระหน่ำแบบไม่ทันตั้งตัว
...
ความกลัว(ตาย)ผลักให้เราเป็นอะไรได้หลายแบบ
น่าจะเป็นหนึ่งในสารหลักที่ซีรีส์ “All of Us Are Dead” อยากสื่อสาร เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายๆ เรื่องของซีรีส์ซอมบี้ก็สะท้อนให้เห็นเรื่องนี้ รวมทั้ง “Walking Dead” ซีรีส์ซอมบี้เรื่องดังจากฝั่งอเมริกา แต่ส่วนตัวเราคิดว่า “All of Us Are Dead” ทำได้ชัดกว่าเรื่องอื่น โดยถ่ายทอดผ่านตัวละครเด็กมัธยมที่ไม่ได้ปกปิดหรือพยายามซ่อนสิ่งที่ตัวเองคิดแม้แต่น้อย คาแรกเตอร์ที่ชัด บวกกับแรงผลักที่กดดันถึงขีดสุด แม้จะน่าสมเพชเวทนาในหลายฉาก แต่ก็เป็นการกระทำที่เรียลดี...คนเรามันก็เป็นไปได้หลายอย่างจริงๆ นั่นแหละเพื่อเอาตัวรอด
อีกเรื่องที่เด่นชัดในครึ่งหลัง คือเรื่องการรับมือวิกฤติโรคระบาดที่ทำให้ทุกอย่างโกลาหลในแบบที่ไม่เคยมีใครคิดถึง (หรือประเมินความเสียหายได้) เราจะเห็นภาพสะท้อนผลพวงจากการแก้ปัญหาต่างๆ ของทางการ ที่แม้จะอ้างเหตุผลทำเพื่อความปลอดภัยของคนส่วนใหญ่ แต่ผลลัพธ์ที่ตามมากลับเป็นเรื่อง “น่าไม่อาย” ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เอาจริงๆ มันก็พอเข้าใจได้ เพราะทุกคำสั่งในช่วงวิกฤตก็มักจะมีจุดอ่อน แต่ก็ถือว่า impact มากอยู่ดี ทำให้ฉุกใจคิด หรืออดคิดไม่ได้ว่ามันน่าจะมีทางออกหรือวิธีที่รับมือได้ดีกว่านี้
...
รวมๆ เราว่าหนังโปรดักชันดี เนื้อเรื่อง บทและตัวละครก็ถูกออกแบบมาได้อย่างดี ปมปัญหาต่างๆ มีความ make sense ในตัวของมันเอง ซึ่งอาจจะมีสะดุดบ้างแต่เราว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เข้าใจและให้อภัยได้ เพราะมีจุดเด่นอื่นๆ ช่วยกลบ โดยเฉพาะการสอดแทรกและสะท้อนปัญหาต่างๆ ที่ทำได้อย่างแนบเนียน ทำให้เราสะอึกก็หลายจุด จนอดหันมาย้อนดูสถานการณ์รอบตัวไม่ได้ว่าเราเคยทำอะไรแบบนั้นหรือเปล่านะ...
คอ K-Zombie ต้องไม่พลาด รับรองว่าเลือดสาดและดราม่ามากเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมันมีสาระดีๆ ซ่อนอยู่นะ เป็น 12 ชั่วโมงแห่งความบ้าคลั่งที่คุ้มค่า
มาดามอองทัวร์
Twitter: @MadamAutuer