หนังที่จะทำให้เรามองตำนานไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!!
แค่ชื่อ A24 ก็ทำให้คาดเดาไปต่างๆ นานา ว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดา แล้ว “The Green Knight” ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะมหากาพย์ตำนานเรื่องนี้เล่าได้ไม่ธรรมดาจริงๆ
“The Green Knight” เป็นเรื่องราวของ “เซอร์กาเวน” (เดฟ พาเทล) หลานชายของคิงอาเธอร์ กษัตริย์ในตำนานที่หลายคนน่าจะคุ้นชื่อกันดี กับหนทางพิสูจน์ความกล้าและความเป็นอัศวินของเขา
...
ทำไมต้อง “เซอร์กาเวน”?
ตำนานอัศวินโต๊ะกลมไม่ได้มีแค่ “คิงอาเธอร์” แต่มี “เซอร์กาเวน” อัศวินโต๊ะกลมอีกคน ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเขาเป็น “อัศวินขาใหญ่” ได้เป็นอัศวินเพราะเป็นหลานชายของคิงอาเธอร์
การเป็น “อัศวินขาใหญ่” ทำให้สถานะของ “เซอร์กาเวน” (ในตำนาน) ถูกมองได้หลายแบบ ซึ่งก็เหมาะอย่างยิ่งแก่การถูกเลือกมาตีความ(อย่างฉูดฉาด)ในเรื่องนี้ เพราะน่าจะทำให้เรื่องน่าเชื่อถือขึ้น ทำให้ “บทพิสูจน์ความกล้าและความเป็นอัศวิน” มีความหมาย แล้วเราอาจได้มุมมองใหม่ๆ กับการเสพตำนาน...ว่าบางทีเรื่องบางเรื่องก็มี แค่ไม่ถูกเล่า!
พลังการเล่าเรื่อง การตีความตำนานที่แตกต่าง
“เซอร์กาเวน” คือใครกันแน่?
เขาเป็นอัศวินที่แท้ หรือเป็นอัศวินที่ได้ดี เพราะเป็นหลานชายของคิงอาเธอร์?
น่าจะเป็นประเด็นคำถามหลักๆ ของเรื่องนี้ แต่จะเล่ายังไงให้ผู้ชมได้คำตอบ?
แน่นอนว่าคงไม่ได้เล่ากันแบบตำนานธรรมดา แต่เลือกจะ “ตีความ” เพิ่มนิด เติมความดาร์กหน่อย ผสมผสานทางเลือกในเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งแม้จะทำให้เราสับสนบ้าง แต่มันก็กลมดีนะสำหรับเรา ทำให้เส้นเรื่องดูใกล้ความเป็นคนจริงๆ มากขึ้น...มากกว่าการเล่าเรื่องตำนานตาม “ขนบ” ที่เรามักคาดเดากันได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง
...
เอาง่ายๆ ว่าหนังเลือกเล่าให้ “เซอร์กาเวน” มีความเหมือนคนจริงๆ มากขึ้น เพราะเขาไม่ได้เป็นแค่ตัวละครที่มีคาแรกเตอร์แบนๆ คาดเดาได้ แต่เขาก็มี “รัก โลภ โกรธ หลง” เหมือนคนทั่วไป และเขาก็ทำผิดได้ เลือกผิดได้ ทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
...
นอกจากตัวละครที่ดีไซน์ใหม่ให้ใกล้เคียงคนจริงๆ บทพิสูจน์ต่างๆ ก็เข้าถึงได้มากขึ้นด้วย แม้จะมีวิธีการหรือองค์ประกอบเหมือนการเล่าตำนานที่เราคุ้นเคย รวมถึงภาษากวีเก่าๆ ที่บางทีก็เข้าใจยาก แต่ก็แฝงด้วยความเรียลที่ร่วมสมัย รวมถึงการตั้งคำถามที่บางทีก็อดยอกแสยงในอกไม่ได้ว่าเหมือนชีวิตจริงในปัจจุบันจังเลย…อุ๊บส์!
เป็นหนังตำนานที่แฟนตาซีและฉูดฉาดมาก
ไม่ใช่แค่การตีความตำนานที่ให้ประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ภาษาหนัง ภาษาจากภาพของหนังเรื่องนี้ก็แหวกภาพในหนังตำนานที่เราคุ้นเคยมาตลอดชีวิตด้วย
ส่วนตัวคิดว่าเหมือนเรากำลังเสพงานศิลปะดาร์กๆ เต็มไปด้วยความเศร้า ความกลัวและความตาย แต่มันก็สวยและฉูดฉาดจนเราละสายตาไม่ได้
ถ้าให้พูดรวมๆ ก็คือ “The Green Knight” เป็นหนังที่ภาษาหนังดีมาก เพราะใช้ทุกองค์ประกอบศิลป์ที่มี รวมถึงดนตรีประกอบในการเล่าเรื่อง ทั้งแบบตรงไปตรงมาและแบบที่อยากจะเสียดสี
เอาเป็นว่าถ้าอยากยกระดับประสบการณ์การดูหนังมหากาพย์ตำนาน เราขอเชิญชวนให้มาลอง แม้ว่าหนังอาจจะไม่จริตสาย Mass คือดูไม่ง่าย(แต่ก็ไม่ยากเกินความพยายาม) แต่หนังก็เล่าได้ดี ถ้าตั้งใจดู คิดตามไปเรื่อยๆ รับรองว่าจะได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ เกี่ยวกับการเสพตำนานแน่ๆ
มาดามอองทัวร์
Twitter @MadamAutuer