งานรีวิวซีรีส์กลับมาอีกตามที่เคยสัญญา หลังจากหายไปตั้งสติ...เอ๊ย...รวบรวมความคิดอันกระจัดกระจายของตัวเอง วันนี้เราขอนำเสนอซีรีส์เกาหลีแนวที่ชอบมากที่สุด ซึ่งก็คือแนวสืบสวนสอบสวน
อย่างที่เคยเกริ่นแล้วในภาค 1 ว่าแนวสืบสวนสอบสวนของพี่เกานั้นจัดว่าไม่ธรรมดา มีความโดดเด่นมาก โดยเฉพาะปมของเรื่องที่มักดุดัน (และกดดัน) มากเสมอ บวกกับเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องที่แม้จะสลับซับซ้อน แต่ไม่สับสนหรือวกวนเหมือนที่ซีรีส์สัญชาติอื่นๆ มักจะประสบ
ส่วนตัวเราคิดว่าแนวสืบสวนสอบสวนนี้เป็น “ของแข็ง” ของพี่เกาทีเดียว เรามีโอกาสดูเยอะมาก แต่ที่ชอบที่สุด แบบให้ A+++ และเลือกมานำเสนอวันนี้มี 3 เรื่องด้วยกันค่ะ มาค่ะ...เริ่มด้วยเรื่องที่ชอบที่สุดอย่าง “Stranger” (2017)

“Stranger” (2017)
เป็น 1 ใน 10 ซีรีส์เกาหลีที่เราชอบตลอดกาล จำได้ว่าตอนดูครั้งแรกไม่ได้ตั้งใจ แต่การดำเนินเรื่องที่น่าสนใจก็สะกดเราได้ตั้งแต่ตอนแรก!
...
แน่นอนว่าช่วงแรกๆ อาจจะมีความเนือยบ้างตามสไตล์ซีรีส์พี่เกา เรื่องนี้ 15 นาทีแรกก็เนือยค่ะ เพราะเขาพยายามจะแนะนำตัวละครหลักอย่าง “ฮวังชีมก” (รับบทโดย โชซึงอู) อัยการหนุ่มหน้าตายว่าเป็นใครมาจากไหน และเขามี “ความพิเศษ” อย่างไร...
ความพิเศษของ “ฮวังชีมก” ก็คืออาการ “Lost of Empathy” หรือ “อาการสูญเสียความรู้สึกร่วมที่มีต่อผู้อื่น” เรียกง่ายๆ ว่าพวกไร้อารมณ์นั่นเอง ซึ่ง...มันประหลาดมาก! ตัวเอกประเภทไหนกันจะเป็นพวกไร้อารมณ์
เอาล่ะ...ในความประหลาดมันก็มีเรื่องดีๆ เพราะไอ้คุณสมบัติไร้อารมณ์นี่แหละทำให้ชีวิตการเป็นอัยการของเขาโดดเด่น...จนแทบโดนเด้งจากสำนักงานอัยการ!! เพราะเขาไม่มีอารมณ์ เขาก็เลยใช้เหตุผลหรือตรรกะมองทุกเรื่องและทุกอย่างที่ผ่านตาเขา

แค่ตัวละครหลักก็น่าสนใจแล้ว คนเถรตรงอย่างอัยการ “ฮวังชีมก” จะเอาชีวิตรอดจากวงจรอุบาทว์และการฆาตกรรม(ต่อเนื่อง) ปริศนาได้ยังไง ตัวละคร(หลัก) ร่วมของเรื่องนี้ก็น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะตัวร้ายที่บอกเลยว่าไม่ธรรมดา เป็นตัวละครสีเทาอ่อนจนถึงเทาเข้มที่สะท้อนชีวิตจริงได้ดีทีเดียว คือ...กลมมาก ทุกตัวมีแรงผลักและมีปม และเราก็น่าจะเคยเห็นคน type แบบนี้อยู่บ้างในชีวิตจริง ทำให้เรื่องราวและเงื่อนปมที่สร้างขึ้นมามัน “make sense” ในตัวของมันเอง ทั้งในเรื่องของความเรียลและ reaction ของตัวละคร

พักเรื่องตัวละครไว้ก่อน มาที่อีกจุดเด่นของเรื่องกันบ้าง...ส่วนตัวเราคิดว่าเป็นเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องที่สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน แต่ไม่งงนะ...ซึ่งมันเทพตรงนี้ เราไม่มีทางเดาถูกเลยว่าเรื่องมันจะ twist ไปทางไหน ที่สำคัญ...มัน twist ทุกตอนค่ะ!
เนื้อเรื่องหลักๆ เป็นการแฉเรื่องทุจริตในวงอัยการ การรับสินบนที่ “สับขาหลอก” กันได้แนบเนียนมาก...ใครจะคิดล่ะว่าการตายของอดีตนักธุรกิจคนหนึ่งในบ้านตัวเองจะพาเราไปถึงการเปิดโปงการทุจริตในแวดวงอัยการและข้าราชการชั้นสูงได้
...
อัยการ “ฮวังชีมก” และทีมร่วมสืบช่วยกันปะติดปะต่อ “จิ๊กซอว์” หลายชิ้นจากการตายของนักธุรกิจคนหนึ่งไปสู่การแฉการทุจริตในวงการข้าราชการและอัยการชั้นสูงได้ยังไง ถือเป็น key success ของเรื่องนี้ทีเดียว ทั้งการผูกเงื่อนปม หลักฐานที่ทิ้งไว้และ “ตัวละครลับ” ค่อยๆ เผยโฉมเรื่อยๆ ทำให้เราลุ้นตัวโก่งแทบทุกครั้งว่าเรื่องมันจะไปถึงไหน
จะว่าไปอัยการ “ฮวังชีมก” สำหรับเราก็เหมือนตัวละครซุปเปอร์ฮีโร่ ที่มีปมในอดีต มีชีวิตที่แปลกแยกและเงียบเหงาเพราะเป็นคนไร้อารมณ์และความรู้สึก แต่ก็เพราะสิ่งที่เขามีและเป็นทำให้เขาแก้ปมปริศนาต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาให้กลายเป็นเรื่องฉาวขึ้นมาได้
เรียกว่าองค์ประกอบหลักๆ ทำออกมาได้ดี ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้สนุกและลุ้นระทึกทุกตอน อาจมีรายละเอียดและศัพท์เทคนิคไม่คุ้นหูในช่วงแรก แต่ดู 2-3 ตอนก็น่าจะปรับตัวได้ มีอารมณ์ร่วมตามได้ไม่ยาก ส่วนตัวเราชอบมากเพราะท้าทาย skill ในการดูของเรา แต่ถ้าใครไม่คุ้นเคยกับแนวนี้แต่อยากลอง ก็ขอแนะนำอีก 2 เรื่องที่เราจะนำเสนอต่อมาค่ะ เริ่มด้วยเรื่องนี้ก่อนเลย “Tunnel” (2017) เพราะน่าจะดูง่ายกว่า

...
“Tunnel” (2017)
เรื่องนี้ผสมผสานแนวแอ็กชั่น สืบสวนสอบสวนและแฟนตาซี!!
ใช่แล้วค่ะ มันมีความแฟนตาซีเพราะตัวเอกของเรา “พัคกวังโฮ” (รับบทโดย ชเวจินฮยอก) ตำรวจสายสืบผู้เลือดร้อนต้องข้ามเวลาตามมาจับฆาตกรต่อเนื่องในโลกอนาคต
จะว่าโลกอนาคตก็พูดไม่เต็มปาก เรื่องของเรื่องคือ “พัคกวังโฮ” นั้นหลุดมาจากอดีตเมื่อ 30 ปีก่อน ระหว่างที่เขาพยายามจะจับกุมฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าผู้หญิงในท้องที่ที่เขาดูแลตายอย่างปริศนา ตัวเขาเองบาดเจ็บเพราะโดนฆาตกรที่ว่าทำร้ายจนสลบ รู้สึกตัวอีกทีเขาก็ข้ามเวลามาโลกอนาคต (ซึ่งก็คือยุคปัจจุบัน)
“พัคกวังโฮ” ข้ามมาได้ยังไงน่ะหรือ? ความแฟนตาซีเริ่มจากตรงนี้แหละค่ะ...เขาก็ลอดอุโมงค์ข้ามเวลามาจ้าาา
แต่ไอ้ความแฟนตาซีฉบับพี่เกานั้นไม่ธรรมดาทีเดียว เพราะนอกเหนือจากเรื่องการข้ามเวลา องค์ประกอบอย่างอื่น โดยเฉพาะตัวละครและการพลอตเรื่องนั้นเรียลและ make sense ทุกอย่าง ทำให้เรื่องดูมีน้ำหนัก มีเหตุมีผล และทำให้เราคล้อยตามได้ไม่ยาก

...
นอกจากความแฟนตาซีที่ไม่ธรรมดา การผูกปมเรื่องอดีตกับกาลเวลาปัจจุบันก็เป็นเรื่องท้าทายมาก เพราะ...อดีตส่งผลถึงอนาคตเสมอ และดูท่าทีมเขียนบทจะสำเหนียกเรื่องดี เพราะบอกเลยว่าเก็บทุกเม็ด เงื่อนงำทุกอย่างมันก็ซ่อนอยู่ตามหลืบกาลเวลานี้แหละค่ะ ขอแค่ตั้งใจดูเท่านั้น
เรียกว่าเป็นการเขียนบทที่น่าประทับใจ เพราะนอกจากเหตุการณ์ในเรื่องจะเป็นเหตุเป็นผลกันด้วยเงื่อนไขเวลาแล้ว ตัวละครทั้งหลายต่างก็มีความเกี่ยวข้องกันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกว่าจะรู้ว่าใครเป็นใครและมีความสัมพันธ์กันแบบไหนก็ต้องลุ้นแทบแย่ แต่ที่มันเทพก็คือความสัมพันธ์ของพวกเขาและเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการไขคดี มันทำให้ปมหลักของเรื่องคลี่คลายด้วย

การลำดับเรื่องราวก็เป็นอีกอย่างที่เรื่องนี้ทำได้ดี เพราะมันต้องมีการกลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ซึ่งเสี่ยงมาก หากทำไม่ดีจะงงมาก แต่เรื่องนี้ไม่งงนะจ๊ะ บอกเลยว่าดูง่ายยิ่งกว่า Stranger แถมจังหวะก็ดีมากด้วย เราจะได้ลุ้นตัวโก่งเกือบทั้งเรื่องว่าเขาจะจับคนร้ายได้ตอนไหน
เอาเป็นว่าดีงาม การันตีด้วยเรตติ้งติดอันดับ คอซีรีส์สืบสวนสอบสวนต้องไม่พลาดนะคะ รับรองว่าดูไม่ยาก แต่ถ้าอยากให้ซับซ้อนขึ้นอีกหน่อย ขอแนะนำเรื่องสุดท้ายของภาคนี้ค่ะ... “Signal” (2016)

“Signal” (2016)
เรื่องนี้ก็มีความแฟนตาซี มีข้ามเวลาด้วย แต่ตัวละครไม่ได้ข้ามไปจริงๆ นะคะ เขาสื่อสารกันผ่าน walkie talkie ค่ะ!!!!
ดูเชยใช่ไหมคะ สมัยนี้ใครเขาใช้ walkie talkie กัน มือถือสมัยใหม่ทำอะไรได้มากกว่านั้นเยอะ แต่จะบอกว่ามันเป็นจุดแข็ง จุดเด่นของเรื่องนี้ทีเดียว แค่พูดว่าตัวละครสื่อสารกัน(ข้ามเวลา) ผ่าน walkie talkie นี้ หลายคนก็พอเดาได้ว่ามันคือซีรีส์เรื่องไหน
อย่างที่เกริ่นไว้ เรื่องนี้สลับซับซ้อนกว่า “Tunnel” เพราะจำนวนคดีฆาตกรรมมีมากกว่า การผูกเรื่องและการคลี่คลายแต่ละปมก็มากกว่า และที่ขาดไม่ได้...ปมดราม่าของตัวละครเรื่องนี้ยุ่งเหยิง วุ่นวาย และขยี้ใจมากกว่าเยอะค่ะ

จุดเด่น...เราว่าคือเนื้อเรื่องและการผูกปมที่ซับซ้อน เรื่องอาจเริ่มที่คดีฆาตกรรมปริศนาเหมือนเคย แถมเป็น cold case หรือคดีดองในไหเสียด้วย เบาะแสอะไรก็แทบไม่มีเหลือ จะเหลือก็แค่ “พยานบุคคล” อย่างนักสืบจากอดีต “อีแจฮัน” (รับบทโดย โจจินอุง) ที่ติดต่อได้แค่ทาง walkie talkie เท่านั้น
แล้วมันจะไขคดีได้หรือ? หลายคนน่าจะมีคำถามนี้ ซึ่งก็น่าจะเป็นคำถามเดียวกับเราที่นั่งดูตอนแรกๆ ด้วยอารมณ์เนือยๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่าคดีเล็กคดีน้อยที่เหล่านักสืบทั้งยุคเก่าและยุคปัจจุบันช่วยกันไขมันพาเราไปถึงจุดเริ่มต้นของคดีแรกของเรื่องได้!!!

เรียกว่าเป็นการผูกเรื่องที่สุดยอดมาก เพราะมันไม่ได้มีแค่เงื่อนปมในคดี แต่มันมีเงื่อนไขของเวลาด้วยที่ทำให้เรื่องมันซับซ้อนมากขึ้น แต่ที่เทพไปกว่าคือการลำดับเรื่องราวและจังหวะคลี่คลายปมทีละเปลาะๆ ทำให้เราลุ้นไปตลอดทางว่าบรรดานักสืบหลักของเรื่องจะขุดเจอความจริงเมื่อไร

และไอ้เรื่องราวระหว่างขุดหาเบาะแสนี่แหละค่ะที่สำคัญมาก เพราะมันแทบไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือหลักฐานที่ค้นหาได้ด้วยวิธีการในปัจจุบันเลย นอกจากการตรวจเลือดและดีเอ็นเอที่กว่าจะได้หลักฐานมาแต่ละชิ้นก็เลือดตาแทบกระเด็น!
จะเรียกว่าเป็นพลอตในพลอตก็ได้ เพราะถ้ามองภาพรวมเรื่องนี้ก็มีโครงเรื่องใหญ่เป็นการสืบคดีเก่า โดยนักสืบหลักของเรื่องอย่าง “อีแจฮัน” ที่ตามล่าฆาตกรตัวจริงจากอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสาวร่วมงานในอดีตอย่าง “ชาซูฮยอน” (รับบทโดย คิมเฮซู) ที่มาเจอกันอีกครั้งในเวลาหลายสิบปีต่อมา ร่วมด้วยนักสืบรุ่นใหม่อย่าง “พัคเฮฮยอก” (รับบทโดย ลีเจฮุน) ที่บังเอิญเจอ walkie talkie ของอีแจฮัน ทั้งหมดช่วยกันหาเบาะแสคดีเก่าที่ว่าโดยไขคดีปัจจุบันไปด้วย ทำให้พวกเขาได้เบาะแสหลายอย่างกระทั่งโยงถึงคดีเก่าที่อีแจฮันดูแลมาตั้งแต่ต้น
จัดว่าเรื่องเยอะพอควร ลำดับเรื่องก็เสี่ยงสูงมากจะงง ตัวละครก็ไม่ได้เจอกันจริงๆ แต่ผูกเรื่องอดีตกับปัจจุบันไว้ด้วย walkie talkie เจ้าปัญหาอันเดียว แต่พี่เกาของเราก็ทำได้ดีค่ะ ท้าทายรอยหยักในสมองเรามากว่าเรื่องมันจะไปจบที่ตรงไหน การันตีความดีงามด้วยเรตติ้งติดอันดับตลอดกาลที่เกาหลี คอซีรีส์ชาวไทยที่ชื่นชอบแนวสืบสวนสอบสวนต้องไม่พลาดนะคะ ถือว่าเป็นซีรีส์ระดับตำนาน แถมแว่วมาว่าจะมีภาคต่ออีกต่างหาก
ขออนุญาตจบภาค 2 ไว้เท่านี้ก่อน ภาคต่อไปเราจะวนไปที่แนวการแพทย์กันบ้าง ส่วนตัวคิดว่าเป็นแนวที่โดดเด่นทีเดียว เขาผลิตออกมาเยอะมาก มีหลายแนวและดูจะสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ มาดามตามดูอยู่หลายเรื่องเลยทีเดียว แล้วจะเอาเรื่องเด็ดๆ มาฝาก
จนกว่าจะพบกันใหม่ค่ะ
มาดามอองทัวร์
@MadamAutuer