สายเกมน่าจะชื่นชอบ เพราะแทบทั้งเรื่อง ภารกิจตามล่าหามนต์วิเศษของสองหนุ่มพี่น้องเอลฟ์นั้นเหมือนเป็นการตะลุยด่านในวิดีโอเกม
เอาจริงๆ เราไม่อินมากเพราะไม่ใช่คอเกม ศัพท์แสงหลายตอนก็ไม่เข้าหู แต่เดี๋ยว...มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อดูจบก็ได้ข้อสรุปว่าหนังมีดีและลึกซึ้งกว่าที่คิด
“Onward” เป็นเรื่องราวการผจญภัยของเอลฟ์สองพี่น้อง “เอียน” (ให้เสียงโดย ทอม ฮอลแลนด์) และ “บาร์ลีย์” (ให้เสียงโดย คริส แพรตต์) กับภารกิจตามล่าหามนต์วิเศษเพื่อโอกาสครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอหน้า “พ่อ”
เนื้อเรื่องช่วงแรกออกจะเนิบนาบสักหน่อย น่าจะเป็นช่วงปูคาแรกเตอร์ตัวละครหลักทั้งสองให้ผู้ชมได้รับรู้ โดย “เอียน” น้องชายคนเล็ก เป็นเด็กเนิร์ดผู้ไม่มั่นใจและหวาดกลัวทุกสิ่งอย่าง ในขณะที่ “บาร์ลีย์” พี่ชายคนโต เป็นแนวหัวขบถ กล้าได้กล้าเสียและบ้าเกม ดังนั้น...การผจญภัยครั้งนี้จึงน่าลุ้นมากว่าคู่ต่างอย่างสองพี่น้องคู่นี้จะทำสำเร็จหรือไม่
...
“เอียน” มีความปรารถนาแรงกล้าจะเจอหน้าพ่อ(ผู้ล่วงลับ) สักครั้ง แล้วจู่ๆ ความฝันก็ทำท่าจะเป็นจริงเมื่อแม่มอบของขวัญวันเกิดครบรอบ 16 ปีให้เขาเป็นจดหมายจากพ่อ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขากับ “บาร์ลีย์” ได้รู้ว่าพ่อไม่ใช่แค่เอลฟ์สมุหบัญชีธรรมดา แต่เป็นเอลฟ์ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ด้วย!
เรื่องประหลาดและคำสั่งเสียสุดท้ายของพ่อจะได้เจอหน้าลูกชายทั้งสองอีกครั้ง ทำให้สองพี่น้อง “เอียน” และ “บาร์ลีย์” ต้องร่วมมือกัน (ดูจากในเรื่องน่าจะเป็นครั้งแรก) ออกตามหาหินวิเศษเพื่อร่ายมนตร์ให้พ่อกลับมามีชีวิตได้หนึ่งวัน
แม้พ่อจะกลับมาได้เพียงแค่ 1 วัน ทั้งเอียนและบาร์ลีย์ก็ยืนยันจะปฏิบัติภารกิจที่แสนยากลำบาก โดยคาดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาจะไม่ใช่แค่การได้เจอหน้าพ่อ แต่ทั้งคู่ยังจะได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญในชีวิตด้วย
ส่วนตัวเราชอบคาแรกเตอร์ของ “บาร์ลีย์” นะ แม้ว่าจริงๆ เหมือนว่าทางทีมผู้สร้างจะชู “เอียน” มากกว่า แต่เราคิดว่าคาแรกเตอร์ของ “บาร์ลีย์” มีความน่ารักน่าชังกว่าเล็กน้อย โดยเฉพาะเวลาคับขัน ความจริงใจ ความกล้าหาญและสติที่เขามีก็ช่วยผลักดันให้ “เอียน” ก้าวต่อไปได้
...
แต่ก็อย่างที่กล่าวข้างต้น คาแรกเตอร์ของ “เอียน” น่าจะเป็นสิ่งที่หนังต้องการเน้น ซึ่งก็ตรงกับชื่อเรื่อง “Onward” ซึ่งแปลว่า “ก้าวไปข้างหน้า” ได้เป็นอย่างดี
เอาจริงๆ เราว่าถึงหนังจะมีวิธีเล่าให้เข้าใจแบบง่ายๆ ตามมาตรฐานพิกซาร์และดิสนีย์ แต่ “สาร” ของหนังก็ยังเป็นนามธรรมอยู่มาก ผู้ชมเองก็ต้องใช้ความอดทนรอให้ตัวละครหลักทั้งสองได้ตกตะกอนความคิด โดยเฉพาะ “เอียน” ที่ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญในเวลาที่เกือบจะสายไป
...
จะว่าไปก็เป็นตอนจบที่เราคาดไม่ถึง ส่วนตัวคิดว่ามีแอบหักมุมเล็กๆ หักหลังคนดูอย่างเราหน่อยๆ แต่ก็ถือว่าเป็นตอนจบที่ดี พอกลบความเอื่อยเฉื่อยช่วงแรกไปได้ ที่สำคัญ...สารที่ว่าก็เป็นความจริงบนโลกใบนี้ที่ว่า...ชีวิตมันต้องเดินต่อ และเราก็ต้องอยู่ให้ได้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ทั้ง “เอียน” และ “บาร์ลีย์” จะได้บทเรียนอะไรบ้างเพื่อก้าวไปข้างหน้า คุณผู้อ่านก็ต้องไปเกาะขอบจอที่โรงกันนะคะ รับรองว่าดูได้เพลินๆ ทุกเพศทุกวัยแบบไม่ต้องคิดมากตามมาตรฐานพิกซาร์เลยจ้า
มาดามอองทัวร์
@MadamAutuer
...