เมื่อภาคแรกนั้นยอดเยี่ยม ความยากลำบากของการทำหนังภาคต่อ คือ การแบกรับความคาดหวังของคนดู ว่าทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น หรือยอดเยี่ยมยิ่งกว่าภาคแรก ซึ่งในความเป็นจริง มีหนังภาคต่อจำนวนน้อยมาก ที่จะสามารถทำได้แบบนี้ ยิ่งเป็นหนังสยองขวัญด้วยแล้วยิ่งทำได้ยากมากขึ้นไปอีก แต่ IT Chapter Two หรือในชื่อไทยว่า "อิท โผล่จากนรก 2" กลับสามารถทำได้ และไม่ใช่แค่อยู่ระดับที่คาดหวัง แต่มันเหนือกว่าความคาดหวังไปไกล


ซึ่งจะว่าไปแล้ว หากจะบอกว่า IT Chapter Two คือหนังภาคต่อ ก็ดูจะไม่ค่อยถูกต้องนัก เพราะสิ่งที่หนังเล่ามันคือเรื่องราวครึ่งหลัง อารมณ์ประมาณดู Avengers: Infinity War จบ แล้วรู้สึกค้างคา ต้องมาตามต่อใน Endgame เพื่อให้หายคาใจ นั่นทำให้ IT Chapter Two คือ จิกซอว์ที่่ช่วยต่อภาพใน IT ภาคแรกให้สมบูรณ์

...


IT Chapter Two เล่าเรื่องราวต่อจากภาคแรก ที่ล่วงเลยไปกว่า 27 ปี เมื่อ เหล่าแก๊ง ชมรมคนขี้แพ้ (The Losers Club) เติบโตเป็นผู้ใหญ่ต่างแยกย้ายมีชีวิตตามทางของตนเอง "มัน" ซึ่งล่าถอยไปเมื่อ 27 ปีก่อน ได้กลับมาอีกครั้ง นอกจากทำในสิ่งร้าย ๆ ที่ "มัน" เคยทำมาตลอด "มัน" ยังรอคอยการกลับมาของกลุ่มคนที่เคยทำมันสยบ เพื่อสะสางทุกอย่างที่ค้างคาไว้


หนังแนวสยองขวัญ กับความยาวกว่า 2 ชั่วโมง 49 นาที ชวนให้แปลกใจว่าหนังมันต้องยาวขนาดนั้นเลยหรือ แต่เมื่อดูจริง ๆ ความยาวของหนังกลับไม่ใช่ปัญหาเลย ผู้กำกับ แอนดี้ มุสเชียตติ ที่มาสานต่องานสร้างชื่อของเขา ได้ใช้วิธีการเล่าแบบสานต่อเรื่องราว แต่ก็มีการเชื่อมโยงให้อดีตเข้ากับปัจจุบันในคราวเดียวได้อย่างลงตัว แม้หนังภาคนี้จะได้ทีมนักแสดงรุ่นใหญ่มาเป็นตัวนำ แต่ทีมนักแสดงเด็กกลุ่มชมรมคนขี้แพ้ ที่เราผูกพันมาตั้งแต่ภาคแรก ก็ยังมีบทบาทในแบบที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารุ่นใหญ่เลย

เทคนิคการเล่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่มันกลับใช้ได้ดียิ่งกับหนังเรื่องนี้ ใครที่ไม่เคยดูภาคแรกมาก่อนไม่ใช่ปัญหาเลย มาดูหนังภาคนี้ก่อนได้ ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าสูญเสียรายละเอียดสำคัญอะไรไป


IT Chapter Two อุดมด้วยทีมนักแสดงดี ๆ มากมาย อาทิ เจมส์ แม็คอะวอย, เจสสิก้า แชสแทน, บิลล์ เฮเดอร์ ซึ่งทีมนักแสดงรุ่นใหญ่ เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้หนังในภาคนี้หนักแน่นขึ้น ให้ความรู้สึกที่จริงจัง เข้มข้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของกลุ่มเด็กที่ต่อสู้กับปีศาจร้ายอีกต่อไป ทำให้เราเห็นพัฒนาการของตัวละคร ว่าแม้จะผ่านเรื่องราวที่ทำให้พวกเขาเติบโตขึ้น แต่มันไม่ใช่การก้าวข้ามอดีตอย่างแท้จริง ทุกตัวละครในปัจจุบันล้วนแล้วแต่มีปมที่มีที่มาจากช่วงวัยเด็กด้วยกันทั้งนั้น จนต้องกลับมาจัดการสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ในใจของแต่ละคน ซึ่งนักแสดงรุ่นใหญ่ช่วยเสริมในจุดนี้และต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุดเท่าที่บทจะอำนวยให้

...



แต่ยอดเยี่ยมที่สุดยังคงเป็น บิลล์ สการ์สการ์ด ผู้รับบท เพนนีไวส์ แม้ตัวละครนี้จะปรากฏตัวในรูปของตัวตลกที่หน้าเต็มไปด้วยลวดลายต่าง ๆ แต่การแสดงสีหน้าและท่าทางของบิลล์ มันทำให้เรารับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเพนนีไวส์ ซึ่งการแสดงในรูปแบบปกติก็ว่ายากแล้ว นี่ยังต้องแสดงภายในเครื่องสำอางหรือหน้ากากที่ฉาบผิวหน้าอยู่ นั่นทำให้การแสดงยิ่งลำบากขึ้นไปอีก ถ้าจะยกตัวอย่างความยอดเยี่ยมของการแสดงในรูปแบบนี้ ที่เชื่อว่าทุกคนจำได้ก็คงเป็น ฮีธ เลดเจอร์ ผู้ล่วงลับกับบท โจ๊กเกอร์ ใน The Dark Knight และในรายของ บิลล์ สการ์สการ์ด คงต้องบอกว่าเขาเป็น เพนนีไวส์ ได้อย่างไร้ที่ติ


ฉากหลอกหลอนต่าง ๆ ทำได้ลุ้นระทึก ตื่นเต้น มีรูปแบบการล่อหลอกที่มีทั้งแบบมาตรฐานทั่วไปและการสร้างสรรค์ใหม่ แต่ข้อสังเกตในภาคนี้ที่รู้สึกว่าด้อยกว่าภาคแรกพอสมควรคือ ฉากสะเทือนจิตใจที่หนักหน่วงต่อความรู้สึก จนเป็นภาพในภาคแรก แต่ภาคนี้ไม่รู้สึกถึงฉากแบบนั้นเลย

ที่มาทดแทนและเห็นได้เด่นชัดคือเรื่องของมุกตลกร้ายที่สอดแทรกเข้ามา ซึ่งทำได้ถึง ฮามากอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมาใส่ในหนังที่ชวนหลอนประสาทได้แบบนี้

...


หากมองหนังที่เข้าฉายตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ต้องบอกว่า IT Chapter Two หรือ อิท โผล่จากนรก 2 คือหนึ่งในความยอดเยี่ยมที่สุดประจำปีนี้ ใครชอบภาคแรกต้องดู ใครเป็นแฟนหนังสือยิ่งต้องห้ามพลาด กับหนังที่ดัดแปลงจากหนังสือของ "สตีเฟน คิง" ที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง (ในหนังมีฉากที่แฟนสตีเฟน คิง ตัวจริงจะต้องกรี๊ด)

อ่านรีวิวหนัง ตีตั๋วชนโรง เรื่องอื่นๆ
ชา ตีตั๋วชนโรง
Twitter @Chamanz13
Facebook: ตีตั๋วชนโรง

...