“สวนสนุก” ถือเป็นวัตถุดิบที่ถูกนำมาใช้กับหนังแนวสยองขวัญบ่อยครั้ง แต่กับ Hell Fest หรือในชื่อไทยว่า “สวนสนุกนรก” คือ การรวมธีมสวนสนุกเข้ากับความสยองขวัญแบบเต็มๆ ทำให้หนังมีวัตถุดิบในการเล่นกับความระทึกขวัญสั่นประสาทได้อย่างเต็มที่ ซึ่งผลที่ได้มันอาจไม่ถึงขั้นเป็นปรากฏการณ์ แต่รวมๆ แล้ว ก็นับเป็นหนังที่ตอบโจทย์ความบันเทิงที่พอใช้ได้

ถ้าลงลึกในเชิงข้อมูลไปอีก Hell Fest สวนสนุกนรก คือ หนังสยองขวัญแนว Slahser Film หรือก็คือ “แนวไล่ฆ่า ไล่เชือด” ที่มักเป็นตัวละครโรคจิตที่เราหาเหตุผลมารองรับการกระทำของมันไม่ค่อยได้ หรือถ้ามีเหตุผล ก็เป็นเหตุผลที่มีความเป็นส่วนตัวมากเสียหน่อย ยกตัวอย่างหนังประเภทนี้ ก็เช่น The Texas Chain Saw Massacre, Scream, Friday the 13th เป็นต้น และแน่นอนเหยื่อของหนังแนวๆ นี้ ก็ไม่พ้นกลุ่มวัยรุ่นที่ตื่นเต้นกับการมาเที่ยวสวนสนุกนรกตามชื่อเรื่อง

...


Hell Fest สวนสนุกสยองระดับตำนาน ก็เป็นงานเฟสติวัลที่วัยรุ่นทุกคนต้องไป ที่ดูแล้วก็เป็นส่วนผสมระหว่างสวนสนุก บ้านผีสิง และพวกงานเทศกาลดนตรี ที่วัยรุ่นสามารถสนุกกันได้อย่างสุดเหวี่ยง ปลดปล่อยตัวตนได้เต็มที่ แม้ว่าจะเคยเกิดข่าวลือว่าเคยมีเหตุฆาตกรรมขึ้นมาจริงๆ แต่สวนสนุกสยองแห่งนี้ก็ยังเป็นงานที่วัยรุ่นอยากไปอยู่ดี ซึ่งกลุ่มตัวละครในหนังก็คือกลุ่มวัยรุ่น วัยเรียน ระหว่างเพื่อนชายหญิง 6 คน ที่รวมตัวกันมาเที่ยวที่แห่งนี้ ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้น เมื่อวัยรุ่นกลุ่มนี้ถูกหมายหัวโดยฆาตกรโรคจิต!


ด้วยธีมของหนังที่เป็นสวนสนุกสยอง ถือเป็นแต้มต่อที่ Hell Fest มีมากกว่าหนังแนวนี้เรื่องอื่นๆ เพราะสามารถใส่ลูกเล่นสยองขวัญได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องห่วงว่าจะไม่สมเหตุสมผล ซึ่งหนังก็สามารถใส่ลูกเล่นต่างๆ และพยายามดึงประโยชน์จากธีมสวนสนุกสยองอย่างเต็มที่ แต่ว่ากันตรงๆ มันค่อนข้าง “ไร้จินตนาการ”



ความตกใจสะดุ้งของคน จึงมาจากท่ามาตรฐานอย่างฉาก Jump Scare ทั้งหลาย ที่โอเคมันได้ผล มันทำให้คนดูตกใจได้บ้าง แต่ที่ตกใจมันเพราะเสียงที่จงใจโหมให้ตกใจอยู่แล้ว มันไม่ได้เกิดจากการสร้างสรรค์บรรยากาศ บิวต์จนเริ่มอิน และตบจบด้วยสิ่งที่คนดู “คาดไม่ถึง” ยอมรับว่าบางฉากมันก็ชวนหวาดเสียว ชวนลุ้น แต่รวมๆ แล้วทั้งหมดมันคือ “ท่ามาตรฐาน” ของหนังประเภทนี้ไปแล้ว ยิ่งในยุคที่คนดูชินกับมุกเดิมๆ และต้องการความแปลกใหม่ Hell Fest ถือว่ายังทำได้ไม่ดีนัก



และหากใครเป็นคนที่ขี้รำคาญกับการกระทำของตัวละคร ที่ดูแล้วไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมต้องทำแบบนี้ เรื่องนี้มีหลายๆ สถานการณ์ที่ทำให้เกิดคำถามดังกล่าวขึ้นในหัวอยู่พอสมควร ซึ่งไม่โทษการแสดงของนักแสดงเลย รวมๆ ถือว่าแคสติ้งแต่ละตัวละครมาได้ดีเลยด้วยซ้ำ ถ้าให้ชี้ชัด ปัญหามันอยู่ที่ “บท” บทที่ไม่ได้ทำให้แต่ละตัวละครมีมิติ ในระดับที่มากพอทำให้คนดูรู้สึกอิน รู้สึกว่าอยากเอาใจช่วย อยากเชียร์ให้รอด แม้กระทั่งนางเอกของเรื่อง

...


ด้านฆาตกร ก็ถอดแบบมาจากตัวละครไล่เชือดคลาสสิกทั้งหลาย ที่อึดถึกอย่างไม่มีเหตุผล และชอบยั่วล้อกับเหยื่อ ตลอดทั้งเรื่องเราจะไม่รู้เลยว่าฆาตกรคือใคร ไม่บอกหรือให้รายละเอียดของแรงจูงใจ แม้ตอนท้ายของหนังจะใส่ฉากที่ทำให้ตัวละครมีมิติ แต่ก็ดูเป็นการใส่เพื่อนำไปสู่ภาคต่อ มากกว่าใส่เพื่ออธิบายความเป็นฆาตกร ..เอาเป็นว่า นอกจากไม่ทำให้เราอินกับไปตัวละครที่เป็นเหยื่อ ยังทำให้เราไม่อินไปกับฆาตกรด้วย

...


สิ่งที่ดูจะทำให้ Hell Fest ใกล้ชิดกับคนดูที่สุด เห็นจะเป็นสไตล์ของหนังยุค 80-90 ที่ฉาบเคลือบทั้งเรื่องไว้ ตั้งแต่โปสเตอร์โปรโมตยันการดำเนินเรื่องในหนัง ที่เหมือนพาคนดูหนังที่เติบโตมากับหนังเชือดไปย้อนรำลึกความหลัง เป็นการคารวะหนังเชือดระดับตำนาน (แม้จะทำได้ไม่ถึงขั้นเท่าไหร่)

รวมๆ แล้วถือว่าหนังเรื่องนี้ดูได้พอเพลินๆ ไม่เสียดายค่าตั๋ว เหมาะสำหรับคนดูจิตอ่อนมาลองของว่าพอไหวกับหนังแนวๆ นี้หรือไม่ แต่หากเป็นคนดูสายแข็ง และต้องการอะไรที่มากกว่าที่คาดคิด สวนสนุกนรกแห่งนี้ไม่มีให้นะ