จะว่าไปแล้วหนังแนวพิสูจน์หาความจริงว่าโลกนี้มีผีจริงหรือไม่ มันก็มีมาแล้วหลายเรื่อง แต่กับ Ghost Stories หรือในชื่อไทยอย่างตรงไปตรงมาว่า "พิสูจน์ผี" กับเรื่องของคนไม่เชื่อเรื่องผีและพยายามเปิดเผยความจริง เพื่อช่วยเหลือชีวิตคนอื่นไม่ให้ตกอยู่ในกับดักของการหลอกลวง ก็ดูเป็นจุดไอเดียที่น่าสนใจ ว่าเรื่องราวจะพาไปในทิศทางไหน เขาถูกท้าทายด้วย 3 เคสปริศนา ที่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ใช่ "ผี"

Ghost Stories เป็นหนังอังกฤษที่มีจุดเริ่มต้นมาจากละครเวทีสยองขวัญเรื่องดัง ที่ทำให้คนดูกลัวและต้องจำกัดอายุผู้เข้าชม ที่โด่งดังในปี 2010 และก็ได้รับการดัดแปลงเป็นหนังในปี 2018 โดย 2 ผู้กำกับ เจเรมี่ ไดสัน และ แอนดี้ ไนแมน (ซึ่งรับบทนำในเรื่องอีกด้วย) เล่าเรื่องราว ฟิลลิป กู๊ดแมน คนที่ไม่เชื่อผีและถูกท้าทายให้พิสูจน์ 3 เคส ว่าทั้งหมดไม่ใช่ "ผี" ได้แก่ 1. เคส โทนี่ แมธทิวส์ ยามกะดึกในโรงพยาบาลร้าง ที่เจอเสียงประหลาดคอยหลอกหลอน 2. เคส ไซม่อน ริฟคินต์ วัยรุ่นที่ขับรถยามค่ำคืนไปชนบางสิ่ง และมันก็ติดตามเขาไปทุกที่ 3. เคส ไมค์ พริดเดิล เศรษฐีที่รอคอยการมีลูกคนแรก แต่ลูกของเขาคือ...

...


เพียงเรื่องย่อของหนังก็เพียงพอที่จะดึงดูดคนดูสายผีสายสยองขวัญไปตีตั๋วดูในโรงหนังได้แล้ว แต่เราก็พบว่าหลายครั้งหนังผีที่มีพล็อตเรื่องน่าสนใจและกระตุ้นให้อยากดูสุดๆ กลับเต็มไปด้วยปัญหา ความไม่สมเหตุสมผล และการทำฉากหลอกฉากหลอนได้ไม่ถึงใจ แต่กลับ Ghost Stories นี่เรียกได้ว่าแตกต่างอย่างน่าสนใจ ที่กระตุ้นความสงสัยให้กับคนดูได้ดีมากๆ จนเรารู้สึกเหมือนติดตามฟิลลิป กู๊ดแมน ไปร่วมพิสูจน์ผีด้วย


สิ่งที่โดดเด่นมากๆ ใน Ghost Stories คือ การสร้างบรรยากาศชวนหลอน ไม่น่าไว้วางใจ จนเดาไม่ถูกว่าผู้กำกับจะโจมตีคนดูด้วยฉากหลอกตอนไหน จังหวะที่น่าจะเล่นงานคนดูได้ (แบบตามขนบหนังแนวนี้ทั่วๆ ไป) หนังก็ไม่เล่น แน่นอนว่าท่ามาตรฐานการหลอกมันมีอยู่แล้ว แต่เราจะเห็นความพยายามในการสร้างสรรค์ฉากหลอกใหม่ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักดูหนังสายผีทุกคนคาดหวังกัน ซึ่งใน Ghost Stories นั้นมีให้ แน่นอนว่าท่ามาตรฐานอย่างการใช้เสียงดังๆ มากระตุ้นให้คนกลัวในหนังก็มี แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดี ไม่พร่ำเพรื่อจนน่ารำคาญ


และสิ่งที่ช่วยส่งเสริมรายละเอียดข้างต้นให้ได้ผลมากขึ้น ก็คือการแสดงที่ดีของนักแสดง ซึ่งตัวละครในเรื่องมีไม่เยอะ ต้องบอกเลยว่า ทีมนักแสดงในเรื่องนี้ถือว่าแคสต์มาดีและแสดงดีทุกคน โดยเฉพาะเจ้าของเคสทั้ง 3 เคส ที่แต่ละคนแสดงออกมาได้ดีมาก ทั้งสีหน้าและแววตา ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวมันเกินคาดเดามากยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องสิ่งลี้ลับที่พิสูจน์ยากอย่างผี หรือมันคือความวิตกจริต หรืออาจลามไปถึงคำว่า "โรคจิต" ของตัวละคร โดยเฉพาะเคสที่ 2 ไซม่อน ริฟคินต์ ที่แสดงโดย อเล็กซ์ ลอว์เธอร์ ที่แสดงได้จิตสุดๆ ขอยกให้เป็นการแสดงที่ดีที่สุดของเรื่องนี้

...


มีข้อสังเกตว่าหนังเรื่องนี้ ไม่มีนักแสดงหญิงเป็นตัวหลักเดินเรื่อง ไม่ต้องพึ่งพาเสียงกรี๊ดหรือสรีระของผู้หญิงมาเป็นจุดขายเหมือนพวกหนังผีทุนต่ำ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกจุดที่แตกต่างของ Ghost Stories


ว่ากันอย่างตรงไปตรงมา บทสรุปของเรื่องมันเกินคาดมากๆ มันหักมุมในแบบที่ร้ายกาจสุดๆ ซึ่งส่วนตัวแล้วถือว่าเป็น "ทีเด็ด" ของเรื่อง ที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและการสร้างสรรค์ของทีมสร้างหนัง ที่ต้องการให้หลุดพ้นจากกรอบการเล่าเรื่องแบบเดิมๆ โดยอาจแลกมากับเสียงของคนดูที่แยกเป็น 2 ฝั่ง ทั้งฝั่งที่ชอบมากๆ และฝั่งที่เกลียด มันไม่ใช่บทสรุปตามขนบในแบบที่คุ้นเคย ฉะนั้นใครที่จะมาดู ต้องเปิดใจสักนิด!

...


"สมองรับรู้แบบที่มันอยากรับรู้" เป็นคำสำคัญของหนังเรื่องนี้ เป็นคำที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์ ที่ Ghost Stories พยายามสื่อสาร ทำหน้าที่ตีแผ่ความจริง พิสูจน์ว่าผีมีจริงหรือไม่ ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนดูฉุกคิดตามว่า ทุกๆ อย่างสามารถหาคำอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่โลกนี้ก็ยังมีสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังก้าวไปไม่ถึง หรือยังไม่อาจพิสูจน์ได้ก็คือการปกปิด “ผี” ที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจผู้คน

...

อ่านรีวิวหนัง ตีตั๋วชนโรง เรื่องอื่นๆ

ชา ตีตั๋วชนโรง

Twitter: @Chamanz13

Facebook: ตีตั๋วชนโรง