ด้วยชื่อและความสามารถของ Ant-Man อาจไม่ได้หรูเลิศอลังการแบบเพื่อนๆ ซุปเปอร์ฮีโร่คนอื่นๆ จนอาจทำให้ เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุดในบรรดาหนังซุปเปอร์ฮีโร่ด้วยกัน ไม่ว่าใช่หรือไม่ ตัวหนังกลับเลือกที่จะเล่าสิ่งเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือเรื่องของ “ครอบครัว” ที่เป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนสังคมโลกให้ออกมาได้ อย่างซาบซึ้ง ล้างภาพจำของหนังซุปเปอร์ฮีโร่แบบเดิมๆ ที่ต้องมีแต่เรื่องแอ็กชั่นกู้โลกไปจนหมด ซึ่งในภาคต่อ Ant-Man and the Wasp ประเด็นนี้หนักแน่นขึ้น และทำได้ดีทีเดียว
หลังจาก Avengers: Infinity War คำถามหนึ่งที่แฟนๆ ถามกัน (ซึ่งคิดว่าคงไม่ได้มีการสปอยล์แล้วในตอนนี้) ก็คือ สก็อต แลงก์ หายไปไหน? ซึ่งเรื่องราวของหนังที่โยงไปตั้งแต่ Captain America: Civil War อันเกิดจากผิดข้อตกลงโซโกเวีย ทำให้ สก็อต แลงก์ ถูกกักบริเวณ หากฝ่าฝืนเขาจะโดนส่งเข้าเรือนจำทันที เขาใช้เวลานี้ในการทำหน้าที่พ่อของลูกสาวแสนน่ารักให้ดีที่สุด แต่แล้วเขาก็ต้องถูกดึงตัวให้มาทำภารกิจสำคัญอันเกี่ยวกับ “มิติควอนตัม” ร่วมกับ โฮป แวน ไดน์ และ ดร.แฮงก์ พิม ที่ครั้งนี้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูใหม่นาม “โกสต์” ที่มีความสามารถที่เหนือกว่าการย่อขยายร่างกายไปอีกระดับ
...

Ant-Man and the Wasp จัดเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ออกจะแปลกเสียหน่อย ตามปกติหนังซุปเปอร์ฮีโร่จะเป็นลักษณะใช้พลังปราบเหล่าร้าย แต่กับภาคต่อนี้ดีกรีความเป็นหนังครอบครัวมีมากกว่าแอ็กชั่นอย่างเห็นได้ชัด และจะว่าไปหนังซุปเปอร์ฮีโร่ภาคต่อเรื่องนี้ เหมือนว่าจะไม่มีตัวร้ายที่เด่นชัดประจำภาคด้วยซ้ำไป แปลกเข้าไปใหญ่!

แน่นอนว่าด้วยโทนหนังที่นำเสนอเน้นหนักไปที่ประเด็นครอบครัวแบบนี้ การคาดหวังฉากวินาศสันตะโร การต่อสู้ที่ดุเดือด จึงเป็นเรื่องของการคาดหวังลมๆ แล้งๆ ใครที่หวังขอให้ลืมมันไป เพราะภาคนี้ต่อยอดความสร้างสรรค์ในการใช้การย่อหรือขยาย จนเป็นส่วนหนึ่งของฉากแอ็กชั่นได้หลากหลายมากขึ้น จนได้แอ็กชั่นที่ดูสนุก ตื่นเต้น ในขณะเดียวกันก็ลุ้นว่าจะมีฉากไอเดียเท่ๆ แบบไหนออกมาบ้าง แม้จะแอบตามไม่ทันไปบ้างกับการย่อขยายที่รวดเร็วเหลือเกิน แต่ถ้าจะคิดเข้าข้างไปกับเรื่อง มันก็เป็นการแสดงออกถึงความชำนาญของฮีโร่ในการใช้พลังพิเศษของเขา

อีกสิ่งที่น่าสนใจมากๆ และถือเป็นไฮไลต์ของภาคนี้เลย ก็คือฉากโลกใน “มิติควอนตัม” ที่ครั้งนี้ลึกขึ้น ละเอียดขึ้น และเต็มไปด้วยสีสัน ฉากมิติควอนตัมนั้นน่าตื่นตะลึง และเป็นฉากที่น่าจดจำฉากหนึ่งของโลกภาพยนตร์ในปี 2018 แบบเดียวกับฉากท่องจักรวาลใน Doctor Strange เลย และหากต้องการสัมผัสประสบการณ์เที่ยวมิติควอนตัมแบบเต็มๆ ก็ขอแนะนำให้ดูในโรง IMAX เท่านั้น รับรองคุ้มค่าแน่นอน

...
Marvel ยังเก่งกาจเสมอในการสร้างหนังเดี่ยวของซุปเปอร์ฮีโร่ ให้ออกมามีมิติ และสนุกกลมกล่อม มากกว่าการรวมฮีโร่ใน Avengers ที่ต้องชมเป็นพิเศษก็คือผู้กำกับ เพย์ตัน รีด ที่คุมธีมการนำเสนอของ Ant-Man and the Wasp ให้ออกมามีชีวิตชีวา ดูสนุก มุกตลกก็เด็ด และทำให้เห็นว่าพลังที่ผลักดันให้ซุปเปอร์ฮีโร่ต่อสู้นั้นก็สำคัญไม่แพ้พลังพิเศษที่มีอยู่ โดยเฉพาะคำว่า “ครอบครัว” การถ่ายทอดความสัมพันธ์พ่อลูกทั้ง 2 คู่ สก็อต แลงก์ กับลูกสาวตัวน้อย และ โฮป แวน ไดน์ กับ ดร.แฮงก์ พิม นำเสนอออกมาได้อบอุ่นกินใจเหลือเกิน

การจะได้มาซึ่งฉากที่อบอุ่นซึ้งใจนั้น การแสดงก็เป็นส่วนสำคัญ ซึ่งนักแสดงรุ่นเก่าแต่เก๋า ทั้ง ไมเคิล ดักลาส และ มิเชลล์ ไฟเฟอร์ ต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก โดยเฉพาะในรายของมิเชล แม้จะมีฉากไม่เยอะ แต่ออร่าดาราฮอลลีวูดจับมาก สวยสง่าสุดๆ ในวัยที่ไม่น่าเชื่อว่าจะถึงหลักหกแล้ว พอล รัดด์ และ เอแวนเจไลน์ ลิลลี่ เคมีพระนางเข้ากันดีสุดๆ และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือหนูน้อย แอบบี้ ไรเดอร์ ฟอรทสัน น่ารักมากๆ โดดเด่นกับการสื่อสารทางแววตา ถือเป็นนักแสดงเด็กที่น่าจับตามองนับจากนี้
...

สุดท้าย กับการเชื่อมโยงไปสู่ Avengers: Infinity War เรื่องราวต่างๆ ใน Ant-Man and the Wasp ก็สามารถตอบข้อสงสัยของแฟนๆ ได้อย่างสมบูรณ์ และนำไปสู่บทสรุปที่รุนแรงทางความรู้สึกไม่ต่างจากฉากจบใน Infinity War ทำได้เลย

โดยสรุป Ant-Man and the Wasp เป็นหนังที่แฟนหนัง Marvel ยังไงก็ต้องไปดูกันอยู่แล้ว และแนะนำให้รีบ “ตีตั๋ว” ไปดูเร็วๆ เลย เพื่อหลบหลีกสปอยล์ (หากคุณเป็นคนที่ชอบดูความเห็นใน Twitter หรือกระทู้ใน Pantip ต้องระวัง หลังๆ คนที่ได้ดูก่อนคนอื่น มักจะแคร์คนที่ยังไม่ได้ดูน้อยลง และทำร้ายพวกเขาด้วยการสปอยล์)
...
สุดท้าย ฉาก End Credit มี 2 ฉาก ซึ่งฉากแรกคือฉากสำคัญที่ไม่ควรพลาด ส่วนอีกฉาก ถ้าใครไม่อยากรอดูเครดิตนานๆ ปล่อยผ่านไปก็ได้ ไม่ดูก็ไม่เสียหาย

อ่านรีวิวหนัง ตีตั๋วชนโรง เรื่องอื่นๆ
ชาแมน ตีตั๋วชนโรง
Twitter @Chamanz13