Deadpool ชื่อนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก กับซุปเปอร์ฮีโร่(หรือเปล่า?) ที่เกรียนสุดๆ ในจักรวาลของ Marvel กับรายได้มหาศาล และคำวิจารณ์ที่ล้วนต่างสรรเสริญ และยกนิ้วกลางให้ในภาคแรก การมาของ Deadpool 2 จึงเต็มไปด้วยความคาดหวังของแฟน ซึ่งในบรรดาหนังภาคต่อทั้งหลาย มีน้อยเรื่องนักที่จะดีกว่าภาคแรก แต่สำหรับ Deadpool 2 นับว่าคือหนึ่งในส่วนน้อยนั้น กับการจัดหนัก “ความเกรียน” มากขึ้นในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะกับการล้อเลียนที่ยกระดับความป่วนไปทั้งวงการภาพยนตร์ ที่ออกมาสนุกและบันเทิง ในแบบที่ทำให้ภาคแรกกลายสภาพเป็นเด็กน้อยไปเลย

เรื่องราวใน Deadpool 2 ต้องบอกว่าบอกเล่าได้น้อยมากๆ เพราะสุ่มเสี่ยงกับการสปอยล์สูง เอาเป็นว่าหลังจากภาคแรก “เดดพูล” ก็ยึดอาชีพเป็นฮีโร่(หรือนักฆ่า) จัดการเหล่าร้าย ผดุงคุณธรรมอย่างเต็มตัว แน่นอนว่าเขายังถูกหมายตาจากพวก X-Men นำโดย “โคลอสซัส” ที่ต้องการให้เขามาร่วมทีม แต่จู่ๆ เดดพูลก็ต้องมีภารกิจสำคัญ เมื่อการมาของชายจากอนาคตนาม “เคเบิล” ที่มีเป้าหมายในการสังหารหนุ่มน้อย “รัซเซล” โดยไม่ทราบสาเหตุ และความแข็งแกร่งของเคเบิลทำให้เดดพูลไม่สามารถรับมือด้วยตัวคนเดียวได้ เขาจึงรวมทีมผู้มีพลังพิเศษ และตั้งทีม X-Force ขึ้น เพื่อต่อกรกับศัตรูจากอนาคต...

...


ผู้กำกับ เดวิด ลิตช์ ที่มีเครดิตจากการกำกับหนังแอ็กชั่นๆ มัน อย่าง Atomic Blonde และ John Wick (uncredited) เข้าช่วยยกระดับฉากแอ็กชั่นใน Deadpool 2 ให้เจ๋งและสนุกมากยิ่งขึ้น หากหนัง Avengers ยิ่งใหญ่ด้วยการรวมตัวของเหล่าฮีโร่เกรดเอ Deadpool ก็ยิ่งใหญ่ด้วยการเป็นเจ้าพ่อแห่งการล้อเลียนขนบความเป็นซุปเปอร์ฮีโร่


ด้วยอานิสงส์ผลบุญจากภาคแรก ทำให้เดวิดรู้ว่าเขาต้องขายอะไร นั่นทำให้ภาคนี้จัดหนักความเกรียนมากขึ้นในทุกด้าน ทั้งเรื่องราวที่ถูกขยายสเกลให้ใหญ่โต และเชื่อมเข้ากับจักรวาลของ X-Men ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ฉากแอ็กชั่นที่ต่อเนื่องดุเดือดชวนติดตาม มุกตลกล้อเลียนที่อย่าเรียกว่าใส่ เรียกว่าสาดมุกราวกระสุนปืน รัวใส่ทุกๆ 2 นาที จนรู้สึกว่าไม่ได้ดูหนังซุปเปอร์ฮีโร่ แต่กำลังดูหนังล้อเลียนซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องหนึ่ง


จุดขายสำคัญของ Deadpool 2 ที่เห็นเด่นชัด คือ การยกระดับการล้อเลียนให้สูงขึ้น โดยเฉพาะการล้อเลียนหนังต่างๆ ที่มีมากมายเป็นสิบๆ เรื่อง ซึ่งส่วนมากก็จากหนังยุค 70 ถึงปัจจุบัน เมื่อบวกเข้ากับเพลงดังวันวานมากมายที่ใส่เข้ามาได้ถูกจังหวะ ทำให้การล้อเลียนของเดดพูลเป็นความบันเทิงที่มีระดับมากๆ ไม่ว่ามุกจะสองแง่สองง่าม หรือมีความรุนแรงมากแค่ไหน แต่นี่ไม่ใช่มุกตลกห้าบาทสิบบาทที่หาดูได้ตามใน Youtube แน่นอน เป็นมุกที่คิดมาอย่างดี มีความลึก และไหลลื่น น่าทึ่งมากกับทีมเขียนบท (ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือตัวของ ไรอัน เรย์โนลด์ส เอง) ที่ใส่มุกเหล่านี้ลงไปในหนังเรื่องเดียวได้อย่างลงตัว

...

ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง เพราะสำหรับคนที่มีประสบการณ์ดูหนังมาเยอะพอสมควร ก็คงจะสนุกและอินกับมุกต่างๆ ที่หนังใส่เข้ามา แต่หากไม่ มันก็จะมีบ้างบางมุกที่ไม่เข้าใจ อาจถึงขั้นลดทอนความสนุกลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่เสียหายมากนัก


สิ่งที่ชอบเป็นพิเศษอย่างหนึ่งใน Deadpool 2 คือ ท่ามกลางความป่วนฮาของเรื่องราวและการล้อเลียนที่หลุดโลก จนไม่ต้องสนใจตรรกะใดๆ แต่หนังยังไม่ลืมใส่เรื่องพัฒนาการของตัวละคร “เวด วิลสัน” ที่ทำให้เห็นว่าภายใต้ความกวนทีนมีความเจ็บปวดซ่อนอยู่ และเป็นสิ่งสำคัญในการให้คนดูรู้จักและรักตัวละครตัวนี้มากขึ้น ซึ่งการแสดง ไรอัน เรย์โนลด์ส ทั้งภาคแรกและภาค 2 ตอกย้ำให้รู้ว่าเขาคือนักแสดงที่เกิดมาเพื่อ “Deadpool” อย่างสมบูรณ์ ในระดับเดียวกับที่ทุกคนอินกับ ฮิวส์ แจ็คแมน ในบท Wolverine หรือ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ในบท Iron Man

...


และเหนืออื่นใด ด้วยการล้อเลียนอันมากมาย บวกกับฉากช่วง End Credit ที่กลายเป็นธรรมเนียมของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ไปแล้วว่า ต้องมีฉากแถม ซึ่งใน Deadpool 2 ตรงนี้มันคือไฮไลต์ของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เพราะเต็มไปด้วยความฮา กวนทีน เกรียน แดกดัน (หนังบ้าอะไร ไฮไลต์แบบพีคในพีค มาอยู่ในตอนที่หนังจบแล้ว!) ทำให้ Deadpool 2 กลายสภาพเป็นหนังล้อเลียน “สถานะพิเศษ” ที่หลุดกรอบของซุปเปอร์ฮีโร่ และความเป็นภาพยนตร์ไปแล้ว

...


ส่วนตัวเชื่อว่า Deadpool 2 จะทำเงินมหาศาลเช่นเดิม และหนังมีศักยภาพในการเข้าไปชิงรางวัลด้านภาพยนตร์ในระดับสูงอย่างที่เคยทำได้ในภาคแรก กับการเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ครั้งที่ 74 ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทตลกหรือเพลง แต่จะได้รางวัลหรือไม่นั้น ไว้ถึงตอนนั้นถ้าได้เข้าชิง ก็ค่อยไปร่วมลุ้นเอาใจช่วยกันอีกที

สุดท้ายนี้ หากใครที่ชอบภาคแรก ภาคนี้ยังไงก็ต้องชอบ เพราะภาพรวมหนังดูสนุกและบันเทิงกว่าภาคแรกอย่างชัดเจน แต่หากใครรู้สึกว่าไม่ใช่ทาง ก็บอกผ่านเรื่องนี้ไปได้เลย

--- ชาแมน ---