ถ้าหากผู้กำกับ Ready Player One หรือในชื่อไทยว่า สงครามเกมคนอัจฉริยะ ไม่ใช่ “สตีเว่น สปีลเบิร์ก” ก็นึกไม่ออกแล้วจริงๆ ว่าจะมีใครที่เหมาะสม กับการกำกับหนังที่เต็มไปด้วย Easter Egg มากมายในเรื่องนี้ เพราะเกือบทุกๆ ฉากของเรื่อง เต็มไปด้วยรายละเอียดของ “วัฒนธรรมป๊อปยุค 80-90” ที่หากใครคือแฟนคลับยุคนี้แล้วละก็ นี่คือหนังที่โคตรสนุกและคุ้มค่ากับการดูบนจอโรงภาพยนตร์มาก เพราะนอกจากจะลุ้นมันไปกับเรื่องราวแนวไซไฟแอ็กชั่นผจญภัย ยังมีเรื่องของการเก็บรายละเอียดของ Easter Egg ต่างๆ เป็นโบนัสอีกด้วย
Ready Player One เล่าเรื่องราวของโลกอนาคตปี 2045 โลกกำลังล่มสลาย แต่กลับมีอีกโลกหนึ่งที่ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และดูมีความเป็นสังคมที่มากกว่า โลกแห่งนี้มีชื่อว่า “โอเอซิส” โลกเสมือนที่ใครจะเข้ามาท่องโลกนี้ ต้องสวมแว่น VR เสียก่อน ซึ่งที่แห่งนี้คุณจะทำอะไรก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ มีเพียงจินตนาการเท่านั้นที่จะหยุดยั้งคุณ ลักษณะการใช้ชีวิต ก็คล้ายๆ กับการเล่นเกม มีภารกิจให้ทำ ทำแล้วได้เหรียญ ไปซื้อเครื่องแต่งกายต่างๆ ซื้อสิ่งของต่างๆ ในโอเอซิสหรือแม้กระทั่งบนโลกแห่งความจริง ทุกคนอยู่ในรูปลักษณ์จำลองที่ทุกคนเลือกเอง ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริง ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ยากดีมีจนแค่ไหน เมื่อมาในโลกโอเอซิส เราทุกคนมีตัวตนใหม่ ตัวตนที่มีอิสระเสรี ดูๆ ไปมันก็เหมือนกับโลกในอุดมคติ ที่ทุกคนเสมอภาคกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โอเอซิสมีอิทธิพลต่อผู้คนในยุคนี้สูงมาก ถึงขั้นกำหนดความเป็นความตายได้เลย
...
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ผู้สร้างโอเอซิสนาม “เจมส์ ฮัลลิเดย์” ได้เสียชีวิตลงและได้ทิ้งสมบัติมหาศาลรวมไปถึงอำนาจในการคุมโลกโอเอซิสแห่งนี้ ที่เขาจะมอบให้กับผู้ที่เหมาะสมมารับช่วงต่อ ซึ่งผู้ที่มารับช่วงต่อนั้น ต้องเป็นผู้ที่ผ่านด่านทดสอบ 3 บท จนได้มาซึ่งกุญแจ 3 ดอก ในการเปิดผนึกและได้รับทุกสิ่งทุกอย่างของฮัลลิเดย์ไป แต่การจะได้มาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกุญแจทั้ง 3 ถูกซ่อนไว้ในโอเอซิส โลกเสมือนแห่งนี้จึงเกิดความปั่นป่วน เมื่อทุกคนต่างตามหากุญแจ แต่ไม่ว่าจะพยายามกันเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครพบกุญแจเลย จนกระทั่งเด็กหนุ่มชีวิตอาภัพนาม “เวด วัตส์” ได้ผ่านด่านแรก และได้กุญแจดอกแรกมาครอง นั่นทำให้เขาตกเป็นเป้าของกลุ่ม IOI (Innovative Online Industries) ที่มีเป้าหมายในการตามล่าหากุญแจ เพื่อครอบครองและโอเอซิสเพื่อสร้างกำไรมหาศาลให้องค์กร เวด วัตส์ จึงต้องร่วมมือกับเพื่อนๆ เพื่อล่ากุญแจที่เหลือ เพื่อปกป้องโลกโอเอซิสแห่งนี้
Ready Player One ไม่ใช่หนังแอ็กชั่นไซไฟประเภทอ้างอิงทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด แต่มันเป็นหนังที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ด้านความบันเทิง โดยเฉพาะกับ “เนิร์ด” ที่อินกับวัฒนธรรมป๊อปยุค 80-90 หากใครดูหนัง Marvel, Star Wars หรืออนิเมชั่น Pixar น่าจะคุ้นเคยกันดี กับการสังเกตว่าจะมีฉากใดที่จะมี Easter Egg โผล่ออกมา แต่กับ Ready Player One นั้น Easter Egg ปรากฏออกมาให้เห็นเกือบทุกฉาก ทั้งหนัง เพลง อนิเมชั่น ตัวละคร ประโยคเด็ดจากหนัง ฉากล้อเลียน และอื่นๆ อีกมากมาย โหมกระหน่ำใส่คนดูไม่มียั้ง ขึ้นอยู่กับความสามารถแต่ละคนว่ารู้จักและหาพบมากน้อยแค่ไหน ยิ่งดูไปยิ่งรู้สึกทึ่งกับทีมผู้สร้างที่สามารถสร้างหนังลักษณะนี้ได้ ในยุคที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยเรื่องของ “ลิขสิทธิ์” ซึ่งหนังก็ใช้ประโยชน์จาก Easter Egg เหล่านี้ได้อย่างคุ้มค่า นำมาซึ่งฉากที่เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ มีอะไรให้ต้องร้องว้าวตลอดเรื่อง
...
การจำลองโลกของ “โอเอซิส” ก็ทำออกมาได้ตื่นตาตื่นใจ ซึ่งงานภาพ 3 มิติ เรื่องนี้นับว่ายอดเยี่ยม ยิ่งดูบนจอยักษ์ IMAX ยิ่งฟิน อีกทั้งมุมมองการเตลื่อนภาพแบบบุคคลที่หนึ่ง ในหลายๆ ฉาก โดยเฉพาะกับฉากแอ็กชั่น ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนว่าเรากำลังอยู่ในโลกของโอเอซิสจริงๆ เรากำลังเล่นตามหากุญแจไปพร้อมกับ เวด วัตส์ ทำให้รู้สึกลุ้นและสนุกไปกับฉากแอ็กชั่นต่างๆ ที่ต้องยอมรับเลยว่าทำออกมาได้มันมากๆ เช่น ฉากแข่งรถ, ฉากแดนซ์ในคลับกลางอากาศ ฉากหนีตายในหนัง The Shining และฉากแอ็กชั่นใหญ่ตอนท้ายเรื่อง
...
สตีเว่น สปีลเบิร์ก ยังคงเป็นยอดผู้กำกับเช่นเดิม ที่ไม่ว่าทำหนังแนวไหนก็สนุก อย่างที่กล่าวในตอนต้นบทความว่า นึกไม่ออกจริงๆ หากไม่ใช่พ่อมดแห่งฮอลลีวูดคนนี้มากำกับ ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีผู้กำกับคนใดที่เหมาะสม กับการทำหนังที่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายขนาดนี้ หากไม่ใช่ผู้กำกับที่มีประสบการณ์สูง คงไม่อาจคุมหนังได้ เพราะต้องรู้ว่าจะนำเสนอออกมาอย่างไรให้โดนใจคนดู พร้อมทั้งเคารพในสิ่งที่แฟนๆ รัก ซึ่งอีกคนที่ต้องยกความดีความชอบให้ก็คือ เอิร์นเนส ไคลน์ เจ้าของงานต้นฉบับ ที่เรียกได้ว่า “เนิร์ดตัวพ่อ” ไม่งั้นไม่มีทางเขียนงานเอาใจสายเนิร์ดแบบนี้ได้
ด้วยความที่ Ready Player One ถูกสร้างมาเพื่อตอบสนองความบันเทิงแก่คนที่รักในวัฒนธรรมป๊อปยุคเก่า ในมุมกลับมันเลยหมายความว่า นี่คือ หนังเฉพาะกลุ่ม หากใครที่ไม่ได้ติดตามหรือเติบโตมากับวัฒนธรรมป๊อปยุค 80-90 ก็อาจจะไม่รู้สึกอินกับ Easter Egg หรือรายละเอียดมากมายที่ถูกใส่ไว้ในหนัง หรือหนักขั้นสุดคือ “ไม่เข้าใจ” เลยว่าหนังกำลังยั่วล้อกับรายละเอียดอะไรอยู่ ซึ่งอาจมองว่าเป็นข้อเสียสำคัญของหนังเรื่องนี้ก็ว่าได้ แต่หากเป็นคนดูที่ไม่ซีเรียสกับตรงนี้มากนัก มันก็เป็นหนังไซไฟแอ็กชั่นผจญภัยที่ดูสนุกและบันเทิงสุดๆ เรื่องหนึ่งในรอบหลายปีเลยทีเดียว
...
ในยุคที่คนหันกลับไปสนใจเรื่องราวในอดีต หรือการนำวัฒนธรรมสมัยก่อน มาปรับให้เข้ากับยุคปัจจุบัน กำลังเป็นเทรนด์ที่มีอยู่ในทั่วโลก เช่น การนำหนังดังในอดีตมาสร้างใหม่ (หรือทำภาคต่อ) แนวเพลงยุคคลาสสิกที่กลับมาฮิตอีกครั้ง การนำเกมเก่ามาปรับให้เครื่องเล่นเกมในยุคนี้เล่นได้ ถ้าแบบไทยๆ ตอนนี้ ก็คงเป็นกระแส “ออเจ้า” จนนำไปสู่เทรนด์นิยมไทยในที่สุด เป็นต้น นั่นทำให้ Ready Player One เป็นอะไรที่มากกว่าคำว่าภาพยนตร์ไปแล้ว กับการเป็น “หนังที่รวบรวมสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมในยุคหนึ่งของโลก” และเชื่อว่าต่อจากนี้ กาลเวลาจะทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นที่จดจำของคนรักหนังเมื่อนึกถึงหนังที่โดดเด่นที่สุดในปี 2018
สุดท้ายนี้ คงไม่ต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้ควรดูไหม? แต่จะให้คำแนะนำว่า หากจะ “ตีตั๋ว” ดู Ready Player One ให้อินสุดๆ เก็บรายละเอียดได้มากที่สุด ต้องดูบนจอโรงหนังใหญ่อย่างโรง IMAX 3 มิติ เท่านั้น หรือหากใครยังไม่เคยลองดูหนัง 4 มิติ ก็ขอบอกเลยว่าหนังไซไฟแอ็กชั่นผจญภัยอย่าง Ready Player One คือหนังที่เหมาะกับการดูในโรง 4DX มากที่สุดในช่วงนี้แล้ว Don’t Miss!!
อ่านบทความ ตีตั๋วชนโรง เรื่องอื่นๆ
--- ชาแมน ---